“โครม!”

หลัวซิวเรียกเตาเทพออกมา โยนเสี่ยวเจียงหมิงและจินเฟยเทียนเข้าไปในเตาเทพ จากนั้นเขาค่อยหยุดกระตุ้นอัคคีเทพ ใช้เกราะป้องกันม่านแสงที่กระตุ้นมาจากเตาเทพปิดกั้นอสูรทมิฬทั้งหมดไว้ข้างนอก

“สลายเป็นฝุ่นผงซะ!”

เขาตะคอกเสียงดังลั่น ปลดปล่อยพลังอมตะโจมตีเป็นวงกว้าง เห็นเพียงมีเขาเป็นศูนย์กลาง พื้นที่ภายในรัศมีหลายร้อยไมล์โดยรอบทรุดลงและพังทลายอย่างต่อเนื่อง พลังอมตะวิวัฒนาการจนกลายเป็นปรากฏการณ์การทำลายล้างที่น่าสยดสยอง

อสูรกายทุกตัวที่อยู่ในพื้นที่บริเวณนี้ ดับสลายกลายเป็นเถ้าธุลีท่ามกลางพลังการทำลายล้างนี้ และเกิดเป็นเขตสุญญากาศ

“โครม! โครม! โคม! ……”

และในตอนนี้เอง สายฟ้าที่นับไม่ถ้วนก็ฝ่าลงมาจากก้อนเมฆ สถานที่แห่งนี้มีนามว่าป่าลมสายฟ้า เนื่องจากหลัวซิวกระตุ้นกฎปริภูมิแล้วบดอากาศที่ว่างเปล่าจนละเอียด จึงทำให้กระทบเข้ากับพลังแห่งอัสนีในพื้นที่นี้

เมื่อเปรียบเทียบกับอสูรทมิฬที่มีจำนวนสุดสยดสยองแล้ว สายฟ้ากลับเป็นสิ่งที่หลัวซิวไม่เกรงกลัวมากที่สุด เขาถึงกับเก็บเตาเทพกลับมา ปล่อยให้สายฟ้าเหล่านี้ไหลทะลักเข้าไปในร่างกาย ภายใต้การกระตุ้นวิชากลั่นร่าง เขาดูดซับพลังสายฟ้าทั้งหมดเข้ามาแล้วกลั่นแปรมัน

สายฟ้าเหล่านี้สามารถผ่ามหาจักรพรรดิยุทธ์ตายได้อย่างง่ายดาย แต่ร่างเนื้อของเขาบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ขั้นสูงแล้ว สายฟ้าจึงสร้างความเสียหายอะไรแก่เขาไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามยังถูกเขากลั่นแปรแล้วยกระดับร่างเนื้อ เคลื่อนกำลังไปยังระดับร่างยุทธ์เทพมาร

“ฮู่วว!”

พายุทอร์นาโดลูกใหญ่เคลื่อนที่มาด้วยความเร็วสูง พัดพาทุกสิ่งอย่างที่อยู่บริเวณรอบ ๆ เข้าไปจนฉีกขาด บดละเอียดเป็นฝุ่นผง

ชุดคุ้มดำยาวบนตัวหลัวซิวถูกลมพัดเสียงดังหวีดหวิว ปล่อยฝ่ามือลงกลางอากาศ พลังฝ่ามือที่มหึมาก็ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงดังครั่นครืน กดอัดพายุทอร์นาโดดังกล่าวจนพินาศย่อยยับ

ไม่มีเสี่ยวเจียงหมิงอยู่เคียงข้าง เขาจึงสามารถลงมือโจมตีได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัวใด ๆ ทำให้ขจัดภัยคุกคามต่าง ๆ ในป่าลมสายฟ้าหมดสิ้นไปอย่างง่ายดาย

เขาหกระเหินเดินฟ้ามุ่งหน้าไปข้างหน้า วางแผนจะฝ่าฟันออกไปจากป่าไม้ที่แปลกประหลาดนี้

หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ร่างเขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ตัวสำนึกที่แผ่กระจายออกไปของเขา สังเกตเห็นเงาร่างของคนคนหนึ่งปรากฏอยู่ในที่ที่ห่างออกไปหลายสิบไมล์

คนดังกล่าวคือสตรีที่ในชุดผ้าโปร่งสีดำ โฉมหน้าของนางดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด มุมปากมีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย

“ผู้อาวุโสจื่อเยียน?”

เมื่อตัวสำนึกของหลัวซิวกวาดสำรวจโดนโฉมหน้าของหญิงชุดดำ เขาก็ผงะไปในชั่วพริบตาเดียว เขานึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะได้พบเจอกับช่าจื่อเยียนที่นี่

สำนักเทียนช่าล่มสลาย จ้าวเซียนเทียนช่าดับสลายสูญสิ้น ช่าจื่อเยียนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ซุ๋นซินเหลียนและซุ๋นหวู่หยาต่างคิดว่านางน่าจะมีแนวโน้มตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่าดี อาจจะถูกคนในสำนักเซียนไร้เจตสิกจับกุมตัวไปแล้ว หรือไม่ก็ถูกนำตัวไปที่มหาโลกายอดอัมพร

เรื่องนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกทุกข์ใจมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงสนิทและรักใคร่ต่อเสี่ยวเจียงหมิงมาก ๆ พยายามบ่มเพาะเขาอย่างสุดความสามารถ

หลัวซิวก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เขากระตุ้นกฏปริภูมิโดยตรง และไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าช่าจื่อเยียนภายในชั่วพริบตาเดียว

จู่ ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตรงหน้า ช่าจื่อเยียจึงยกกระบี่ที่อยู่ในมือขึ้นแล้วฟาดฟันออกมา

นางเป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารขั้นสูง อานุภาพของกระบี่ท่าเดียวเพียงพอที่จะสังหารหรือทำให้ผู้แข็งแกร่งเทพมารบาดเจ็บสาหัสได้แล้ว แต่ทว่าการโจมตีในครั้งนี้กลับดูแผ่วเบามาก พลังโจมตีไม่สูงมากนัก มากสุดก็แค่เทียบเท่ากับพลังโจมตีของมหายุทธ์

หลัวซิวยกมือขึ้นมาก็ต้านทานการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดายแล้วพูด“ผู้อาวุโส ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ?”

เขาพบว่ากลิ่นอายออร่าของช่าจื่อเยียนอ่อนแอมาก ไม่มีออร่ากฎดั้งเดิมของผู้แข็งแกร่งเทพมาร เหมือนมหายุทธ์ทั่วไปคนหนึ่ง

“หลัวซิว? เจ้าเองหรือ? ……”สายตาของช่าจื่อเยียนจับจ้องมาทางเขา ก่อนที่ภาพตรงหน้านางจะดับวูบในทันที ล้มหมดสติลงพื้น

หลัวซิวรีบยื่นมือไปประคองตัวนางไว้ พลิกมือหยิบยาเซียนที่ใช้ในการรักษาบาดแผลออกมาหนึ่งเม็ด แล้วป้อนเข้าปากนาง

แต่ทว่าเมื่อเขาสังเกตเห็นบาดแผลของช่าจื่อเยียนแล้ว สีหน้าเขาก็หม่นหมองลงไปในพริบตาเดียว

สาเหตุที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารถูกเรียกว่าเทพมารนั้น ก็เป็นเพราะรวบรวมช่องจิตได้แล้ว แต่ทว่าช่าจื่อเยียนกลับไม่มีกลิ่นอายออร่าของเทพมารเลยแม้แต่น้อย ภายในตัวหยั่งรู้วุ่นวายไม่ชัดเจน ช่องจิตก็ไม่คงอยู่อีกต่อไป มากกว่านั้นคือตัวหยั่งรู้ของนางมีรอยแตกกระจายไปทั่ว แทบจะแตกสลายแล้ว