หลี่เสี่ยวเฟินได้พาเย่เฉินมาอยู่ที่บริเวณหอพักของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจินหลิง เย่เฉินมองไปแค่แวบเดียวก็รู้เห็นห้องนอนที่ตัวเองเคยนอนแล้ว
เมื่อมองผ่านกระจกไป เห็นป้าของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากำลังเล่นกับเด็กๆ ที่อายุขวบสองขวบอยู่
เย่เฉินถามด้วยความตกใจ: “เสี่ยวเฟินทำไมตอนนี้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มีเด็กใหม่มากขนาดนี้?”
หลี่เสี่ยวเฟินก็ตอบว่า: “ก็พ่อแม่ที่ไม่รับผิดชอบคลอดลูกแล้ว ก็เอามาทิ้งไว้ที่หน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กเหล่านี้ที่ถูกทอดทิ้งก็เพราะบางคนเกิดมาพร้อมความพิการ และบางคนเกิดมาพร้อมโรคต่างๆ บางคนก็เหมือนฉัน ถูกทิ้งเพราะเป็นลูกผู้หญิง”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ หลี่เซี่ยวเฟินก็ถอนหายใจ
ต่อมาเธอได้พูดด้วยความโกรธว่า: “ในจำนวนเด็กเหล่านี้ มีเด็กส่วนหนึ่งที่เคยถูกพ่อค้ามนุษย์จับตัวไป แล้วตํารวจไปช่วยออกมาได้ แต่เด็กเหล่านี้อายุน้อยเกินไป และหาพ่อแม่ของเด็กไม่เจอ ทางตำรวจก็เลยต้องฝากให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าดูแลไปก่อน รอให้หาพ่อแม่ของพวกเขาเจอแล้ว ค่อยส่งเด็กๆกลับไปหาครอบครัว”
เย่เฉินเห็นว่าเด็กเหล่านี้ บางคนเป็นคนพิการ เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะถาม: “เสี่ยวเฟิน ทำไมเด็กบางคนถึงพิการ พิการมาตั้งแต่เกิดหรือ?”
“ไม่ใช่” หลี่เสี่ยวเฟินโมโหและพูดว่า: “เด็กที่พิการ เป็นเด็กที่ถูกช่วยออกมาจากพ่อค้าเด็ก ตอนแรกเด็กเหล่านี้ยังมีร่างกายที่สมบูรณ์ แต่หลังจากที่ถูกพ่อค้าเด็กลักพาตัวไป พ่อค้าเด็กไม่ได้ขายเด็กพวกนี้ไป แต่ทำให้เด็กพวกนี้พิการ แล้วให้เด็กพวกนี้ไปขอทานตามถนน ชีวิตของเด็กเหล่านี้ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง แต่พ่อค้าเด็กกลับนำเด็กเหล่านี้เป็นเครื่องมือหาเงิน”
เซียวซูหรันเมื่อได้ยินคำประโยคนี้ เธอโมโหขึ้นมาทันที: “คนพวกนี้เลวเกินไปแล้ว เอาเด็กที่ร่างกายสมบูรณ์ไปทำให้พิการได้อย่างไร?”
หลี่เสี่ยวเฟินเล่าต่อว่า: “มีคนร้ายบางกลุ่ม ที่ชอบทำเรื่องไร้มโนธรรมแบบนี้ พวกเขาเป็นคนที่มีร่างกายสมบูรณ์ แต่พวกเขากลับปลอมตัวเป็นคนพิการไปขอทานตามถนนต่างๆ ต่อมาพวกเขาพบว่าการขอทานได้เงินเยอะและเร็วแต่เงินก็หมดเร็วเหมือนกัน พวกเขาก็เลยอยากหาเงินให้ได้มากขึ้น ก็เลยไปตามหาคนพิการเพื่อทำให้ตัวเองมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ผ่านไปไม่นานก็ไม่สามารถหาคนพิการได้แล้ว คนเหล่านี้ก็เลยไปซื้อเด็ก แล้วทำให้เด็กพวกนี้เป็นเด็กพิการ จะได้เอาไปขอทานแล้วได้ผลดียิ่งขึ้น”
เซียวซูหรันได้ยินจบแล้วก็ได้โกรธจนตัวสั่นและพูดออกมาทันทว่า: “ไอ้คนเลวแบบนี้ เอาไปยิ่งตายให้หมดเสียดีกว่า ”
เย่เฉินถอนหายใจและพูดว่า: “ก่อนหน้านี้ที่ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ ฉันก็เคยได้ยินมาว่ามีแก๊งขอทานนี้อยู่ พวกเขาเป็นคนบ้านเดียวกันหรือญาติกันแน่นอน แล้วรวมตัวกันไปขอทานในเมืองใหญ่ บางคนในแก๊งนี้วิธีการที่โหดเหี้ยมมาก เป้าหมายของพวกเขาคือเด็กวัยรุ่น”
ต่อมา เย่เฉินก็พูดกับเธอว่า: “เธอลืมไปแล้วหรือว่า สองปีก่อนเราเคยดูหนังอินเดียด้วยกัน ชื่อหนังเรื่องเศรษฐีในสลัม ในหนังก็มีหัวหน้าแก๊งขอทานไม่ใช่หรือ? เขาไปเอาเด็กที่ร้องเพลงเพราะมาทำให้ตาบอด แล้วให้เด็กพวกนี้ไปร้องเพลงขอทานตามถนน ถึงจะดูเหมือนสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัวพวกเรา แต่ความจริงแล้วเรื่องเหล่านี้อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่เราคิดอีก”
เซียวซูหรันพูดด้วยความโกรธ: “ไม่คิดเลยว่าจะมีปีศาจที่ชั่วร้ายเหล่านี้อยู่รอบๆตัวเราด้วย ถ้าฉันรู้อย่างงี้นะ ฉันไปสอบโรงเรียนตำรวจเป็นตำรวจไปแล้ว ฉันจะจับคนพวกนี้ให้หมดไปจากสังคม”
หลี่เสี่ยวเฟินถอนหายใจและพูดว่า: “พี่สะใภ้ ประเด็นก็คือการหาเงินด้วยวิธีนี้มีกำไรมหาศาล ทำให้คนมากมายถึงรู้ว่าจะโดนยิ่งและโดนจับ แต่ก็ไม่กลัวยังจะหาเงินด้วยวิธีนี้”
พูดจบ เธอก็รู้สึกว่าหัวข้อที่คุยกันดูจริงจังไปหน่อยก็เลยพูดออกมาว่า: “โอ๊ย ได้เวลาแล้ว พวกเราไปที่ร้านอาหารกันเถอะ เพื่อนๆ น่าจะถึงกันหมดแล้ว”
เย่เฉินพยักหน้าและพูดว่า: “เราไปกันเถอะ ไปร้านอาหารก่อน”
ทั้งสามคนได้ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และเย่เฉินได้แกล้งถามหลี่เสี่ยวเฟินว่า: “เออ เสี่ยวเฟินช่วงนี้ทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามีความลำบากอะไรมั้ย?”
หลี่เสี่ยวเฟินยิ้มแล้วตอบว่า: “ความลำบากมีอยู่แล้ว แต่ก็ยังรับไหวอยู่ คุณภาพชีวิตของเด็กๆ ตอนนี้ดีกว่าตอนพวกเราอยู่มาก แต่สิ่งที่ทำให้ลำบากใจก็หนึ่งเดียวคือห้องเรียน หอพักและโรงอาหารของพวกเราเก่าไปหน่อย ผู้อำนวยการค่อยยื่นเรื่องของบ หวังว่าจะได้เปลี่ยนและปรับปรุงสิ่งก่อสร้างใหม่ แต่ผู้บังคับบัญชาบอกว่าช่วงนี้การเงินไม่คล่องตัว เลยไม่สามารถให้งบมาปรับปรุงได้”
เย่เฉินพยักหน้า และจำคำพูดของเธอไว้ในใจ