ระหว่างที่ทั้งสามคนออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า กำลังจะไปที่ร้านอาหาร มีเสียงที่ตื่นเต้นลอยเข้าหูพวกเขา: “เย่เฉิน เสี่ยวเฟิน!”
เมื่อพวกเธอหันไปมอง เห็นมีเงาร่างหลายคนเดินมาทางพวกเขา
พวกเขาเหล่านี้ก็คือเพื่อนที่เติบโตที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากับพวกเขา
แต่ในจำนวนคนเหล่านี้ ส่วนมากแล้วเข้ามาตอนเขาออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปแล้ว เขาก็เลยไม่ค่อยรู้จัก
หลังจากที่ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วเพื่อนหนึ่งเดียวที่เขายังติดต่ออยู่ก็คือจ้าวเห้า เพื่อนสมัยตอนที่อยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของเขา
หลายปีก่อนที่เย่เฉินใช่ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ด้วยความที่พ่อกับแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เขากลายเป็นคนที่พูดน้อยและถึงขั้นที่สันโดษ ในเวลาวันหนึ่งอาจจะไม่ได้คุยกับใครเลยแม้แต่ประโยคเดียว
เย่เฉินที่เข้ากับคนอื่นไม่ได้เลยสักอย่าง เขาเลยถูกเมินจากเด็กคนอื่นเป็นประจำ
เย่เฉินจำได้ว่า ตอนที่เขาโดดเดี่ยว จ้าวเห้าที่อายุโตกว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ยืนออกมาเป็นคนแรก และมาเล่นกับเขา
และหลังจากนั้นมาหลายปี ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ยิ่งแน่นแฟ้นมาก
จ้าวเห้าและเย่เฉินอายุเท่ากัน แต่จ้าวเห้าโตกว่าไม่กี่เดือน
ทั้งสองคนออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไปพร้อมกัน แล้วออกไปเลือกที่จะทำงานก่อสร้างด้วยกัน ลำบากไปด้วยกันและเหนื่อยไปด้วยกัน เป็นเพื่อนที่ฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกันอย่างแท้จริง
แต่สิ่งที่จ้าวเห้าต่างจากเย่เฉินก็คือ ตอนที่เย่เฉินได้เงินมาแล้วจะแอบส่งให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่ตอนที่ได้เงินมา เขาก็แอบเก็บเงินไว้ และออกจากสถานที่ก่อสร้าง แล้วไปทำธุรกิจเล็กๆ ที่เมืองไห่
สำหรับเย่เฉินแล้ว การกระทำของจ้าวเห้าเป็นเรื่องที่เขาเข้าใจและยอมรับได้
เพราะทุกคนเป็นเด็กกำพร้าหมดเลย ตอนที่ออกมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า คนส่วนใหญ่ไม่มีที่พึ่งพา
ใครๆ ก็อยากเก็บเงินเพื่อนสร้างรากฐานให้ตัวเอง เพราะเด็กกำพร้าไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นยังมีพ่อแม่ คนอื่นยังมีญาติ คนอื่นยังมีบ้านที่บังแดดหลบฝนได้ แต่เด็กกำพร้าไม่มีอะไรเลย
ถ้าวันนี้ไม่มีเงิน ก็ไม่ได้กินข้าว แถมคืนนี้อาจจะต้องนอนข้างถนน
ที่เย่เฉินออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว ไม่ได้คิดเพื่ออนาคตตัวเอง เหตุผลส่วนใหญ่ก็คือพ่อของเขาเคยสอนไว้ว่าที่เขามีชีวิตรอดถึงอายุสิบแปดได้ ก็เพราะบุญคุณของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและป้าหลี่ ตัวเขาจึงต้องหาวิธีตอบแทนบุญคุณนี้
และสิ่งเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องกับการศึกษาของเย่เฉินได้รับในช่วงเด็กอย่างมากอีกด้วย
ช่วงวัยเด็กของเย่เฉิน เย่เฉินเป็นคุณชายของตระกูลเย่เขาถูกเลี้ยงอย่างหรูหราและฟุ่มเฟือยตั้งแต่เด็ก และเขาได้เรียนรู้จากปรัชญาขงจื๊อ การศึกษาที่ยอดเยี่ยมระดับชาติ จิตวิญญาณเขาเหมือนจิตวิญญาณของขงจื๊อ มีความโกรธและรู้สึกโศกเศร้าที่ผู้คนที่ยากลำบากไม่ได้รับความเป็นธรรม
และเพราะสาเหตุนี้ด้วย เขาถึงต่างจากทุกคนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ตอนนี้ จ้าวเห้าที่คึกคักได้เดินเข้ามา พูดด้วยความตื่นเต้นว่า: “เย่เฉิน เพื่อนรักของฉัน เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!”
เมื่อหลายปีก่อน จ้าวเห้ากับเย่เฉินนอนอยู่ที่เพิงของสถานที่ก่อสร้างด้วยกัน และ แบกปูนคนอิฐด้วยกัน ทั้งสองคนค่อยช่วยเหลือกัน และประคองกันไปหลายปี
หลังจากนั้นมา จ้าวเห้าเก็บเงินได้หลายหมื่น และเขาไปเจอหญิงที่ชอบในสถานที่ก่อสร้าง แล้วก็ได้ตามผู้หญิงคนนี้ไปที่เมืองไห่
ไม่ได้เจอกันหลายปี ในของเย่เฉินรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย: “จ้าวเห้าพวกเราไม่ได้เจอกันสามสี่ปีใช่มั้ย? หลายปีที่ผ่านมา นายอยู่ที่เมืองไห่เป็นไงบ้าง?”
จ้าวเห้าได้ยินที่เย่เฉินถามแล้วหัวเราะฮ่าๆ : “ก็ไม่เลวๆ! ยังกินอิ่มนอนหลับ!”
เย่เฉินถามต่อว่า: “แล้วหญิงที่นายรู้จักที่สถานที่ก่อสร้างละ? แต่งงานกันหรือยัง?”
“เฮ้อ” สีหน้าของจ้าวเห้าปรากฏความเศร้าใจ แต่เขาก็ยิ้มอย่างไม่สนใจอะไรมาก: “แต่งงานอะไรล่ะ ก็แค่คบกันมาสองสามปี แต่ก็ไม่ได้คุยเรื่องแต่งงานกันเลย ฉันไม่มีสินสอด ไม่มีเงินซื้อบ้าน ทางพ่อแม่ของฝ่ายหญิงดูถูกฉัน พ่อแม่ของเธอก็ค่อยเป่าหู พูดจนแฟนฉันก็ดูถูกฉันไปอีกคน สุดท้ายเธอก็เลิกกันฉันไป”
เย่เฉินขมวดคิดและถามว่า: “เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว?”
จ้าวเห้ายิ้มแล้วตอบว่า: “เดือนก่อนนี่เอง”
เย่เฉินพยักหน้า: “ผู้หญิงคนนั้นจะเสียใจที่ไม่เลือกนาย”