พูดจบก็ได้ถามต่อว่า: “ฉันนึกขึ้นมาได้ ฉันยังไม่ได้ถามนายเลย นายอยู่เมืองไห่ไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงมาที่จินหลิงเร็วได้ขนาดนี้?”

จ้าวเห้ายิ้มแล้วตอบว่า: “เป็นเพราะความบังเอิญมากกว่า ทางหน่วยงานส่งให้ฉันมาปฏิบัติงานนอกสถานที่ ฉันพึ่งถึงเย็นนี้เอง และพึ่งจะลงจากรถทัวร์ ฉันเห็นนายคุยในกลุ่มแชท ฉันก็เลยมาที่นี่ทันที”

เย่เฉินถามไปด้วยความสงสัยว่า: “นายทำธุรกิจส่วนตัวไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงกลับมาทำงานได้?”

จ้าวเห้ายิ้มอย่างลำบากใจและพูดว่า: “ช่วงนี้ธุรกิจตกต่ำ ทำธุรกิจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะ และสองปีที่ผ่านมาเศษกิจไม่ค่อยดีทำอะไรก็ไม่ง่ายไปหมดเลย”

พูดจบ เขาได้มองไปหาเซียวซูหรันแล้วยิ้ม: “เย่เฉิน คนนี้คือภรรยาของนายหรือ?”

เย่เฉินพยักหน้าและตอบว่า: “คนนี้คือภรรยาของฉัน เซียวซูหรัน”

และเย่เฉินก็ได้แนะนำว่าจ้าวเห้าให้เซียวซูหรัน: “ซูหรัน คนนี้คือจ้าวเห้าเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”

จ้าวเห้าหัวเราะแล้วพูดว่า: “เย่เฉิน นายโชคดีมากเลยนะที่ได้ภรรยาที่สวยแบบนี้”

เซียวซูหรันหัวเราะและพูดว่า: “ขอบคุณค่ะ”

จ้าวเห้าพยักหน้าแล้วทำเป็นบ่นกับเย่เฉินว่า: “เย่เฉิน นายไม่จริงใจเลยนะ! หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยติดต่อพวกเราเลย หลังจากที่ป้าหลี่เป็นโรคโลหิตมีสารของปัสสาวะ ป้าหลี่บอกว่านายไปเยี่ยมป้าหลี่หลายครั้งมาก แต่นายกลับหลบหน้าเพื่อนพี่น้องอย่างพวกฉัน นายทำแบบนี้ทำไม?”

เย่เฉินหัวเราะเหอะๆและตอบอย่างจริงจังว่า: “ช่วงนั้นชีวิตลำบากอยู่ เลยไม่อยากไม่คนอื่นเห็น”

เย่เฉินก็มีเกียรติในตัวเองเหมือนกัน หลังจากที่แต่งงานกับเซียวซูหรัน ก็มีคนพูดเสียดสี ว่าเขาเป็นคนไม่มีค่า เป็นไอ้ยาจกเป็นลูกเขยแต่งเข้า ถึงเขาจะไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร แต่สำหรับพี่น้องในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้ว เขาไม่อยากให้พี่น้องที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กเห็นสภาพที่ลำบากยากแค้นของตัวเอง”

จ้าวเห้าพูดอย่างจริงจังว่า: “เพื่อนรักของฉัน เมื่อหลายปีก่อนเราก็นอนอยู่ที่เพิงของสถานที่ก่อสร้างด้วยกันนานหลายปี หมั่นโถวยังฉีกเป็นสองชิ้น แบ่งคนละครึ่งได้เลย นายยังจะเกรงใจอะไรต่อหน้าฉันอีก? ที่สำคัญ เพื่อน หลายปีที่ผ่านชีวิตฉันก็ไม่ได้ราบรื่นนะ แต่นายดูฉันสิ ก็ยังเฮฮาได้ไม่ใช่หรือ?”

เย่เฉินพยักหน้าเบาๆ

ตอนนี้หลี่เสี่ยวมีสีหน้าที่ขำแล้วจ้องมองจ้าวเห้า: “พี่เห้าจื่อทำไมพี่ไม่ทักทายฉันสักที? ”

จ้าวเห้าถึงมองไปที่หลี่เสี่ยวเฟิน และจ้องหน้าเธออยู่พักใหญ่ ถึงได้พูดออกด้วยความตกใจว่า: “เธอ……เธอคือเสี่ยวเฟินหรือ?!”

จ้าวเห้าก็เหมือนกับเย่เฉิน เขาออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตอนอายุสิบแปดและไม่ได้กลับมาอีกเลย

ตอนนั้นหลี่เสี่ยวเฟินพึ่งอายุสิบสามสิบสี่เอง ตอนนั้นยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย แต่หลี่เสี่ยวเฟินในตอนนี้ กลายเป็นสาวสวยแบบเต็มตัวแล้ว ความแตกต่างมีไม่น้อย

หลี่เสี่ยวเฟินหัวเราะและพูด: “นี่ฉันเอง มีอะไร นายต้องทำหน้าตกใจขนาดนี้ด้วย?”

จ้าวเห้าหัวเราะฮ่าๆ ออกมา: “เธอเป็นผู้หญิงที่มีความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ตอนนั้นเธอผอมและผิวเหลือง แถมยังเตี้ยอีกด้วยดูอย่างไงก็เหมือนทอม แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสาวสวยไปแล้ว!”

หลี่เสี่ยวเฟินตอบด้วยความเขินว่า: “จ้าวเห้า นายอย่าชมฉันเกิดจริงนะ ตอนนี้พี่สะใภ้อยู่ด้วย ฉันจะถือว่าสวยได้อย่างไง”

ระหว่างที่พูด เธอก็มองเซียวซูหรัน ความอิจฉาก็ปรากฏบนใบหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น

จ้าวหัวเราะและพูดว่า: “เธอก็อย่าดูถูกตัวเองขนาดนี้สิ ตอนนี้เธอก็เป็นสาวสวยหนึ่งในแสนเลยนะ”

ตอนนี้หลี่เสี่ยวเฟินเขินอายจนพูดอะไรไม่ออก ก็ได้มีโทรศัพท์โทรเข้ามา

เมื่อเธอรับสาย ก็ปรากฏสีหน้าที่ร้อนรน และบอกทุกคนว่า: “เมื่อกี้เจ้าของร้านอาหารโทรมา บอกว่าระบบไฟฟ้าที่ร้านอาหารเก่าแล้ว แล้วมันเกิดไฟฟ้าลัดวงจร วันนี้คงซ้อมไม่เสร็จ น่าจะต้องรอพรุ่งนี้ วันนี้อาจจะไม่ได้เปิดร้านแล้ว……..”

“อา?” จ้าวเห้าพูดโพล่งออกมา: “งั้นเราก็ต้องหาร้านอาหารใหม่กะทันหันสินะ!”

หลี่เสี่ยวเฟินพูดออกมาด้วยความลนลานว่า: “ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่คนเขากินข้าวกัน หาที่นั่งในร้านอาหารกะทันหันแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย……”

เมื่อเย่เฉินได้ยินแบบนี้แล้ว เขาจะลองโทรไปถามหงห้า เทียนเซียงฝู่ยังมีโต๊ะว่างมั้ย

ขณะเดียวกันรถเบลล์สีดำได้มาจอดอยู่ข้างๆ ทุกคน…….