ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 1017 เวทีใหญ่ ข้าชอบ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

‘ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่รอพิธีเปิดสำนักในครั้งนี้…’ เยี่ยนจ้าวเกอใคร่ครวญ คาดคำนวนการเตรียมตัวของตนอีกครั้ง

สงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามที่เยี่ยนจ้าวเกอไม่มีความเข้าใจมากพอ ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ครั้ง เพราะถ้าไม่ถึงตอนสุดท้าย ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมีศัตรูกี่คน เป็นศัตรูจากไหน และมีผู้ช่วยเท่าไร

สถานการณ์ไม่มีความชัดเจน มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากมาย อีกทั้งตนเองยังมีภารกิจอยู่ในมือไม่น้อย

อย่างเช่น สืบเนื่องจากเรื่องของมารดา ตนกับประมุขอิสานจึงได้รู้จักกัน ความประทับใจที่เหลือไว้ระหว่างกันคล้ายไม่เลวนัก แต่ว่าผู้ทรงอำนาจท่านนี้จะลงมือช่วยเหลือหรือไม่ ยังไม่ทราบโดยสิ้นเชิง

ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ล้ำลึกอะไรนัก ประมุขอิสานกับประมุขทักษิณเองก็ไม่มีความขัดแย้งใดๆ

เหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องลงมือช่วยเหลือเล่า

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีแรงกดดันจากจักรพรรดิเอกภพกำเนิดอยู่ด้วย

อยู่ดีๆ ไฉนประมุขอิสานถึงต้องล่วงเกินจักรพรรดิเอกภพกำเนิด

ในทางตรงกันข้าม ถ้ารู้ว่าตนมีความสัมพันธ์กับเสวี่ยชูฉิงผู้เป็นมารดา พวกประมุขบูรพา ประมุขประจิม และประมุขพายัพอาจจะสร้างปัญหาได้

เรื่องเหล่านี้บางทีอาจยังไม่แน่นอน แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอไม่อาจไม่พิจารณา

เขาพอทำความเข้าใจไว้บ้าง และวางแผนการที่ค่อนไปทางเลวร้ายคร่าวๆ จึงยังพอจะคาดการณ์ได้

มีเรื่องบางเรื่องเป็นเพราะว่าข้อมูลในมือเยอะเกินไป หรือถึงขั้นที่ตนไม่ทราบเรื่องแม้แต่น้อย อาจก่อเกิดอุบัติเหตุที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายได้ตลอดเวลา

อย่างเช่ สามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับมารดาของตน เกี่ยวกับกงจักรมหาประกายกาฬในมือตน เกี่ยวกับจักรพรรดิประกายกาฬในอดีตกันแน่

ในห้าจักรพรรดิ จักรพรรดิอีกสามคนนอกจากจักรพรรดิแพรและจักรพรรดิเอกภพมีท่าทีอย่างไร

ในหมู่ประมุขทั้งสิบ ประมุขคนอื่นๆ มีท่าทีอย่างไร

ตราบใดที่ยังไม่รู้เขารู้เรา การอนุมานไปก่อนบางทีอาจผิดพลาดทั้งหมด แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่เกรงกลัว เพียงแต่ปรับปรุงตัวเองอย่างเต็มที่

หลักๆ แล้วตนเองจำเป็นต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ทิ้งช่องโหว่และรูรั่วไว้ จากนั้นก็ใช้เรื่องเหล่านี้เป็นสมมติฐาน สำหรับกำหนดแผนการ การเตรียมตัวและวิธีการ ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายจริงๆ นั่นจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์แล้ว

แน่นอนว่าถ้าจักรพรรดิแพรลงมือตามที่สัญญากันไว้ เรื่องราวก็จะรวบรัดขึ้น

‘อันดับแรก อยู่ที่ตัวเอง’ เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองกงจักรมหาประกายกาฬ

เพื่อสิ่งนี้ เยี่ยนจ้าวเกอลงทุนไปไม่น้อย

นี่เป็นตัวกินเงินระดับสุดยอดอย่างแท้จริง

ไม่นับตะเกียงประกายกาฬที่จักรพรรดิประกายกาฬใช้มาเป็นพื้นฐาน หลังจากเยี่ยนจ้าวเกอรับช่วงต่อแล้ว เพื่อเซ่นหลอม ก็ได้ผลาญอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงไปกองหนึ่ง

ต่อจากกงจักรสุริยันและพัดห้าหงส์อมตะ แส้หางมังกร ดาบอัคคี ขวานย้อนเอกภพ แส้มังกรดำ รวมถึงดาบสัจจะและเกราะธุลีไร้รูป อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่ได้มาจากเขตเพลิงทักษิณ ล้วนถูกกงจักรมหาประกายกาฬหลอมละลาย

จิตแห่งพลังที่แฝงอยู่ในอาวุธศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดายิ่ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่กงจักรมหาประกายกาฬต้องการ

เยี่ยนจ้าวเกอใช้พวกมันเป็นสื่อกลางเพื่อส่งวรยุทธ์ระดับสุดยอดแต่ละชนิดที่ตนบรรลุเข้าไป

นอกจากนี้ยังมีดาบอีกาทองผลาญฟ้าและกระบี่ทะเลม่วงที่ถูกกลืนไปตั้งแต่แรกด้วย

ตั้งแต่เยี่ยนจ้าวเกอกลับมาจากเขตเพลิงทักษิณ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสิบชิ้นที่นำกลับมาด้วย ปัจจุบันเหลือเพียงอาภรณ์เต๋าครองสติและมงกุฎหงส์กู่ร้อง รวมถึงยังเหลือกงจักรสุริยันกับขวานย้อนเอกภพที่เพียงวางพาดเข้าไป

แต่ว่าราคาที่จ่ายก็ได้ค่าตอบแทน

สิ่งที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงทั้งสิบชิ้นทำไม่ได้ ตอนนี้กงจักรมหาประกายกาฬกลับมีความเป็นไปได้ที่จะทำได้ ถึงแม้จะไม่อาจเซ่นหลอมให้สำเร็จได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็เป็นวงจรสำคัญในแผนการ ตราบใดที่การอนุมานของตนเองไม่เกิดข้อผิดพลาด

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตัวเอง พลันหัวเราะออกมา ‘เวทีใหญ่ ข้าชอบนัก’

‘ไม่ว่าจะเป็นโชคหรือเคราะห์ ต้องเร่งกันสักหน่อย ข้ารอไม่ได้แล้ว’

วันเวลาต่อจากนี้ เยี่ยนจ้าวเกอทางหนึ่งฝึกฝนตัวเอง ทางหนึ่งปรับปรุงการเตรียมตัวของตัวเอง

ในระหว่างนี้ เขากว่างเฉิงมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียนคนที่สามถือกำเนิดขึ้นโดยไม่มีใครทราบ

ร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกในที่สุดก็เปิดเส้นทางโคจรสำหรับดวงดาวขึ้นมากลางจักรวาลในร่างกายได้สำเร็จ ทำให้จุดลมปราณที่เห็นเทวะโคจรได้ลุล่วง ปีนขึ้นสู่ระดับสะพานเซียน

ครั้งนี้กลับเป็นร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกอาศัยบารมีของร่างจริง ศึกษาประสบการณ์ส่วนหนึ่งจากการเลื่อนขึ้นสู่ระดับสะพานเซียนของเยี่ยนจ้าวเกอ สุดท้ายก้าวข้ามด่านนั้นสำเร็จ

หากอยู่ในระดับเดียวกัน พลังของร่างแยกสมุทรสุดขอบโลกสู้เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้

แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอมีแผนการบางอย่างที่อยากจะใช้กับร่างแยกสมุทรสุดขอบโลก และตอนนี้ดูเหมือนจะใช้ได้แล้ว

หลังจากพลังของคุนเผิง มังกรจริงแท้ เทาเที่ย ปี่เซียะ และนกปี้ฟาง เยี่ยนจ้าวเกอได้ผสมพลังแห่งอีกาทองเข้าไปด้วย

การเพิ่มขึ้นร่วมกันของพลังและของวิเศษหลายชนิด รวมถึงความสามารถของวิชาที่ไม่เหมือนผู้ใด ค่อยทำให้การย่างก้าวของร่างแยกสมุทรสุดของโลกพุ่งทะยานไปพันลี้ในวันเดียว และเป็นการพิสูจน์ว่าความคิดในตอนแรกของเขายิ่งมายิ่งเข้าใกล้ความจริง

พร้อมกับเวลาที่ผ่านไป วันเปิดสำนักอย่างเป็นทางการของเขากว่างเฉิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว

ในตอนนั้นก็มีข่าวส่งมา…

จักรพรรดิเอกภพกำเนิดในที่สุดก็กลับโลกซ้อนโลกต่อจากจักรพรรดิแพรงาม

“จักรพรรดิเอกภพกำเนิดกลับโลกซ้อนโลกแล้ว”

ใต้ท้องฟ้าสีเขียว ณ มรกตท่องฟ้า

ภูเขาแหนเขียว ผาธารฟ้าบนยอดเขาทิวทัศน์

ในนิวาสถานแห่งหนึ่ง คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้หนึ่งนอนตะแคงอยู่บนเก้าอี้นอน เหมือนผ่อนคลายเกียจคร้าน แต่ก็ดูน่ายำเกรงเช่นกัน

คนที่มีท่าทางเช่นนี้ในนิวาสสถานแห่งนี้ ย่อมเป็นจักรพรรดิน้ำพุมังกรมังกรที่เคยอยู่ในสายหยกพิสุทธิ์ แต่ได้เข้าสู่สายเหนือพิสุทธิ์ หลงซิงเฉวียน

ด้านหน้าเขายืนไว้ด้วยชายชราผมขาวผู้หนึ่ง ผู้ครองยอดเขาขาวเรืองแห่งเขาแหนเขียว บุตรคนโตของจักรพรรดิน้ำพุมังกร เกาเสวี่ยโพ

เขาพยักหน้ากล่าว “ขอรับ ท่านพ่อ จักรพรรดิเอกภพกำเนิดได้กลับโลกซ้อนโลกแล้ว”

“คนที่ส่งผลคุกคามเขากว่างเฉิงมากที่สุดก็คือเขากระมัง” จักรพรรดิน้ำพุมังกรหัวเราะ “ไม่ทราบว่าจะมีคนอื่นลงมือหรือไม่”

เกาเสวี่ยโพถาม “ท่านต้องการกลับโลกซ้อนโลกหรือไม่”

จักรพรรดิน้ำพุมังกรส่ายหน้า “นั่นกลับจะเป็นการเรียกภัยพิบัติแก่เขากว่างเฉิง ให้เจิ้นเป่ยจัดการเถอะ”

เกาเสวี่ยโพ “หากเป็นคนผู้นั้น ท่าทีในหลายปีมานี้…”

“ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง” จักรพรรดิน้ำพุมังกรกล่าวอย่างราบเรียบ “โลกซ้อนโลกครั้งนี้มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แน่”

โลกซ้อนโลก ณ เขตมหานภากลาง

ยอดเขาทางใต้ของเขาคุนหลุน เขากิเลน

ด้านในนิวาสสถานแห่งหนึ่ง ชายชราผู้หนึ่งมองรูปเงาแสงมากมาย เงียบงันเนิ่นนาน

ครู่ต่อมาเขาค่อยพึมพำ “ถึงกับไม่ใช่ความบังเอิญ วิถีวรยุทธ์เช่นนี้สมควรไม่ผิดพลาด เพียงแต่ทำได้อย่างไร”

“นอกจากนี้ยังมีอายุน้อยยิ่ง…”

ครั้งนี้มีคนเข้ามา “ท่านอาจารย์ ประมุขทักษิณรอพบอยู่ด้านนอกขอรับ”

ชายชราหันกายมา เผยให้เห็นใบหน้าแก่ชรา แต่หนักแน่นดั่งหินผา

เป็นประมุขปฐวีหวังเจิ้งเชิง ผู้ปกครองเขตมหานภากลางนั่นเอง!

หลังจากเขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก็หยิบกล่องหยกอันหนึ่งขึ้นมา “มอบสิ่งนี้ให้แก่ประมุขทักษิณ”

ลูกศิษย์ของเขารับคำสั่ง รับกล่องหยกขึ้นมา คารวะจากนั้นก็ถอยออกไป

ประตูปิดลงด้านหลังอย่างไร้เสียง หวังเจิ้งเฉิงมองดูภาพเงาแสงที่ปรวนแปรตรงหน้า กลับคืนสู่ความเงียบงัน

ด้านนอกนิวาสสถาน ประมุขทักษิณจวงเซินที่เป็นคนหนุ่มผมขาว นั่งอยู่บนม้านั่งหินใต้ต้นเกี๊ยะ มองดูกระดานหมากที่หยุดกลางคันกระดานหนึ่งเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่ง ไม่ขยับไม่ส่งเสียง

พอเห็นมีคนออกมา จวงเซินก็มองไป อีกฝ่ายส่งกล่องหยกมาด้านหน้าเขา

จวงเซินรับกล่องหยกมา เปิดออกดู ดวงตาสาดประกาย

“ขอบพระคุณเฒ่าหวัง” จวงเซินปิดฝากล่องหยก ยืนขึ้น ประสานมือคารวะไปยังทิศทางของนิวาสสถาน

จากนั้นเขาก็หมุนตัว กลายเป็นหงส์อมตะเพลิง ทะยานสู่ฟ้า ออกห่างไปไกล

………………..