ทุกคนมองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่เหาะออกไปด้วยความสับสนและคาดเดาไม่ได้เลยว่าพวกนางต้องการจะทำสิ่งใด
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ฉินอวี้โม่และอีกหกคนก็กลับมาถึงลานจัตุรัสอีกครา เวลานี้ สมาชิกทั้งเจ็ดเปลี่ยนอาภรณ์และถืออุปกรณ์การแสดงในมือซึ่งทำให้ทุกคนตะลึงไปชั่วขณะ
อาภรณ์ของฉินอวี้โม่ก็เหนือความคาดหมายของบรรดาศิษย์ทุกคนอย่างแท้จริง
ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สีขาวของบุรุษและถือพัดพับไว้ในมือ สำหรับเจียงฉาและอีกสี่คน พวกนางสวมกระโปรงยาวในสีสันและทรงผมที่แตกต่างกันซึ่งแสดงออกถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน
เจียงฉาผู้มีรูปลักษณ์งดงามและมีลักษณ์นิสัยที่อ่อนโยน ในเวลานี้ นางสวมกระโปรงยาวสีขาวและถือเครื่องดนตรีลักษณะคล้ายพิณชนิดหนึ่งในมือ เส้นผมสลวยของนางถูกปล่อยไปด้านหลังอย่างสบาย ๆ และรอยยิ้มมีเสน่ห์ประดับบนใบหน้าซึ่งทำให้นางดูราวกับเป็นหญิงสาวที่งดงามประจำตำบล
เจียงจิ้งซึ่งเป็นตรงไปตรงมาและค่อนข้างอารมณ์ร้อนสวมกระโปรงยาวสีแดงสดและมัดผมหางม้าโดยปล่อยปอยผมเล็กน้อยด้านหน้าซึ่งเสริมความทะนงตนและความทะเล้น กอปรกับแส้ยาวที่ถือในมือทำให้นางในตอนนี้ดูราวกับเป็นราชินีที่ยืนอยู่เหนือทุกชีวิตบนดินแดนและทำให้ทุกคนแทบคุกเข่าศิโรราบโดยอัตโนมัติ
ลั่วซือและลั่วฉิงก็สวมกระโปรงในลักษณะเดียวกันทว่าใช้สีที่แตกต่างกัน นั่นคือสีน้ำเงินและสีเขียว ทั้งสองเป็นพี่น้องฝาแฝดและมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันมากถึงเก้าส่วน เมื่อยืนเคียงข้างกัน หางม้าสองช่อที่เหมือนกันของพวกนางก็ทำให้ดูคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก
ทั้งสองคลี่ยิ้มบางขณะถือแปรงในมือข้างหนึ่งและผีผาในมืออีกข้างซึ่งทำให้ยากจะคาดเดาว่าพวกนางกำลังจะทำการแสดงในรูปแบบใด
* 琵琶 pipa ผีผา เครื่องดนตรีของจีนที่มีลักษณะเป็นเครื่องสาย มีประวัติยาวนานนับ 1000 ปี
สำหรับคนสุดท้าย หลี่ก่วนก่วนสวมชุดยาวสีชมพูสดใสซึ่งมีแขนยาวหลายฉื่อจนเกือบลากถึงกับพื้น อีกทั้งใบหน้าของนางก็แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางหนาจนดูโดดเด่นอย่างชัดเจน
“พวกนางกำลังจะแสดงอะไรกัน ?”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับการแสดงของกลุ่มสุดท้าย พวกเขามิอาจคาดเดาถึงรูปแบบของการแสดงนี้ได้แม้แต่น้อย
“ข้าก็ไม่ทราบ แต่อีกประเดี๋ยวเราจะได้ทราบเอง”
ทุกคนได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและบ่งบอกว่าพวกเขาไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เตรียมการแสดงที่ชวนตกตะลึงประเภทใด
“ลำดับต่อไป เชิญกลุ่มก่วนฉิงซืออวี้จิ้งซวงฉาทำการแสดงในบทเพลง ‘จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด’”
ว่านจินประกาศตามปกติก่อนเหาะลงจากเวทีและมอบพื้นที่ทำการแสดงให้กับฉินอวี้โม่และกลุ่มของนาง
สมาชิกทั้งเจ็ดก็เหาะขึ้นไปบนเวทีและประจำตำแหน่งของตนอย่างรวดเร็ว
ทุกคนวางอุปกรณ์การแสดงในมือลง ในขณะที่ลั่วซือและหลี่ก่วนก่วนยืนอยู่ตรงกลางและคนอื่น ๆ กระจายกันออกไปโดยรอบ
เสียงดนตรีไพเราะดังขึ้นเมื่อกู่เจิงและผีผาถูกบรรเลงพร้อมกัน เสียงขับร้องเปิดการแสดงก็ดังมาจากเจียงฉาและทำให้เสียงกระซิบกระซาบของทุกคนหยุดลงในทันที
* 古筝 guzheng กู่เจิง เป็นเครื่องสายดีดโบราณของจีนซึ่งมีประวัติยาวนานประมาณ 2,500 ปี
“จันทร์กระจ่างฟ้าจักมีในยามใด ยกจอกสุราขึ้นถามต่อฟ้า
ไม่อาจรู้ว่าวิมานบนสรวงสวรรค์ ณ ยามนี้เป็นปีไหน…”
สี่ประโยคเรียบง่ายที่ใช้บรรเลงเพื่อเริ่มการแสดงแตกต่างไปจากเสียงแหลมเสียดหูที่ทุกคนเคยได้ยินก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ทำนองบรรเลงถูกปรับให้เข้ากับเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเจียงฉาได้อย่างเหมาะสมและทำให้ผู้ฟังรู้สึกรื่นหูอย่างมาก
จากนั้นคนอื่น ๆ ก็เริ่มขับร้องท่อนของตนไปตามลำดับและเสียงของพวกนางก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเสียงอันไพเราะของเครื่องดนตรีประกอบเช่นกู่เจิงและผีผา ผู้ชมทุกคนจึงดื่มด่ำไปกับบทเพลงมากยิ่งขึ้น
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยรับบทเป็นบุรุษในการแสดงนี้ ทว่าพวกนางก็ยังคงสง่างามและดูทรงพลังอย่างยิ่ง ทั้งสองถ่ายทอดถึงอารมณ์ของความสุขและความเศร้าของบทเพลงได้อย่างแม่นยำและประสานเข้ากับการแสดงของเจียงฉาและคนอื่น ๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
การร้อง ‘แร็ป’ ของฉินอวี้โม่ในท่อนกลางของบทเพลงก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมและการฟ้อนรำในแบบ ‘จิงหง’ ที่หลี่ก่วนก่วนฝึกฝนมาเป็นพิเศษก็ทำให้ทุกคนมิอาจละสายตาได้ ลั่วซือก็แสดงผลงานที่น่าทึ่งเช่นกัน นางวาดภาพในขณะที่เต้นรำซึ่งเป็นภาพของสมาชิกทั้งเจ็ดท่ามกลางนิกายหมื่นกระบี่และแม้แต่ผู้ตัดสินหลายร้อยคนก็ถูกวาดลงบนนั้นทีละคน เมื่อบทเพลงดำเนินมาถึงตอนท้าย แปรงสีในมือของนางก็ถูกตวัดเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกันและทำให้ทุกคนเข้าใจถึงจุดประสงค์ของการวาดภาพดังกล่าวได้ในทันที
* 惊鸿舞 การแสดงฟ้อนรำจีนจิงหง เป็นการฟ้อนรำของจีนสมัยโบราณที่สตรีจะสวมชุดที่มีแขนยาวออกมานอกมือ
เวลาผ่านไปเกือบสองจิบชาและในที่สุดการแสดงของกลุ่มก่วนฉิงซืออวี้จิ้งซวงฉาก็เสร็จสมบูรณ์
สมาชิกทั้งเจ็ดยืนเรียงหน้ากันและโค้งคำนับต่อผู้ชมทุกคนอย่างพร้อมเพรียงทว่ากลับไม่ได้รับการตอบสนองใด
ในเวลานี้ ผู้ชมทุกคนกำลังตะลึงงันและชะงักนิ่งไป ผลงานการแสดงอันสมบูรณ์แบบเมื่อครู่ทำให้พวกเขาตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลานาน
ไม่ว่าจะเป็นการขับร้องหรือการเต้นรำ รวมถึงรูปแบบเรื่องราวที่นำเสนอออกมา พวกเขามิอาจสรรหาจุดบกพร่องใดได้เลย
“ไม่แปลกใจเลยที่ศิษย์พี่บอกว่าศิษย์ใหม่ทั้งสองคนนั้นจะนำพาความประหลาดใจมาสู่ทุกคน การแสดงของพวกนางช่างน่าอัศจรรย์จนมิอาจละสายตาได้จริง ๆ”
ณ แท่นยกสูงของบรรดาผู้อาวุโส ว่านเฉินซีเรียกสติกลับคืนมาเป็นคนแรกและถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม
การแสดงของฉินเสี่ยวเยี่ยนและว่านหลิงเอ๋อร์ถือว่าไร้ที่ติและสมบูรณ์แบบ ทว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มของฉินอวี้โม่ พวกนางยังขาดการเล่าเรื่องและการบรรยายภาพ รวมถึงสมาชิกในกลุ่มก็ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะกับตนมากที่สุด
สำหรับผลงานของกลุ่มก่วนฉิงซืออวี้จิ้งซวงฉา ทุกคนแสดงจุดเด่นของตนเองและพบตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับตนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการขับร้องอย่างเป็นเอกลักษณ์เพื่อเปิดการแสดงของเจียงฉา การฟ้อนรำอันน่าทึ่งของหลี่ก่วนก่วน การวาดภาพของลั่วซือ การบรรเลงผีผาของลั่วฉิง ทุกคนล้วนอยู่ในตำแหน่งที่เข้ากับตนเองและแสดงผลงานได้อย่างไร้ที่ติ
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยในอาภรณ์ของบุรุษก็ดูน่าตื่นตายิ่งกว่า แม้แต่ศิษย์สตรีที่ได้ชมการแสดงของพวกนางต่างก็รู้สึกชื่นชมและหลงใหลในตัวพวกนางเป็นอย่างมากจนถึงขั้นปรารถนาให้ทั้งสองเป็นบุรุษจริง ๆ เพื่อที่พวกตนจะได้สานสัมพันธ์ต่อและให้กำเนิดทายาทตัวน้อยด้วยกัน
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจจริง ๆ !”
ว่านหรูชูยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาทราบดีว่าทั้งหมดจะต้องเป็นความคิดของฉินอวี้โม่อย่างแน่นอนและรู้สึกชื่นชมนางมากยิ่งขึ้น
สตรีที่ชาญฉลาด ไหวพริบดีและน่าสนใจเช่นนี้ถือเป็นผลดีสำหรับนิกายหมื่นกระบี่ของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น ครานี้วิชาหมื่นกระบี่หวนคืนที่นิกายของพวกเขาศึกษาทำความเข้าใจมานานหลายปีก็อาจได้พบผู้เป็นนายก็เป็นได้…
“น่าทึ่งจริง ๆ ศิษย์น้องอวี้โม่ พวกเราขอยอมรับความพ่ายแพ้ !”
แปะ แปะ แปะ !
เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและว่านหลิงเอ๋อร์ก็เหาะขึ้นบนเวทีพร้อมด้วยสมาชิกในกลุ่มของนาง แม้บรรดาผู้ตัดสินยังไม่ทำการลงคะแนน นางก็มั่นใจแล้วว่าผู้ที่คว้าชัยชนะในการประกวดครานี้จะต้องเป็นกลุ่มของฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน
“เจียงฉา ครานี้พวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกประทับใจมากจริง ๆ”
นางหันไปกล่าวกับเจียงฉาและคนอื่น ๆ พร้อมยกนิ้วหัวแม่มือชื่นชม
“ฮ่า ๆ ๆ ทุกอย่างเป็นความคิดของอวี้โม่ เราเพียงทำตามที่นางบอกเท่านั้นและไม่ได้คิดสิ่งใดเองเลย”
เจียงฉาและสหายอดหัวเราะอย่างมีความสุขไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกนางไม่คิดรับความดีความชอบนี้ไว้เองและหันไปมองฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวด้วยความซื่อตรง
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เจ้าคิดค้นการแสดงเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไรหรือ ?”
ฉินเสี่ยวเยี่ยนและกลุ่มของนางเหาะขึ้นมาบนเวทีเช่นกัน จากนั้นนางก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่าฉินอวี้โม่คิดค้นการแสดงที่สมบูรณ์แบบและน่าตื่นตาเช่นนี้ได้อย่างไร
การแสดงเมื่อครู่นำจุดเด่นของแต่ละคนออกมาใช้ได้อย่างยอดเยี่ยมและการเต้นรำพัดของเจ็ดคนก็ดูไม่แออัดหรือจำเจแม้แต่น้อย พวกนางทำการแสดงกันอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจซึ่งกล่าวได้ว่าน่าทึ่งยิ่งนัก
ฉินเสี่ยวเยี่ยนเคยคิดว่าการแสดงที่นางคิดค้นขึ้นมาเป็นสิ่งที่ยากจะเป็นสองรองใคร ทว่าตอนนี้นางตระหนักแล้วว่ายังด้อยกว่าฉินอวี้โม่อีกมากนัก
“ข้าเพียงหยิบยืมแนวคิดจากคนอื่น ๆ มาและนำมาประสานดัดแปลงเป็นแนวคิดใหม่ ข้าไม่ได้คิดเองทั้งหมดหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ตอบตามความจริง นางเพียงผสมผสานแนวคิดจากการร้องเพลงและเต้นรำหลากหลายประเภทของยุคที่ตนจากมาเพื่อคิดค้นการแสดงที่เข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเท่านั้น
“ศิษย์น้องทั้งหลาย ไว้คุยกันทีหลังเถอะ ศิษย์น้องอวี้โม่…เชิญหาเสียงเรียกคะแนนได้เลย จากนั้นผู้ตัดสินจะเริ่มลงคะแนน”
ว่านจินอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาของทุกคน ผู้เข้าประกวดร้องเล่นเต้นรำในครานี้ปรองดองเป็นหนึ่งเดียวกันกว่าก่อนมาก นับเป็นโอกาสยากยิ่งนักที่จะได้เห็นผู้เข้าประกวดกล่าวชมคู่แข่งอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาสงสัยใคร่รู้มากที่สุดในตอนนี้คือกลุ่มของฉินอวี้โม่จะได้รับคะแนนมากเพียงใด ?