เศษหินที่ถูกลมพัดกลิ้งไปตามพื้นดิน เกิดเสียงดังครืน ๆ ปะปนไปกับเสียงลมที่ถูกกระบี่เชือดเฉือนไปในอากาศ ช่างดูน่าเศร้าระทมยิ่งนัก
หอเฟิงเงียบสงัด ถังซานสือลิ่วและสวีโหย่วหรงมองไปยังซางสิงโจวและเฉินฉางเซิง ต่างไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
มีเพียงเสียงของหวังจือเช่อเท่านั้นที่ลอยเข้ามาตามลม
การต่อสู้ที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์นี้ได้สิ้นสุดลงในที่สุด
เพียงแต่ห้วงเวลาเมื่อครู่นั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
ขณะนี้ซางสิงโจวกำลังบีบไปที่คอหอยของเฉินฉางเซิง เขาควบคุมสถานการณ์ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นและความตายอยู่มิใช่หรือ เหตุใดหวังจือเช่อกลับเอ่ยว่าเขาพ่ายแพ้แล้วหรือ
ซางสิงโจวมองไปยังเฉินฉางเซิง ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าเรียนรู้สิ่งนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
……
……
ในสวนโจว อวี๋เหรินยืนอยู่ข้างโต๊ะศิลา มองไปยังกำแพงนั้นโดยไม่ได้เอ่ยคำใด
บนชั้นเมฆลอย มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งก็มองไปยังสวนแห่งนั้นบนพื้นดิน มันเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
โลกนี้กว้างใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจเจตนาของเฉินฉางเซิง
ก่อนหน้าที่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น ซางสิงโจวเอ่ยคำที่ดูธรรมดาออกมาคำหนึ่ง แต่ทว่าซับซ้อน ทั้งยังยากที่จะเข้าใจนัก
ในคำนั้นมีข้อมูลที่มากมายมหาศาล
นั่นคือภาษามังกร
เนื้อหาของคำนั้นเป็นวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่หาใดเทียบได้
วิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกจารึกเอาไว้ในคัมภีร์วิถีพรต
หลายปีก่อน ณ ริมแม่น้ำวัดเก่าเมืองซีหนิง เฉินฉางเซิงและอวี๋เหรินเคยเห็นคัมภีร์วิถีพรตเล่มนั้น
ตัวอักษรบนคัมภีร์วิถีพรตนั้นไม่คุ้นเคยยิ่งนัก แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้จัก
พวกเขาไปถามอาจารย์ของตน
อาจารย์เอ่ยว่านั่นคือคัมภีร์บทสุดท้ายของคัมภีร์ลัทธิเต๋าสามพันบท มีหนึ่งพันหกร้อยตัวอักษร ในมีความหมายสูงสุดของสวรรค์ซ่อนอยู่ในนั้น และไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจความหมายของมันได้ทั้งหมด
จวบจนกระทั่งวันนี้ เฉินฉางเซิงจึงได้มั่นใจว่าสิ่งที่อาจารย์เอ่ยนั้นมิได้เป็นความจริงทั้งหมด หรืออาจจะเอ่ยได้ว่าเขาปิดบังเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าซางสิงโจวร่ำเรียนคัมภีร์วิถีพรตเล่มนั้นมาแล้ว ทั้งยังเรียนรู้ได้มากแล้วด้วย
วิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่โชกโชนและเก่าแก่หาใดเทียบได้นั้น ทำให้เขามีพลังที่อยู่เหนือขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ สามารถทำลายค่ายกลสถานศึกษาหนานซีได้สำเร็จและมายืนอยู่ตรงหน้าเฉินฉางเซิง
หากไม่มีเหตุการณ์คาดไม่ถึงเกิดขึ้นแล้วล่ะก็ เขาก็จะได้รับชัยชนะในสงครามระหว่างอาจารย์และศิษย์นี้
แต่ในเวลานั้นเอง เฉินฉางเซิงได้เอ่ยออกมาคำหนึ่ง
คำนั้นซับซ้อนเยี่ยงเดียวกัน ยากที่จะเข้าใจและแอบแฝงไว้ซึ่งข้อมูลที่ราวกับไม่จบไม่สิ้น
คือภาษามังกรเช่นกัน
และก็คือวิถีพรตเก่าแก่มากวิชาหนึ่ง
มังกรครวญสองบทนั้นประสานกันได้ดี
ลมปราณสองสายส่องแสงแพรวพราว
สายฝนแห่งกระบี่เต็มท้องฟ้าตกลงมา
หากว่าซางสิงโจวยังคงกดขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของตนอยู่ เขาจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ หรืออาจจะต้องสิ้นชีพเลยก็ได้
ดังนั้น ในช่วงเวลาสุดท้ายเขาได้ทำลายการกดทับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ของตนเสีย และใช้พลังที่อยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ออกมา
กระบี่นับพันเล่มกรีดอาภรณ์นักพรตของเขา และก็ปรากฏแสงสาดออกมาไกลถึงหมื่นจั้ง
เมื่อสายฝนพบกับแสงแดด ความสวยงามก็พลันกลายเป็นควันสีเขียว แม้แต่ทุ่งหิมะก็ต้องละลายเช่นกัน
พรสวรรค์ ความสามารถ วิถีพรตของเฉินฉางเซิง มันถูกกดดันตรง ๆ ก่อนจะเป็นพลังสูงส่งที่แท้จริง
นิ้วของซางสิงโจวกดไปที่คอของเขา
แต่มิได้กดไปยังคอหอยที่เป็นจุดตาย
เขาใช้พลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นเขาจึงพ่ายแพ้แล้ว
จุดพลิกผันของการต่อสู้ฉากนี้อยู่ตรงก่อนหน้าที่เฉินฉางเซิงจะเอ่ยคำนั้น
ซางสิงโจวต้องการทราบว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร
“ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงในปีนั้น”
เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองกำแพงสำนักฝึกหลวงด้านนั้น สีหน้าปรากฏแววตาย้อนรำลึกออกมา
ด้านนั้นคือสวนร้อยหญ้า และห่างไกลออกไปคือวังหลวง
“ในค่ำคืนหนึ่ง ม่ออวี่หลอกข้าเข้าไปในวังถง ต่อมาข้าจึงได้รู้ว่าที่แท้นั่นคือเจตนาของอาจารย์อา”
ในคืนนั้นคือการชุมนุมไม้เลื้อย เป็นครั้งแรกที่ชื่อของเฉินฉางเซิงนี้เผยแพร่ไปทั่วทั้งดินแดน แต่มีเพียงน้อยคนนักที่จะทราบว่าก่อนหน้างานชุมนุมจะเริ่มต้นขึ้น เขาถูกม่ออวี่กักขังไว้ หลังจากนั้นก็ได้พบกับมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งในตำนานท่านนั้น เขาเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เกือบถูกสังหารและกินเสียแล้ว แต่สุดท้ายกลับได้อะไรติดตัวกลับไปมากมายนัก
นั่นคือครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงได้พบกับการทดสอบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายครั้งแรกหลังจากที่มาถึงเมืองหลวง และในเวลาต่อมาเขามักจะนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้น อย่างเช่นคำพูดเหล่านั้นที่เขาเอ่ยกับมังกรดำอย่างหดหู่ใจ ยิ่งคิดยิ่งละอายใจ และในบางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดในตอนนั้นใต้เท้าสังฆราชต้องมอบหมายให้ม่ออวี่ทำเรื่องราวเหล่านี้
นอกจากจะให้มังกรดำกลายมาเป็นผู้ปกป้องของท่านใต้เท้าสังฆราชคนถัดไปแล้ว ยังมีเจตนาแฝงที่ลึกล้ำอะไรอีกหรือไม่
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ และไม่อยากจะคิดอีกต่อไป
ดอกไม้ลอยอยู่บนผิวของแม่น้ำ
เขาเดินอยู่ริมแม่น้ำนั้น
นี่ไม่ได้ตั้งอยู่บนเจตนาแรกสุดของเขา เขาเริ่มต้นเรียนรู้ภาษามังกร
ระหว่างที่เรียนนั้นไม่ได้ราบรื่นนักเมื่อเปรียบเทียบกับการสรรหาซื้ออาหารเลิศรสในตรอกซอกซอยต่าง ๆ ของเมืองหลวง อาจเรียกได้ว่ายากลำบากเลยทีเดียว
แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่านไป บางครั้งเขาก็ย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่เคยท่องคัมภีร์วิถีพรตอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิง ทันใดนั้นกลับพบว่าตนนั้นเข้าใจได้ถึงบางอย่าง
ช่วงเวลาสามปีในเทือกเขาหิมะนั้น ทุกค่ำคืนเขาพากเพียรร่ำเรียนภาษามังกรจากมังกรดำมาโดยตลอด จากนั้นก็เอาแต่รำลึกถึงเนื้อหาในคัมภีร์วิถีพรตนั้น
มันล้วนยากเสียจริง ไม่ว่าจะเป็นภาษามังกรหรือว่าคัมภีร์วิถีพรตเล่มนั้น
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเรียนรู้ได้ไม่มาก ทั้งภาษามังกรและคัมภีร์วิถีพรตเล่มนั้น
แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถทำให้เขารับเอาวิถีพรตบทนั้นเอาไว้ได้ โดยที่ซางสิงโจวไม่ได้เตรียมการใด ๆ เอาไว้ก่อน
และในขณะเดียวกันกับที่เขาเอ่ยคำนั้นออกมาเมื่อครู่ เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดท่านใต้เท้าสังฆราชจึงได้จัดการเยี่ยงนั้นออกมาในปีนั้น
ท่านใต้เท้าสังฆราชอยากจะให้เขาได้รับความช่วยเหลือจากมังกรดำ ทั้งยังอยากจะให้เขาเรียนรู้ภาษามังกรนั่นเอง
ท่านใต้เท้าสังฆราชหวังว่าเขาจะสามารถเข้าใจคัมภีร์สามพันมหามรรค และยังเตือนเขาด้วยว่าซางสิงโจวเข้าใจวิถีพรตโบราณบางบทจากคัมภีร์เล่มนั้น
เหตุใดจึงต้องตักเตือนหรือ นี่ก็ถือเป็นการตักเตือนเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า ท่านใต้เท้าสังฆราชได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าเป็นเวลานานแล้ว ว่าพวกเขาที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์อาจจะกลายมาเป็นอริเพราะความขัดแย้งด้านความคิด
ประสงค์จะเข้าใจในเรื่องทั้งหมดนี้ เฉินฉางเซิงจึงเอ่ยคำพูดมากมายกับซางสิงโจว
“ท่านกล่าวเอาไว้ไม่ผิด แท้จริงเป็นท่านที่เลี้ยงดูข้ามาจนเติบใหญ่ แต่ว่ามิใช่ท่านที่นำพาข้าเติบใหญ่ เนื่องจากท่านไม่เคยนำพาข้า ไม่เคยสนใจข้า และก็ไม่เคยสอนสั่งข้า เป็นศิษย์พี่ที่นำพาข้าจนเติบใหญ่ เขาสอนข้าหลากหลายเรื่อง ท่านผู้อาวุโสซูหลีก็สั่งสอนข้าหลายเรื่องเช่นกัน ทั้งยังมีอาจารย์อา สิ่งที่พวกเขาสั่งสอนให้แก่ข้านั้นมากมายกว่าท่านนัก”
ซางสิงโจวมองไปที่เฉินฉางเซิง ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
เขาแพ้แล้ว
เขาแพ้ให้แก่ลูกศิษย์ที่อยู่เบื้องหน้า ลูกศิษย์ที่เขาไม่ชื่นชอบที่สุด แล้วก็แพ้ให้แก่ลูกศิษย์คนที่เขาชื่นชอบมากที่สุดคนนั้นที่อยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพง
เขาพ่ายแพ้ให้แก่ลูกศิษย์ที่เขาเคยดูแคลนที่สุดผู้นั้น
ในตอนนี้เขาควรจะทำเช่นไร
วางมือและจากไป เหมือนสุนัขเฒ่าที่สูญเสียเจ้าของตัวหนึ่งอย่างนั้นหรือ หรือว่า……
ซางสิงโจวหลับตาลง
นี่มันกระทันหันนัก
ไม่ว่าจะเป็นหวังจือเช่อ หรือว่าถังซานสือลิ่ว รวมถึงสวีโหย่วหรง ล้วนประหลาดใจ
มีเพียงเฉินฉางเซิงเท่านั้นที่ยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาได้คาดการณ์ถึงฉากนี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ซางสิงโจวหลับตาลง แต่ไม่ได้ปล่อยมือ
มือของเขายังวางลงบนคอหอยของเฉินฉางเซิงอย่างมั่นคงยิ่งนัก
มันเหมือนต้นสนที่แข็งแรง และเหมือนกุญแจมือเหล็กอันแข็งแกร่ง
ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น
ในส่วนลึกของลูกตาดำที่เงียบสงบของเขา ดูเหมือนว่าสีของโลหิตจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป และเมื่อพวกมันรวมตัวกับลูกตาดำเข้า ก็กลายเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
นั่นคือน้ำมันที่ไหลย้อยลงมาจากรอยแตกในไม้สนเก่า
นั่นคือสนิมที่ผิวของกุญแจมือเหล็ก
เขามองไปที่เฉินฉางเซิง ดวงตาของเขาสงบและมั่นคง
เจตนาสังหาร ที่ไม่ได้ปกปิดแม้แต่นิด
……
……
“รู้แพ้รู้ชนะ”
หวังจือเช่อตะโกนก้อง
……
……
ไม้เท้าถูกวางไว้ข้างโต๊ะศิลา
อวี๋เหรินไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
……
……
ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์กลายเป็นร่องรอยของเพลิงสองสาย
สวีโหย่งหรงหายไปจากที่นั่น
……
……
ลมเริ่มโหมกระหน่ำ
ร่างมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ยิ่งใหญ่เรากับเทือกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักฝึกหลวงอย่างเร่งรีบ
……
……
ถังซานสือลิ่วค้อมตัวคำนับซางสิงโจว ก่อนเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ต้องทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
……
……
เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยคำใด
เขาจ้องไปที่ซางสิงโจว แววตาสงบนิ่งและมั่นคงไม่แพ้กัน