สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ว่านเจียงเหอเป็นจุดเดียว ในฐานะผู้อาวุโสรองของนิกายหมื่นกระบี่ การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนในนิกายมิอาจทนรับได้
อีกทั้งพฤติกรรมของเขาในตอนนี้ก็ยั่วยุโทสะของทุกคนอย่างที่สุด
“แล้วอย่างไรเล่า ?”
ในเมื่อประกาศออกมาอย่างชัดเจนเช่นนี้ ว่านเจียงเหอก็ทราบได้ทันทีว่าว่านอู๋เริ่นและว่านหรูชูคงจะมีหลักฐานแล้ว เวลานี้ เขาจึงไม่ปฏิเสธอีกต่อไปและยอมรับความจริงไปโดยตรง
“ว่านอู๋เริ่น เจ้าพร่ำบอกว่าให้ความสำคัญกับข้ามาก ทว่าจริง ๆ แล้วเจ้าเคยให้ความสนใจกับข้าด้วยรึ ? คนที่เจ้าให้ความสำคัญที่สุดก็คือว่านหรูชูและว่านเฉินซี แม้เป็นผู้อาวุโสรอง ข้าก็เป็นได้เพียงในนามเท่านั้น ข้าไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรในเรื่องสำคัญของนิกายหมื่นกระบี่ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการใช้อำนาจในฐานะผู้อาวุโสรอง การอยู่ในนิกายนี้ต่อไปจะมีประโยชน์อะไรต่อข้า ?”
เขามองตรงไปที่ว่านอู๋เริ่นและว่านหรูชูด้วยสายตาโกรธแค้นขณะกล่าวเสียงดังและระบายความในใจทั้งหมดออกไป
เขารู้สึกมาเสมอว่าสถานะผู้อาวุโสรองของตนด้อยค่ากว่าที่ควรจะเป็นมากนัก ระดับความสำคัญของเขายังด้อยกว่าว่านหรูชูและว่านเฉินซีอีกมากนัก บางครั้งบางครา แม้แต่ผู้อาวุโสสี่และผู้อาวุโสห้าก็ยังได้รับความไว้วางใจมากกว่าเขา
ก่อนหน้านี้ที่สำนักหมอกควันหยิบยื่นข้อเสมอให้เขา ว่านเจียงเหอก็ยังลังเลเป็นเวลานานก่อนตัดสินใจได้ ถึงอย่างไร หลังจากอยู่ในนิกายหมื่นกระบี่มานานหลายร้อยปี มันก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่มีความรู้สึกผูกพันกับที่แห่งนี้ ลึก ๆ แล้วเขาก็ไม่ต้องการทำในสิ่งที่เป็นการทรยศต่อนิกายหมื่นกระบี่ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงนึกหลายครั้งหลายคราที่คนในนิกายผลักไสไล่ส่งและทำราวกับเขาไม่มีความสำคัญ ในที่สุดเขาก็ตกปากรับคำไปและไม่รู้สึกว่าตนทำสิ่งที่ผิดแต่อย่างใด
ดังคำโบราณที่ว่าไว้ คนไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงโทษ… แล้วเขาที่เพียงต้องการทำเพื่อตนเองจะเป็นสิ่งที่ผิดได้อย่างไร ?
“อย่าหาข้ออ้างให้กับความเห็นแก่ตัวของเจ้าเลย ว่านเจียงเหอ...มันมิใช่เรื่องผิดที่เจ้าไม่พอใจกับการเป็นเพียงผู้อาวุโสรองและอยากไปเข้าร่วมกับขุมกำลังอื่น ทว่าเจ้าไม่ควรทรยศต่อนิกายหมื่นกระบี่ของเรา เจ้าไม่คู่ควรกับการอยู่ที่นี่และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นบทลงโทษที่ยุติธรรมแล้ว เจ้าพร่ำกล่าวว่าท่านพ่อให้ความสำคัญกับข้ามากกว่า ลองคิดดูให้ดีเถอะ ทุกคราที่นิกายของเราต้องตัดสินในเรื่องใหญ่ ท่านพ่อก็ถามความเห็นจากเจ้าและศิษย์พี่อยู่เสมอมิใช่หรือ ? เราโตมาด้วยกันและท่านพ่อของข้าก็มองเจ้าไม่ต่างจากลูกชาย เขาจะไม่เห็นความสำคัญของเจ้าได้อย่างไร ?!”
ว่านเฉินซีไม่เห็นด้วยกับวาจาของว่านเจียงเหอ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นในทั่วทั้งนิกายหมื่นกระบี่ที่ว่านอู๋เริ่นรับฟัง นั่นคือว่านหรูชูและว่านเจียงเหอ เมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องใหญ่หรือเหตุการณ์สำคัญ เขาก็มักถามความคิดเห็นจากทั้งสองเพื่อให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจ
ทว่าตอนนี้ว่านเจียงเหอกลับกล่าวอย่างหน้าไม่อายว่าตนถูกกีดกัน มันช่างเป็นวาจาที่น่าขันยิ่งนัก
“ศิษย์น้องเอ๋ย ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายตอบโต้กับคนอย่างเขาหรอก มันเสียเวลาเปล่า ๆ”
ผู้อาวุโสสี่และผู้อาวุโสห้ากล่าวขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ในเวลานี้ พวกเขาก็คิดว่าสมองของพวกเขาคงจะมีปัญหาที่หลงไปเคารพผู้อาวุโสรองก่อนหน้านี้
คนเช่นว่านเจียงเหอไม่คู่ควรกับความเคารพจากผู้ใดทั้งสิ้น สำหรับคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่หนึ่ง การถูกขับไล่ออกจากนิกายหมื่นกระบี่ถือว่าเป็นโทษสถานเบาแล้ว
“ว่านเจียงเหอ หากเจ้าเข้ามาพบข้าและบอกตรง ๆ ว่าอยากจะเข้าร่วมกับสำนักหมอกควัน ข้าก็ไม่คิดที่จะขัดขวางเจ้าอย่างแน่นอน ทว่าเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนเป็นไพ่ตายของนิกายเรา เจ้าเพียงต้องปฏิญาณว่าจะไม่นำมันไปเผยแพร่ต่อคนนอก ต่อให้ออกไปและก่อตั้งขุมกำลังของตนเอง ข้าก็จะไม่ขัดขวางและอาจจะช่วยสนับสนุนเจ้าด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีสิทธิ์ใช้เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนเพื่อแลกกับการซื้อใจขุมกำลังอื่น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่ควรละเมิดกฎและเผยแพร่คำสอนของบรรพบุรุษที่มีมาช้านาน การกระทำเช่นนี้เป็นการทรยศต่อนิกายอย่างเห็นได้ชัด !”
ว่านอู๋เริ่นกล่าวอย่างไม่แยแสและน้ำเสียงแสดงถึงความผิดหวังอย่างที่สุด สำหรับคำสอนและเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายหมื่นกระบี่ทิ้งเอาไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกมันรั่วไหลไปถึงมือของคนนอกอย่างแน่นอน แม้แต่ผู้ที่เคยศึกษาเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืน เมื่อออกจากนิกายไป พวกเขาก็ต้องปฏิญาณตนว่าจะไม่เผยแพร่เคล็ดวิชาดังกล่าวต่อคนนอก
ทว่าว่านเจียงเหอไม่เพียงแต่เพิกเฉยต่อหลักปฏิบัติตามคำสอนของบรรพบุรุษเท่านั้น ทว่ายังวางแผนที่จะใช้เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนเป็นชั้นบันไดไปสู่ความสำเร็จของตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่ว่านอู๋เริ่นไม่อาจทำใจยอมรับได้
หากเป็นเพียงการเข้าข้างศิษย์คนโปรดและความเห็นแก่ตัวในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็อาจให้อภัยว่านเจียงเหอได้ ทว่าครานี้สิ่งนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน !
ในเวลานี้ ร่างกายของว่านอู๋เริ่นยังไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ทว่ากระบี่ลอยฟ้าจำนวนมากกลับปรากฏขึ้นกลางอากาศและพุ่งตรงไปยังว่านเจียงเหอ
ความแข็งแกร่งของว่านเจียงเหออยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาและความเข้าใจของเขาที่มีต่อเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนก็อยู่ในระดับสูง ในเวลานี้ กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขาโดยที่ก่อตัวมาจากพลังมายาและปะทะเข้ากับกระบี่ลอยฟ้าที่มาจากว่านอู๋เริ่น
เนื่องจากสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงจากว่านอู๋เริ่น เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องหาทางหนีไปจากที่นี่และจะเสียเวลาต่อสู้อีกไม่ได้
เขาปลดปล่อยการโจมตีใส่ว่านอู๋เริ่นและเหาะตรงไปยังประตูทางออกของนิกายอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหนีไปได้ไกล จู่ ๆ เสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากว่านเจียงเหอและร่างของเขาร่วงลงบนพื้นดิน
“อ๊ากกก ! จุดตันเถียนของข้า !”
เสียงตะโกนดังขึ้นเมื่อพลังมายาของว่านเจียงเหอแห้งเหือดไปอย่างไร้ร่องรอย เดิมทีเขาดูเหมือนบุรุษที่มีอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี ทว่าภายในชั่วพริบตา เขากลับกลายเป็นบุรุษชราผมสีขาวที่หายใจรวยรินทันที จุดตันเถียนของเขาถูกทำลายไปโดยว่านอู๋เริ่นและไม่มีโอกาสฝึกยุทธ์ได้อีกในอนาคต กล่าวได้ว่าเขากลายเป็นคนไร้ค่าไร้ความสามารถไปโดยสมบูรณ์
“ว่านอู๋เริ่น เจ้า…ช่างโหดร้ายนัก !”
เพียงหอบหายใจและพยายามกล่าวประโยคดังกล่าว มันก็ใช้พลังงานของว่านเจียงเหอไปถึงเก้าในสิบส่วน ในเวลานี้ เขาก็ล้มลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ว่านเจียงเหอ การที่ไว้ชีวิตเจ้าก็ถือเป็นความเมตตามากแล้ว เจ้าควรจะรับรู้เป็นอย่างดีว่าข้าเป็นคนอย่างไร !”
ว่านอู๋เริ่นขมวดคิ้วมุ่นและกล่าวอย่างไม่แยแสกับสิ่งที่ทำลงไป วาจาของเขาทั้งหมดเป็นความจริงและการไว้ชีวิตว่านเจียงเหอก็ถือว่าเป็นความเมตตามากแล้ว หากเป็นใครอื่น จ้าวนิกายหมื่นกระบี่คงปลิดชีพอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
แน่นอนว่าในบรรดาผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ มีเพียงว่านเจียงเหอเท่านั้นที่มีจิตใจคิดร้ายเช่นนี้ คนอื่น ๆ ไม่มีทางทำสิ่งที่เป็นการทรยศต่อนิกายอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อ ปล่อยให้ข้าจัดการเองเถอะเจ้าค่ะ”
ว่านเฉินซีกล่าวขึ้น สำหรับคนเช่นว่านเจียงเหอ หากปล่อยให้เขาอยู่ในนิกายหมื่นกระบี่ต่อไปก็มีแต่จะทำให้ผืนดินของนิกายแห่งนี้แปดเปื้อนไปเสียเปล่า ทว่านางก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาหนีไปที่สำนักหมอกควันได้ง่าย ๆ เช่นกัน
“เข้าใจแล้ว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จัดการเถอะ”
ว่านอู๋เริ่นพยักศีรษะและปล่อยให้ว่านเฉินซีจัดการเรื่องนี้ต่อไป เขาคาดเดาได้ว่าบุตรสาวกำลังคิดสิ่งใด และมันก็เป็นสิ่งที่เขาวางแผนจะทำอยู่แล้วเช่นกัน
เมื่อรากฐานพลังถูกทำลายไป ว่านเจียงเหอก็ไม่มีทางเผยแพร่เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนได้อีก ต่อให้ว่านเจียงเหอมีความเข้าใจในระดับหนึ่ง มันก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป และต่อให้คนของสำนักหมอกควันจะทราบเกี่ยวกับกระบวนท่าและขั้นตอนการฝึกฝนของเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืน พวกเขาก็ไม่มีทางทำความเข้าใจได้สำเร็จ
เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนของนิกายหมื่นกระบี่ มันเป็นสิ่งที่ผู้ใดจะทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึ…
“ฉินอวี้โม่ ไว้ชีวิตข้าเถอะ ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรท้าทายเจ้าตั้งแต่ต้น”
จิตวิญญาณของว่านอิ้งสงสั่นเทิ้มเมื่อเห็นจุดตันเถียนของผู้เป็นอาจารย์ถูกทำลายไปและกลายเป็นบุคคลไร้น้ำยา เขาอ้อนวอนขอความเมตตาจากฉินอวี้โม่ทันทีโดยหวังว่าจะเอาตัวรอดได้ต่อไป
“เจ้ารับรู้ว่าอาจารย์ของเจ้ากำลังจะเข้าร่วมกับสำนักหมอกควันใช่รึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นด้วยความมั่นใจเกือบจะสมบูรณ์และมิใช่เป็นเพียงการลองเชิง ว่านอิ้งสงจะต้องรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
“ข้า…”
ว่านอิ้งสงมิอาจปฏิเสธเนื่องจากแผนการเดิมของเขาคือการสังหารฉินอวี้โม่และออกจากนิกายหมื่นกระบี่ไปพร้อมกับผู้อาวุโสรองผู้เป็นอาจารย์
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและโบกมือเล็กน้อยก่อนทำลายจิตวิญญาณของว่านอิ้งสงจนสิ้นซาก
ในขณะเดียวกัน ภายในคฤหาสน์เฟิงหัวก็เกิดความเคลื่อนไหวบางอย่าง