เมื่อรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวในคฤหาสน์เฟิงหัว ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
หลังจากกล่าวกับเถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ นางก็บอกลาว่านอู๋เริ่นและว่านหรูชูก่อนขอตัวกลับไปที่หอพักอย่างรวดเร็ว
“การที่เสี่ยวอวี้โม่รีบร้อนกลับไปเช่นนี้…เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ ?”
ว่านอู๋เริ่นและว่านหรูชูสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่าเหตุใดฉินอวี้โม่จึงปรี่กลับไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ พวกเขากังวลว่านางอาจเผชิญกับปัญหาบางอย่างที่ยากจะสะสาง
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ พี่อวี้โม่เพียงบาดเจ็บจากการโจมตีของว่านเจียงเหอจึงต้องกลับไปรักษาตัวโดยเร็ว”
เถาเซี่ยวเซี่ยวและคนอื่น ๆ ไม่กล่าวสิ่งใดมากนักและไม่ทราบเช่นกันว่าควรจะตอบคำถามนี้อย่างไร เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็ไม่ทราบสาเหตุที่ฉินอวี้โม่รีบร้อนกลับไปเช่นนี้…
หลังจากว่านเจียงเหอถูกว่านเฉินซีโยนออกไปนอกนิกาย ว่านอู๋เริ่นก็พาเถาเซี่ยวเซี่ยวไปยังเรือนที่พักของเขาอย่างรวดเร็ว เวลาล่วงเลยมานานนับตั้งแต่ได้พบหน้ากันและเขาต้องการพูดคุยกับหลานสาวที่โปรดปราน
เมื่อคนอื่น ๆ แยกย้ายกันไป เถียนซินและคนอื่น ๆ ก็กลับไปยังห้องพักของตนเช่นกัน
การกินเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองให้กับการเข้าร่วมหอชั้นในของพวกนางก็จำต้องเลื่อนออกไปก่อน สำหรับช่วงเวลาที่จะจัดขึ้นอีกครา พวกนางจะหารือกันได้ก็ต่อเมื่อฉินอวี้โม่และเถาเซี่ยวเซี่ยวมีเวลาว่างเท่านั้น…
ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ร่างจิตของหานโม่ฉือค่อย ๆ ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
หลังจากการพัฒนาครั้งล่าสุดของคฤหาสน์เฟิงหัว ทุก ๆ เดือนฉินอวี้โม่ก็จะมีโอกาสได้พบกับหานโม่ฉือเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม แม้ไม่ทราบว่าคุณสมบัติใหม่นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งนางและหานโม่ฉือมีความสุขอย่างที่สุด
ถึงอย่างไร ฝ่ายหนึ่งก็อยู่ในโลกปีศาจในขณะที่อีกฝ่ายอยู่ในโลกแห่งเทพ เพราะเหตุนั้นการพบหน้าหรือสื่อสารกันในวิธีอื่นจึงเป็นไปไม่ได้ ทว่าเมื่อมีคฤหาสน์เฟิงหัว ทั้งสองก็สามารถพบกันอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้งซึ่งเป็นเรื่องที่สะดวกและง่ายดายยิ่ง
“โม่ฉือ สถานการณ์ในโลกปีศาจเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เวลานี้ ทั้งสองนั่งอยู่ในสวนของลานกว้างในขณะที่หานโม่ฉือจับมือฉินอวี้โม่ไว้อย่างอ่อนโยน
แม้รับรู้เป็นอย่างดีว่าหานโม่ฉืออาจจะปิดบังสถานการณ์จริงเพื่อมิให้นางเป็นกังวล ฉินอวี้โม่ก็ยังเอ่ยถามออกไป
“ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาใด ๆ ทว่าหลังจากนี้ข้าจะไปที่เมืองหลวงของโลกปีศาจกับยอดฝีมือจำนวนหนึ่งในฝ่ายข้าและจะนำเศษเสี้ยวพลังที่ข้าทิ้งไว้ที่นั่นกลับคืนมา หลังจากที่ได้มันคืนมา ต่อให้ต้องประจันหน้ากับจ้าวแห่งโลกปีศาจ ข้าก็จะมีโอกาสเอาชนะมากขึ้นถึงสามส่วน เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”
หานโม่ฉือกล่าวพร้อมรอยยิ้มเพื่อมิให้ฉินอวี้โม่กังวลจนเกินไป แม้สถานการณ์ในโลกปีศาจจะดูอันตราย มันก็ดีกว่าที่เขาจินตนาการไว้มาก
บุรุษผู้นั้นหวาดหวั่นต่อพลังของเขาและกังวลว่าจะเกิดความโกลาหลวุ่นวายครั้งใหญ่ในโลกปีศาจจึงไม่กล้าลงมือโจมตีหานโม่ฉืออย่างเปิดเผย หานโม่ฉือก็ไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดแม้แต่น้อย และภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมา มันก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใดเกิดขึ้นในโลกปีศาจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเดินทางเข้าไปที่เมืองหลวงของโลกปีศาจ คาดการณ์ได้ว่าเขาและคณะจะต้องเผชิญกับปัญหาความยากลำบากในระดับหนึ่ง
ต่อให้หานโม่ฉือไม่อธิบายสิ่งเหล่านี้ ฉินอวี้โม่ก็พอจะสันนิษฐานได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ ตอนนี้ในฝั่งของข้าก็ยังไม่มีสิ่งใดต้องกังวล หลังจากนี้ข้าจะอยู่ที่นิกายหมื่นกระบี่เพื่อฝึกฝนอย่างจริงจังและพัฒนาความแข็งแกร่งให้ถึงระดับหนึ่ง จากนั้นข้าก็จะกลับไปที่นิกายพันปีศาจก่อนออกตามหาอ้ายฉือและอ้ายโม่”
ฉินอวี้โม่อธิบายเพื่อมิให้หานโม่ฉือกังวลสถานการณ์ของตนเช่นกัน รากฐานพลังของว่านเจียงเหอถูกทำลายไปโดยสมบูรณ์แล้ว นางจึงไม่มีเรื่องบาดหมางกับคนอื่นในนิกายหมื่นกระบี่และจะไม่มีผู้ใดคิดหาเรื่องอีกต่อไป ตราบใดที่ไม่ออกจากที่นี่ นางก็สามารถฝึกฝนได้อย่างไร้อุปสรรค
เมื่อถึงวันที่ต้องออกจากนิกายหมื่นกระบี่ไป พลังความแข็งแกร่งของนางคงจะพัฒนาจนถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อถึงตอนนั้น คงจะไม่มีสิ่งใดในโลกแห่งเทพที่ทำให้นางหวาดกลัวได้
“อย่างไรก็ตาม ข้าต้องเตือนเจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าเพิ่งปลุกพลังทางสายเลือดขึ้นมาและผสานเข้ากับพลังมายาได้สำเร็จ ผู้ที่มุ่งร้ายต่อชิงเหอในอดีตคงจะรับรู้ได้แน่ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก หากพวกเขาพบตัวเจ้า พวกเขาจะต้องเคลื่อนไหวเป็นแน่”
หานโม่ฉือมั่นใจในความสามารถของฉินอวี้โม่เสมอและทราบดีว่านางจะสะสางความวุ่นวายในโลกแห่งเทพได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ นางปลุกพลังทางสายเลือดของชิงเหอขึ้นมาได้และมันเป็นสิ่งที่ซ่อนภยันตรายไว้เบื้องหลัง
แม้เรื่องราวในอดีตจะยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนและไม่ทราบว่าสิ่งใดทำให้ชิงเหอปรากฏตัวในดินแดนระดับต่ำ แต่เขาก็เชื่อว่าสถานการณ์ทั้งหมดนั้นจะต้องเกิดจากศัตรู ผู้ที่สัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่อาจลงมือโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว และคาดว่าคนเหล่านั้นมีความแข็งแกร่งที่ไม่ด้อยไปกว่าว่านอู๋เริ่นเท่าใดนัก เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงต้องระวังตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
“ข้าเข้าใจ ไม่ต้องห่วง…ข้ามีแผนการที่เตรียมไว้”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะด้วยความเข้าใจและพร้อมสำหรับสถานการณ์ในอนาคต สำหรับเรื่องนี้ ในเสี้ยวอึดใจที่นางปลุกสายเลือดของตนเองได้สำเร็จ นางก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว
รอบนิกายหมื่นกระบี่ก็มีผนึกพิเศษที่ถูกจัดวางเป็นจำนวนไม่น้อย หากอยู่ที่นี่ต่อไป คนเหล่านั้นก็ไม่มีทางระบุพิกัดของนางได้ เพราะเหตุนั้น นิกายหมื่นกระบี่จึงถือเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
หากออกจากนิกายหมื่นกระบี่ไป ศัตรูของนางจะรับรู้ได้ทันที ทว่าเมื่อถึงตอนนั้น นางก็มีหนทางรับมือที่เตรียมไว้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อออกไปจากที่นี่ มันก็ถึงเวลาที่นางจะต้องล่อเสือออกจากถ้ำ ตราบใดที่คนเหล่านั้นกล้าปรากฏตัวขึ้นมา อีกฝ่ายจะไม่สามารถปิดบังเรื่องราวของชิงเหอได้อย่างแน่นอน
นี่เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการสืบทราบมาตลอด และหากโอกาสที่เหมาะสมมาถึง นางจะได้ไขปริศนาที่ติดค้างในใจเสียที...
ทั้งสองพูดคุยกับในคฤหาสน์เฟิงหัวเป็นพักใหญ่ก่อนถึงเวลาที่ร่างจิตของหานโม่ฉือจะจางหายไป
เวลานี้ อาการบาดเจ็บของฉินอวี้โม่ฟื้นฟูเป็นส่วนใหญ่แล้ว แม้การโจมตีของว่านเจียงเหอจะทำให้จิตวิญญาณของนางเสียหาย ทว่าจิตวิญญาณของนางก็แตกต่างไปจากคนทั่วไปและมีอัตราการฟื้นฟูที่เร็วอย่างมาก ภายในช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ อาการบาดเจ็บเหล่านั้นก็ฟื้นฟูถึงแปดในสิบส่วนแล้วและไม่ส่งผลกระทบต่อนางอีกต่อไป…
ภายในห้องพัก เถาเซี่ยวเซี่ยวยังไม่กลับมาและเหลิ่งซวงเสวี่ยก็ฝึกฝนอยู่ในห้องส่วนตัว ในขณะที่เถียนซินและสวีเยว่กำลังนั่งพูดคุยกันบนเก้าอี้ยาวในห้องโถง
เมื่อฉินอวี้โม่ก้าวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัว ทั้งสองก็สะดุ้งโหยงทันที
“แม่เจ้า ! ข้านึกว่ามีตัวประหลาดอะไรอยู่ในห้องเราเสียอีก !”
เถียนซินยกมือแนบอกและกล่าวพร้อมกลอกตาไปมา จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏกายตรงหน้าโดยที่ไร้ซึ่งสัญญาณเตือนใด ๆ และทำให้พวกนางตกใจจนแทบกรีดร้อง หากยังสงบนิ่งอยู่ได้ ระบบประสาทของนางคงจะผิดปกติไม่น้อย
“อวี้โม่ ก่อนหน้านี้เจ้าเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวมาหรือ ?”
สวีเยว่ เถียนซินและคนอื่น ๆ ล้วนทราบเกี่ยวกับคฤหาสน์ล่องหนของฉินอวี้โม่ ทว่าการที่อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พวกนางก็อดตกใจไม่ได้ หลังจากชะงักนิ่งไปชั่วขณะ ทั้งสองก็เอ่ยถามออกไป
“ใช่ เมื่อครู่สามีของข้ามาที่นี่ ข้าจึงเข้าไปพูดคุยกับเขาพักหนึ่ง”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธและกล่าวตอบตามความจริง
สำหรับเรื่องของหานโม่ฉือ มันมิใช่สิ่งที่จะต้องปิดบังจากสหายเหล่านี้ หลังจากได้เผชิญภยันตรายด้วยกันในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา เถียนซินและคนอื่น ๆ ก็กลายเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกับฉินอวี้โม่แล้ว มิเช่นนั้น นางไม่มีทางปล่อยให้คนเหล่านี้ทราบเกี่ยวกับคฤหาสน์เฟิงหัวของตนอย่างแน่นอน
“สามีของเจ้ารึ ?”
เถียนซินและสวีเยว่ประหลาดใจเล็กน้อยก่อนแสงประกายปรากฏในแววตา
คราก่อนที่ได้ยินฉินอวี้โม่กล่าวถึงบุตรทั้งสองและสามี พวกนางก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับสามีของนางที่มีนามว่า ‘หานโม่ฉือ’ ยิ่งนัก ผู้ที่สามารถอยู่เคียงข้างและครองรักกับฉินอวี้โม่จะเป็นบุรุษธรรมดา ๆ ได้อย่างไร ? แม้ไม่เคยพบหน้า พวกนางก็คาดเดาได้ว่าเขาจะต้องเป็นบุรุษที่โดดเด่นและมากพรสวรรค์ยิ่งกว่ายอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของนิกายหมื่นกระบี่อย่างแน่นอน
“ครั้งหน้าที่เขามา ข้าจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก”
ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มและกล่าววาจาที่ทำให้ทั้งสองแทบกระโดดด้วยความตื่นเต้นและตั้งตารอวันที่จะได้พบหน้าหานโม่ฉือ