ทั้งสามพูดคุยกันในห้องนั่งเล่นเป็นพักใหญ่ก่อนเหลิ่งซวงเสวี่ยจะก้าวออกมาจากห้องส่วนตัว
“เหลิ่งซวงเสวี่ย อวี้โม่บอกว่าคราหน้าจะแนะนำสามีของนางให้พวกเราได้รู้จัก”
ตอนนี้เถียนซินและสวีเยว่คุ้นชินกับความเย็นชาของเหลิ่งซวงเสวี่ยแล้ว อีกทั้งพวกนางก็ยังได้เรียนรู้จากพฤติกรรมของเถาเซี่ยวเซี่ยวว่าควรเข้าหาเหลิ่งซวงเสวี่ยอย่างไร ต่อให้อีกฝ่ายจะเมินเฉย พวกนางก็สามารถพูดคุยคนเดียวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ข้านึกว่าพวกเจ้าเป็นฝ่ายที่บอกให้อวี้โม่แนะนำสามีของนางให้พวกเจ้ารู้จักเสียอีก”
เหลิ่งซวงเสวี่ยยกยิ้มมุมปาก ทว่าปรับสีหน้ากลับกลายเป็นเย็นชาอย่างรวดเร็ว ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตา
“อะไรนะ ?!”
เถียนซินและสวีเยว่ชะงักไปทันทีก่อนมองเหลิ่งซวงเสวี่ยด้วยแววตาตกตะลึง
“เหลิ่งซวงเสวี่ย นี่ผีตนไหนเข้าสิงเจ้ารึ ?! ไม่คิดว่าจะหยอกล้อกับพวกเราเช่นนี้ ?!”
เหลิ่งซวงเสวี่ยก็กลอกตาไปมาและกล่าวอย่างเย็นชา “หุบปากเดี๋ยวนี้ !”
จากนั้นนางก็เดินเข้าไปนั่งข้างฉินอวี้โม่
“เฮ้ นี่ใช่เจ้าหญิงน้ำแข็งที่เรารู้จักจริง ๆ หรือ ?”
เถียนซินและสวีเยว่กล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ และรู้สึกว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยดูมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนมาก
“หากมีบุรุษที่มีความรักความหลงใหลต่อข้าได้สักสามในสิบส่วนของสามีฉินอวี้โม่ ข้าก็อยากจะแนะนำคนให้รู้จักบ้าง ข้าเองก็อยู่เป็นโสดมานานกว่ายี่สิบปีแล้วและอยากจะมีสามีเป็นตัวเป็นตนเช่นกัน”
เถียนซินผู้ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำพลางขยิบตาเล็กน้อย
“เถียนซิน นี่เจ้าสนใจในความรักด้วยรึ ?”
สวีเยว่กล่าวหยอกล้อเถียนซินก่อนที่ทั้งสองจะสาดวาจาตอบโต้กันไปมา ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ และทุกคนสวมชุดสำหรับเข้านอน ภายในห้องจึงดูผ่อนคลายอย่างมาก…
“อีกอย่าง…คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนูอ้วนเถาจะมีพื้นเพภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น นางเป็นถึงหลานสาวของจ้าวนิกายหมื่นกระบี่และยังเป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสสาม หากเราเกาะแข้งเกาะขานาง ต่อไปเราคงเชิดหน้าชูตาในหอชั้นของนิกายหมื่นกระบี่ได้อย่างสง่าผ่าเผยสินะ ?”
หลังจากโต้เถียงและหยอกล้อกันพักใหญ่ เถียนซินก็กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ตัวตนที่แท้จริงของเถาเซี่ยวเซี่ยวทำให้นางประหลาดใจมาก อีกฝ่ายเป็นถึงหลานสาวของว่านอู๋เริ่นและเป็นบุตรสาวของว่านเฉินซี เมื่อครั้งยังอยู่ที่หอชั้นนอก พวกนางก็มักจะวางมาดใหญ่โตและหาเรื่องเถาเซี่ยวเซี่ยวอยู่เป็นประจำ โชคดีที่เด็กสาวเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่เก็บเรื่องเก่ามาคิดแค้น มิฉะนั้น เกรงว่าพวกนางคงอยู่ไม่เป็นสุขและจำต้องออกจากที่นี่เป็นแน่
“เมื่อครั้งที่ยังอยู่ในหอชั้นนอก เราไม่ค่อยถูกกันนัก ข้าจำได้ดีว่าเมื่อพวกท่านทั้งสองพบกับข้า หนูอ้วนเถาและพี่เหลิ่งซวงเสวี่ย เราสองฝ่ายก็มักจะสาดวาจาโต้ตอบกันเสมอ”
ฉินอวี้โม่กล่าวติดตลกกับเถียนซินเช่นกัน เนื่องจากตอนนี้เข้าใจบุคลิกนิสัยของอีกฝ่ายมากขึ้นแล้ว
เถียนซินและสวีเยว่เป็นสตรีที่ตรงไปตรงมาและไม่สนใจสิ่งใดนัก พวกนางไม่สนใจสถานะของผู้อื่น ตราบใดที่ไม่ชอบหน้า พวกนางก็จะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองมักแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า ซึ่งทำให้ผู้อื่นรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกนางได้โดยง่าย
“ตอนนั้นเรายังไม่สนิทกันนี่นา หากรู้ว่าเจ้าเป็นคนดีน่าคบหาเช่นนี้ เราจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันได้อย่างไรเล่า”
เถียนซินและสวีเยว่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด เมื่อครั้งยังอยู่ที่หอชั้นนอก ต้องยอมรับว่าทั้งสองฝ่ายมีเรื่องโต้เถียงกันเป็นบ่อยครั้ง
นับตั้งแต่เถาเซี่ยวเซี่ยวเข้าร่วมหอชั้นนอกในช่วงแรก เถียนซินและสวีเยว่ก็รู้สึกว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวยังเด็กเกินไป อีกทั้งอีกฝ่ายก็มักจะขัดแข้งขัดขาพวกนาง ทั้งสองฝ่ายจึงโต้เถียงกันเป็นประจำ สำหรับฉินอวี้โม่ สาเหตุที่พวกนางไม่ชอบหน้าในตอนแรกก็เป็นเพราะต้นกำเนิดของนางซึ่งมาจากดินแดนระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับเฉินหว่านเอ๋อร์ที่พวกนางจงเกลียดจงชังมากที่สุด สิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพียงความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ซึ่งมิใช่เรื่องใหญ่จนเกินไป
“ภายในหอชั้นในมีอัจฉริยะมากกว่าหอชั้นนอกมากนัก ศิษย์พี่ทั้งหลายที่เราได้พบก่อนหน้านี้ก็แกร่งกล้ากว่าเราทั้งในด้านพลังและพรสวรรค์ ต่อไปเราจะต้องเก็บตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้ หากไปยั่วยุบุคคลที่ไม่ควรยั่วยุขึ้นมา ด้วยสถานะและความสามารถของเรา เกรงว่าคงต้องอยู่ที่นี่อย่างไม่เป็นสุขแน่”
สวีเยว่ถอนหายใจยาวเนื่องจากตระหนักดีว่าความแตกต่างระหว่างหอชั้นในและหอชั้นนอกของนิกายหมื่นกระบี่มีมากเพียงใด ในอดีต พวกนางเคยคิดว่าตนเป็นอัจฉริยะมากความสามารถ ทว่าเมื่อเข้ามาเป็นศิษย์ใน พวกนางก็รู้สึกว่าตนเองมั่นใจกันเกินไป หากเทียบกับยอดอัจฉริยะของหอชั้นใน พวกนางยังห่างชั้นไปอีกมาก…
“พวกเขาเข้าร่วมกับหอชั้นในมาก่อนเราและย่อมได้รับทรัพยากรในปริมาณที่พวกท่านไม่สามารถเทียบได้ ไม่ต้องกดดันหรือด้อยค่าตัวเองหรอก พลังและพรสวรรค์ของพวกท่านก็ไม่ด้อยไปกว่าใครทั้งสิ้น ตราบใดที่หมั่นเพียรฝึกฝนให้มากพอ พวกท่านจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของหอชั้นในได้แน่”
ฉินอวี้โม่กล่าวปลอบประโลมทั้งสองตามความจริง สำหรับนาง พรสวรรค์ของเถียนซินและสวีเยว่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีไม่น้อย เชื่อว่าอีกไม่นานพวกนางจะกลายเป็นศิษย์สตรีที่ได้รับความนิยมชมชอบในหอชั้นในได้อย่างแน่นอน
“แน่นอน เราไม่มีทางยอมแพ้เจ้าหรอก !”
เถียนซินและสวีเยว่มิใช่สตรีที่จะจมปลักอยู่กับความทุกข์หรือความไม่สบายใจ พวกนางเพียงถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม ทว่ายังไม่คิดตัดสินใจยอมแพ้ ไม่ว่าอย่างไร พวกนางจะพิสูจน์ให้เห็นว่าความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของพวกนางก็ไม่ด้อยไปกว่าเหลิ่งซวงเสวี่ยมากนัก… สำหรับฉินอวี้โม่นั้น พวกนางไม่มีทางนำตนเองไปเปรียบเทียบด้วยอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็เหมือนจะอยู่ในอีกมิติหนึ่ง การที่นำตนเองไปเทียบกับนางมีแต่จะสร้างความอับอายขายหน้าให้กับตนเองเท่านั้น
จากนั้นทั้งสี่ก็พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยเป็นพักใหญ่ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน และเช้าตรู่วันต่อมา พวกนางก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่จะตื่นนอนเสียอีก
“พี่อวี้โม่ พี่เหลิ่ง เถียนซิน สวีเยว่ เปิดประตูเร็วเข้า ข้ากลับมาแล้ว !”
เสียงเจื้อยแจ้วอย่างกระตือรือร้นของเถาเซี่ยวเซี่ยวทำให้ทุกคนลุกขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“หนูอ้วนเถา เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียกพวกเราทั้งสองว่าพี่บ้างล่ะ ? เห็นกันอยู่ว่าเจ้าเด็กกว่าเราหลายปี”
เถียนซินมองท่าทางที่กระตือรือร้นของอีกฝ่ายพลางอ้าปากหาวและอดเอ่ยถามออกไปไม่ได้
ในอดีต เนื่องจากทั้งสองฝ่ายไม่ถูกกัน การที่จะไม่ใช้คำเรียกเช่นนั้นก็ถือว่ามิใช่เรื่องแปลก อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง พวกนางก็ได้พักอยู่ในเรือนเดียวกันและสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าทั้งสองก็ยังไม่เคยได้ยินเถาเซี่ยวเซี่ยวเรียกตนโดยที่มีคำนำหน้าว่าพี่แม้แต่ครั้งเดียว
“เฮ้ หากพวกท่านเอาชนะข้าได้ การเรียกว่าพี่ก็อาจจะเป็นไปได้ ทว่าหากเอาชนะหรือพูดอะไรให้ข้าเปลี่ยนใจไม่ได้ ข้าก็ไม่อยากเรียกพวกท่านว่าพี่หรอก”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวแสดงทัศนคติของตนออกไป ทว่าเถียนซินและสวีเยว่ก้าวออกมาหยิกแก้มนุ่มของนางทันที
“หนูอ้วนเถา เจ้าจะให้เกียรติพวกเราบ้างไม่ได้หรือ ? เราก็อยากมีหน้ามีตาเหมือนกับคนอื่นบ้าง”
เด็กสาวช่างจ้อผู้นี้มักจะกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจอย่างตรงไปตรงมาเสมอ แม้สิ่งที่นางกล่าวมาจะมีเค้าโครงความจริง ทว่าการไว้หน้าพวกนางทั้งสองเป็นครั้งคราวและกล่าวในสิ่งที่รื่นหูก็มิใช่เรื่องที่เลวร้ายแต่อย่างใด…
เถาเซี่ยวเซี่ยวเมินวาจาของทั้งสองและวิ่งตรงเข้าไปในห้องเพื่อกอดแขนฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยืนนิ่งและมองดูเรื่องสนุกโดยไม่กล่าวสิ่งใด
“พี่อวี้โม่ พี่เหลิ่ง ท่านตาสั่งให้ข้ามาเชิญพวกท่านไปรับประทานอาหารค่ำที่เรือน ท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายทั้งสองของข้าก็จะไปที่นั่นอย่างพร้อมหน้าเช่นกัน”
เมื่อคืนนี้ เถาเซี่ยวเซี่ยวพักอยู่ที่เรือนของว่านอู๋เริ่น และเมื่อนางกลับมาเช้านี้ ว่านอู๋เริ่นได้กำชับให้นางเชิญฉินอวี้โม่และสหายไปเป็นแขกที่เรือนของตน
พวกนางทั้งหมดล้วนเป็นมิตรสหายที่ดีของเถาเซี่ยวเซี่ยวและนั่นคือสาเหตุที่ว่านอู๋เริ่นต้องการเชิญพวกนางไป มิใช่เพราะสถานะศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่
“หนูอ้วนเถา ไม่คิดจะชวนพวกเราบ้างเลยหรือ ?”
เถียนซินและสวีเยว่ก้าวออกไปข้างหน้าก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยถามเถาเซี่ยวเซี่ยวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“อันที่จริงท่านตาไม่ได้ชวนหรอก แต่เป็นเพราะข้าช่วยพูดไว้ ท่านตาและท่านแม่ก็เลยเชิญพวกท่านไปด้วย”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวโดยไม่ลืมที่จะรับความดีความชอบไว้เอง