ฉินอวี้โม่ เหลิ่งซวงเสวี่ย เถียนซินและสวีเยว่ล้วนเป็นสหายคนสนิทของเถาเซี่ยวเซี่ยวจากหอชั้นนอก ด้วยการที่เถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นหลานสาวของว่านอู๋เริ่น—จ้าวนิกายหมื่นกระบี่และเป็นบุตรสาวของว่านเฉินซี—ว่าที่ผู้สืบทอดตำแหน่งในอนาคต ในฐานะเจ้าบ้าน นางจึงต้องการต้อนรับสหายเป็นอย่างดี
เดิมทีนางวางแผนที่จะเสนอเรื่องนี้กับท่านตาและมารดาของตน ทว่าก่อนที่จะกล่าวสิ่งใด ทั้งสองก็เป็นฝ่ายเสนอขึ้นก่อน
แน่นอนว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวมีความสุขอย่างมาก หลังจากพักอยู่กับท่านตาและมารดาตลอดคืน นางก็รีบกลับมาที่หอพักตั้งแต่เช้าตรู่
หลังจากที่รับปากว่าจะไปพบท่านตาของเถาเซี่ยวเซี่ยวเพื่อรับประทานอาหารค่ำ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็พักผ่อนกันตามสบาย
หลังจากนั้น พวกนางก็เก็บตัวภายในห้องพักตลอดทั้งวัน และเมื่อถึงช่วงเย็น ทุกคนก็ตามเถาเซี่ยวเซี่ยวไปยังเรือนที่พักของว่านอู๋เริ่นและว่านเฉินซี
จ้าวนิกายว่านอู๋เริ่นพักอยู่บนภูเขามีดหมอกซึ่งถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในนิกายหมื่นกระบี่ สิ่งที่สำคัญคือผู้ที่ต้องการเดินทางขึ้นไปจะต้องใช้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในการเดินทางเท่านั้นและจะต้องได้รับการอนุญาตจากว่านอู๋เริ่น ยิ่งไปกว่านั้น อาคมป้องกันก็ถูกจัดตั้งไว้ทั่วบริเวณภูเขา หากผู้ใดบุกรุกขึ้นไป คนผู้นั้นจะถูกโจมตีทันทีและแม้แต่ผู้แกร่งกล้าหลายคนก็มิอาจต้านทานมันได้
หลังออกจากหอพักไปได้ไม่นาน เถาเซี่ยวเซี่ยวและทุกคนก็ได้พบกับว่านเฉินซีซึ่งรออยู่ก่อนแล้ว
“มากันแล้วรึ ?”
ว่านเฉินซียิ้มให้กับฉินอวี้โม่และทุกคนพร้อมกล่าวทักทาย
ในตอนแรกที่ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยเข้ามายังหอชั้นใน บุตรสาวของนางก็ได้ส่งสาส์นเข้ามาอย่างลับ ๆ เพื่อให้นางช่วยดูแลความเรียบร้อยให้กับสหายทั้งสอง
เดิมทีว่านเฉินซีก็สงสัยใคร่รู้ว่าฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยมีความพิเศษอย่างไร บุตรสาวของตนจึงให้ความสำคัญยิ่งนัก ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ทำให้นางเข้าใจได้อย่างชัดเจน ฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นสตรีที่น่าสนใจมากและนางก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้
ไม่แปลกใจเลยที่บุตรสาวของนางจะให้ความสำคัญกับฉินอวี้โม่เป็นอย่างมากหลังจากได้ผูกมิตรเป็นสหายกัน
และในเมื่อเป็นมิตรสหายของบุตรสาว แน่นอนว่าว่านเฉินซีย่อมให้การต้อนรับเป็นอย่างดี นอกเหนือจากสถานะของการเป็นศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ สตรีเหล่านี้ก็ล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ที่มีอายุใกล้เคียงกับบุตรสาวของนาง หากเถาเซี่ยวเซี่ยวได้สนิทสนมกับพวกนางต่อไป มารดาเช่นนางย่อมพึงพอใจ
“คารวะท่านผู้อาวุโสสามเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่และทุกคนโค้งคำนับต่อว่านเฉินซี
“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองหรอก วันนี้ข้ามิใช่ผู้อาวุโสสามของนิกายหมื่นกระบี่ หากแต่เป็นแม่ของเซี่ยวเซี่ยว พวกเจ้าเรียกข้าว่าป้าซีก็พอ”
ว่านเฉินซีโบกมือและกล่าวกับพวกนาง ในวันนี้นางต้องการต้อนรับทุกคนในฐานะมารดาของเถาเซี่ยวเซี่ยวและมิใช่ผู้อาวุโสสามของนิกายหมื่นกระบี่ เพราะเหตุนั้น นางจึงไม่ต้องการให้ทุกคนเรียกตนด้วยตำแหน่งผู้อาวุโส
“เจ้าค่ะ ท่านป้าซี”
เถียนซินและสวีเยว่ยังรู้สึกเกร็งเล็กน้อย ทว่าฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เหลิ่งซวงเสวี่ยก็กล่าวออกไปเช่นกัน จากนั้นทุกคนก็เหาะตรงไปยังภูเขามีดหมอกด้วยกัน
ณ ภูเขามีดหมอก ว่านอู๋เริ่น—จ้าวนิกายหมื่นกระบี่และผู้อาวุโสใหญ่ว่านหรูชูกำลังรออยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อมองเห็นกลุ่มคนที่เหาะเข้ามาจากระยะไกล รอยยิ้มบางก็ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
“ฮ่า ๆ ๆ มาตกลงกันก่อนเถอะ วันนี้จะไม่มีจ้าวนิกายหมื่นกระบี่และมีเพียงท่านตาของเถาเซี่ยวเซี่ยวเท่านั้น พวกเจ้าถือเป็นสหายของนาง เพราะฉะนั้นเรียกข้าว่าท่านตาว่านได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
น้ำเสียงที่อบอุ่นของว่านอู๋เริ่นดังขึ้นซึ่งทำให้เถียนซินและสวีเยว่ที่รู้สึกประหม่าก่อนหน้านี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบา ๆ
ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ประทับใจในความเป็นกันเองของว่านอู๋เริ่นมาตั้งแต่ต้นและทราบว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็เป็นคนที่จิตใจดีเช่นกัน เพราะเหตุนั้น นางจึงมีท่าทีที่สงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง
“พี่อวี้โม่ พี่เหลิ่ง พวกท่านคงไม่รู้แน่ว่าท่านพ่อของข้าคือใคร”
เถาเซี่ยวเซี่ยวขยิบตาให้กับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พลางกล่าวอย่างมีเลศนัย
“หนูอ้วนเถา อย่าบอกนะว่าพ่อของเจ้าคือท่านผู้อาวุโสใหญ่ ?”
เถียนซินมองไปรอบ ๆ และกล่าวขึ้น เพราะถึงอย่างไร นอกเหนือจากว่านอู๋เริ่น บุรุษเพียงคนเดียวที่อยู่ในที่แห่งนี้ก็คือว่านหรูชู อย่างไรก็ตาม พวกนางอยู่ในนิกายหมื่นกระบี่มานาน ทว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสามของหอชั้นในเป็นสามี-ภรรยากัน
“เถียนซิน ท่านก็ไม่ได้โง่เขลาอย่างที่ข้าคิดไว้นี่นา !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวกล่าวอย่างติดตลก ทว่าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเถียนซินจะทายได้ถูกต้อง ว่านหรูชูคือบิดาของนางอย่างแท้จริง
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงมีนามว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวและมิใช่ว่านเซี่ยวเซี่ยวล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจไม่น้อย การได้ทราบว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นบุตรสาวของว่านหรูชูเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับนางเช่นกัน
นับตั้งแต่เข้ามาอยู่ในหอชั้นใน นางไม่เคยสัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษระหว่างว่านหรูชูและว่านเฉินซี อีกทั้งไม่เคยได้ยินเจียงฉาและสหายกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสทั้งสอง
“เถาเป็นชื่อแซ่ของท่านย่าของข้า ข้าเปลี่ยนเป็นชื่อแซ่ของท่านย่าก่อนที่จะไปหอชั้นนอกเพื่อป้องกันมิให้เกิดความสงสัย ข้ามีชื่อว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวและก็มีชื่อว่าว่านเซี่ยวเซี่ยวเช่นเดียวกัน ทำไมรึ ? มีปัญหาอะไรกันอย่างนั้นหรือ ?”
เถาเซี่ยวเซี่ยวอธิบายว่าหากนางใช้นามว่าว่านเซี่ยวเซี่ยว มันจะโดดเด่นสะดุดตาจนเกินไปและผู้อาวุโสหลายคนของนิกายหมื่นกระบี่อาจทราบความจริงได้ สำหรับชื่อเถาเซี่ยวเซี่ยวนี้ แม้ยังมีบางคนที่เกิดความสงสัย พวกเขาก็ไม่สามารถเชื่อมโยงนางกับผู้อาวุโสทั้งสองของหอชั้นในและจ้าวนิกายหมื่นกระบี่ได้
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ ? แล้วคนของหอชั้นในไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสามหรือเจ้าคะ ?”
สวีเยว่เอ่ยถามด้วยความสงสัยเช่นกัน หากมีใครอื่นที่ทราบถึงเรื่องนี้ ข่าวลือก็คงจะตกมาถึงหูของพวกนางบ้างแล้ว
“นอกจากผู้อาวุโสไม่กี่คนก็ไม่มีใครที่รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้าและศิษย์พี่หรอก”
ว่านเฉินซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมื่อยืนเคียงข้างกับว่านหรูชู ทั้งสองดูจะมีความเข้าใจตรงกันโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดใดและดูจะเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันอย่างที่สุด
ฉินอวี้โม่เข้าใจได้เป็นอย่างดีและมิใช่สิ่งที่ยากเกินรับได้ ความใกล้ชิดระหว่างศิษย์พี่และศิษย์น้องมักจะก่อให้เกิดความรักและความผูกพันมากที่สุด การที่ทั้งสองพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นสามี-ภรรยาจึงมิใช่เรื่องแปลก
“เอาล่ะ มานั่งกันก่อนเถอะ ยังมีบางคนที่ยังมาไม่ถึงที่นี่”
ว่านอู๋เริ่นโบกมือให้กับทุกคนเพื่อเชิญให้นั่งลงตามสบาย
บนภูเขามีดหมอกมีลานขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของว่านอู๋เริ่น งานเลี้ยงต้อนรับจึงถูกจัดขึ้นในสวนของลานแห่งนี้
เวลานี้ ไข่มุกราตรีจำนวนมากก็ประดับส่องสว่างอยู่ภายในสวน แม้ท้องฟ้าเบื้องบนจะมืดลงเรื่อย ๆ แต่ไข่มุกราตรีก็ยังส่องสว่างให้กับพื้นที่โดยรอบและเปิดวิสัยทัศน์ได้อย่างชัดเจน
ทุกคนนั่งลงเรียงตามลำดับ เก้าอี้ตัวหลักเป็นตำแหน่งของว่านอู๋เริ่น ตามด้วยว่านเฉินซีและว่านหรูชูซึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ต้องการนั่งร่วมโต๊ะกับฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ย ในขณะที่เถียนซินและสวีเยว่นั่งอยู่ในอีกโต๊ะหนึ่งถัดจากโต๊ะสามคนของฉินอวี้โม่ และยังมีโต๊ะว่างอีกสองตัวในฝั่งตรงข้าม
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าโค่นล้มอำนาจของนิกายพันปีศาจได้และขึ้นกลายเป็นจ้าวนิกายพันปีศาจคนใหม่แล้ว เจ้าสนใจที่จะร่วมพันธมิตรกับนิกายหมื่นกระบี่ของเราหรือไม่ ?”
ว่านอู๋เริ่นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สำหรับเรื่องที่ฉินอวี้โม่ยึดอำนาจการปกครองของนิกายพันปีศาจ มีเพียงเขา ว่านหรูชูและว่านเฉินซีเท่านั้นที่ทราบ นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสฉีจากหอชั้นนอกเช่นกัน ทว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือยังไม่ทราบถึงเรื่องนี้
ว่านอู๋เริ่นกำชับมิให้ว่านหรูชูและว่านเฉินซีเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เนื่องจากเห็นว่าควรปิดไว้เป็นความลับก่อน
“หากท่านตาว่านไม่ขัดข้อง ข้าก็ยินดีเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่เองก็เคยมีความคิดนี้เช่นกัน ทว่าตอนนี้นิกายพันปีศาจในการปกครองของนางยังอ่อนแอกว่านิกายหมื่นกระบี่อยู่มากนัก เพราะเหตุนั้น นางจึงกังวลว่าว่านอู๋เริ่นจะดูแคลนข้อเสนอในการร่วมพันธมิตรกับขุมกำลังดังกล่าว
“ฮ่า ๆ ๆ เสี่ยวอวี้โม่ อนาคตของเจ้าไร้ขอบเขต การร่วมพันธมิตรกับนิกายพันปีศาจของเจ้าตั้งแต่เนิ่น ๆ ถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในภายภาคหน้า นิกายหมื่นกระบี่ของเราอาจจะตามหลังนิกายพันปีศาจก็เป็นได้”
ว่านอู๋เริ่นกล่าวตามความเป็นจริงและแสดงความชื่นชมต่อฉินอวี้โม่อย่างเปิดเผย