ว่านอู๋เริ่นเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่เคยเสแสร้งแสดงสิ่งใด ส่วนว่านเฉินซีและว่านหรูชูก็เป็นกันเองและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย เพราะเหตุนั้น ทุกคนจึงรับประทานอาหารร่วมกันและพูดคุยได้อย่างสบาย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศเป็นมิตร
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณสองก้านธูป คนอีกกลุ่มหนึ่งก็มาถึง
ผู้ที่เดินนำหน้าคือบุรุษหนุ่มสองคนที่มีรูปลักษณ์แทบจะเหมือนกันทุกประการ พวกเขาคือบุตรชายสองคนของว่านหรูชูและว่านเฉินซี และเป็นพี่ชายของเถาเซี่ยวเซี่ยวนั่นเอง
พวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดซึ่งมีทั้งรูปลักษณ์และความแข็งแกร่งที่เกือบจะเหมือนกัน สิ่งที่แบ่งแยกความแตกต่างระหว่างทั้งสองคือว่านหลิวชางมีลักษณะท่าทางที่ดูนิ่งและเงียบขรึมมากกว่า เขามักสวมอาภรณ์สีดำสนิทและแทบไม่เคยปรากฏกายในอาภรณ์สีอื่น สำหรับว่านหลิวอวิ๋น เขาเป็นส่วนผสมของข้อดีจากบิดามารดาและแสดงออกอย่างเด่นชัดในด้านความอ่อนน้อมและจิตใจดี เขาเป็นบุคคลที่เข้าถึงได้ง่ายและดูจะไร้เล่ห์เหลี่ยมมารยา
ด้านหลังของพวกเขาคือสามพี่น้องตระกูลเมิ่งที่เคยร่วมฝ่าความเป็นความตายมากับฉินอวี้โม่และสหายก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีเสิ่นเสี่ยวไห่และเซียวหมิงที่ตามมาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน
ในเวลานี้ เมิ่งฝาน เมิ่งเถียนและเสิ่นเสี่ยวไห่มีสภาวะอารมณ์ที่ดูสงบนิ่งมากกว่า ในขณะที่เมิ่งจวินและเซียวหมิงหันมองไปมองมารอบตัวอย่างไม่หยุดหย่อน พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีโอกาสเข้ามาถึงเขตที่พักส่วนตัวของจ้าวนิกายหมื่นกระบี่เช่นนี้
ระหว่างเดินทางมาที่นี่ ว่านหลิวอวิ๋นก็ได้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของเถาเซี่ยวเซี่ยวให้พวกเขาได้ทราบแล้ว ซึ่งพวกเขาต่างก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน
“หนูอ้วนเถา คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นหลานสาวของท่านจ้าวนิกาย โชคดีจริง ๆ ที่ข้าไม่เคยหาเรื่องกวนใจเจ้ามาก่อน”
เมิ่งจวินก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวทันที เขาและเถาเซี่ยวเซี่ยวมีอายุที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันจึงเข้ากันได้ดีและพูดคุยกันเสมอ ทั้งสองมักจะอยู่ตัวติดกันเป็นประจำ ราวกับเป็นคู่หูคู่คิด และเมื่อใดก็ตามที่ได้อยู่ด้วยกัน ทั้งสองก็มักคุยจ้อไม่หยุดหย่อนและมีชีวิตชีวาอย่างมาก
แม้เมิ่งจวินจะสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก เขาก็ไม่รู้สึกประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าว่านอู๋เริ่นและคนอื่น ๆ ขณะกล่าวติดตลกกับเถาเซี่ยวเซี่ยวตามปกติ
“ฮึ่ม~ ก่อนหน้านี้เมื่อเรามีเรื่องโต้เถียงกัน เจ้าไม่เคยยอมแพ้ข้าเลย ข้ายังจดจำได้ดี เมิ่งจวิน…ครานี้การที่เจ้ามาถึงถิ่นของข้าแล้ว เจ้าไม่รอดแน่ !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวจงใจกล่าววาจาข่มขวัญให้เมิ่งจวินหวั่นเกรงขึ้นมา ทว่าใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ามิใช่เฉินหว่านเอ๋อร์ ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก”
แน่นอนว่าเมิ่งจวินทราบดีว่าอีกฝ่ายเพียงหยอกล้อเท่านั้น เขาจึงหัวเราะอย่างไม่ทุกข์ร้อนก่อนหันไปทักทายว่านอู๋เริ่นและคนอื่น ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าชี้แจ้งกับทุกคนไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่มีตำแหน่งจ้าวนิกายหรือผู้อาวุโสของนิกายหมื่นกระบี่ทั้งสิ้น วันนี้มีเพียงท่านตาและพ่อแม่ของเถาเซี่ยวเซี่ยวเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องเกร็งหรือมีพิธีรีตองกันหรอก”
ว่านอู๋เริ่นโบกมือตอบรับทุกคนและกล่าวกับพวกเขาด้วยวาจาที่ทำให้เมิ่งจวินและคนอื่น ๆ ผ่อนคลายลงมาก
“มาเถอะ ข้าจะแนะนำพี่ชายของข้าให้ทุกคนได้รู้จัก”
เถาเซี่ยวเซี่ยวจับมือว่านหลิวชางและว่านหลิวอวิ๋นเข้ามาเพื่อแนะนำตัวให้กับฉินอวี้โม่และสหาย
“น่าเสียดายที่พี่อวี้โม่มีสามีและมีลูกแล้ว มิฉะชั้น พี่ชายข้าคงพอจะมีโอกาสอยู่บ้าง”
ในขณะที่กล่าวแนะนำพี่ชายทั้งสอง เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย หากไม่ได้ทราบมาก่อนว่าฉินอวี้โม่มีครอบครัวแล้ว นางคงจะแนะนำฉินอวี้โม่ให้พี่ชายทั้งสองคนรู้จักตั้งแต่แรกเพื่อที่จะได้สานสัมพันธ์กันต่อในภายหลัง
ว่านหลิวชางก็เพียงพยักศีรษะตอบรับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แม้พวกนางจะกล่าวทักทายตนก็ตาม
“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของศิษย์น้องทั้งหลายมาก่อนและทราบว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของหอชั้นนอก ข้าอยากพบกับพวกเจ้ามานานแล้วและในที่สุดก็มีโอกาสเสียที ศิษย์น้องฉิน ศิษย์น้องเหลิ่ง หากมีโอกาสเหมาะสม ไม่ทราบว่าเราจะประมือกันสักหน่อยจะได้รึไม่ ?”
ว่านหลิวอวิ๋นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เถาเซี่ยวเซี่ยวมักจะกล่าวถึงเรื่องราวของฉินอวี้โม่และสหายให้เขาฟังตลอด เขาจึงรู้สึกว่าศิษย์น้องเหล่านี้มิใช่คนอื่นไกล
ยิ่งไปกว่านั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวก็ฝึกฝนอยู่ในหอชั้นนอกมานาน ในฐานะพี่ชาย แน่นอนว่าเขาก็ต้องแอบดูแลน้องสาวอยู่ไม่ห่าง เพราะเหตุนั้น ว่านหลิวอวิ๋นจึงทราบข้อมูลเกี่ยวกับฉินอวี้โม่และสหายพอสมควร
ก่อนหน้านี้เมื่อฉินอวี้โม่เอาชนะว่านอิ้งสงได้ เขาก็รู้สึกสนใจเกี่ยวกับความสามารถของฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น
ความแข็งแกร่งของว่านอิ้งสงไม่ด้อยไปกว่าว่านหลิวอวิ๋นมากนัก ในเมื่อฉินอวี้โม่เอาชนะบุรุษผู้นั้นได้ นางก็อาจจะมีฝีมือเหนือกว่าพวกเขาเสียอีก แม้ว่านหลิวอวิ๋นมิใช่ผู้ที่รักการต่อสู้หรือความรุนแรงเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าเขาก็ไม่ต้องการพลาดโอกาสที่จะได้เรียนรู้จากจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง
และถึงแม้ว่าว่านหลิวชางจะไม่กล่าวสิ่งใด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สนใจในเรื่องนี้มากเช่นกัน
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยมีความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา เขามั่นใจว่าการได้ดวลฝีมือและเรียนรู้จากพวกนางจะเป็นผลดีอย่างแน่นอน
สำหรับเถียนซินและสวีเยว่ ความแข็งแกร่งของพวกนางยังอ่อนแอเกินไป ว่านหลิวอวิ๋นและว่านหลิวชางจึงไม่สนใจที่จะดวลฝีมือกับพวกนาง
“ศิษย์พี่ทั้งสอง ในอนาคตเราจะมีโอกาสนั้นอย่างแน่นอน บางทีในการประชันฝีมือของหอชั้นใน เราก็อาจจะมีโอกาสได้พบกันก็เป็นได้ แน่นอนว่าหากศิษย์พี่ทั้งสองต้องการ เราก็พร้อมที่จะประมือกับพวกท่านทุกเมื่อ”
ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยมองหน้ากันเล็กน้อยและจิตวิญญาณนักสู้ในหัวใจก็ฮึกเหิมขึ้นมาแล้ว พวกนางเล็งเห็นว่าทั้งว่านหลิวชางและว่านหลิวอวิ๋นแข็งแกร่งยิ่งกว่าว่านอิ้งสงเสียอีก ดังนั้นแล้วพวกนางก็จะได้ประโยชน์จากการประมือกับพวกเขาเช่นกัน ต่อให้เหลิ่งซวงเสวี่ยจะเชื่อว่าพวกเขาทั้งสองมีฝีมือที่เหนือกว่าตน การได้เรียนรู้จากกันและกันก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี
“เอาล่ะ ที่นี่คือถิ่นฐานของข้าและสาเหตุที่ข้าเชิญทุกคนมาในวันนี้ก็เพราะต้องการจะต้อนรับพี่อวี้โม่และทุกคน อย่าเพิ่งพูดเรื่องดวลฝีมือกันจะดีกว่า หลังจากพรุ่งนี้ไป ข้าไม่สนใจหากพวกท่านต้องการจะประมือเพื่อเรียนรู้จากกันและกัน”
เถาเซี่ยวเซี่ยวรีบดึงพี่ชายทั้งสองออกไปก่อน นี่เป็นเวลาสำหรับอาหารค่ำและมิใช่การเตรียมตัวเพื่อต่อสู้กัน
เด็กสาวช่างจ้อไม่ชอบการประมือกับผู้อื่นเพราะรู้สึกว่ามันเป็นการกระทำที่เหน็ดเหนื่อยและไม่น่าสนใจ สิ่งที่นางสนใจมากกว่าคือการนั่งพูดคุยและเล่นไพ่นกกระจอกด้วยกัน
ทุกคนนั่งลงในตำแหน่งว่างในขณะที่เถาเซี่ยวเซี่ยวและพี่ชายทั้งสองแยกไปที่โรงครัวเพื่อนำอาหารที่ถูกเตรียมไว้ออกมาด้วยตัวเอง
“ก่อนที่จะรับประทานอาหารกัน ข้าขอกล่าวอะไรสักหน่อยเถอะ ข้าต้องขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยดูแลเถาเซี่ยวเซี่ยวเมื่อครั้งที่อยู่ในหอชั้นนอก”
ว่านอู๋เริ่นกล่าวอย่างจริงใจและยกแก้วสุราเพื่อเชิญให้ดื่มร่วมกัน เขาทราบดีว่าหลานสาวของตนเป็นเช่นไร เมื่อครั้งที่อยู่ในหอชั้นนอก หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และสหายเหล่านี้ช่วยดูแล นางก็อาจถูกผู้อื่นรังแกได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ที่เดินทางไปทำภารกิจในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาด้วยกัน ศิษย์เหล่านี้ก็ช่วยปกป้องและคุ้มกันจนหลานสาวของเขากลับมาอย่างปลอดภัย และแน่นอนว่าทั้งหมดนี้มิใช่สิ่งที่เขาได้ยินมาจากปากของเถาเซี่ยวเซี่ยว
“ท่านตาว่าน เถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นสหายของเรา และสำหรับเราทุกคน นางเป็นดั่งน้องสาวคนเล็กและการปกป้องนางก็เป็นสิ่งที่ควรทำ อีกอย่าง..ในตอนแรกเราสองคนก็ไม่ถูกกับเถาเซี่ยวเซี่ยวเท่าใดนักและเพิ่งจะสนิทกันในภายหลังเจ้าค่ะ…”
เถียนซินกล่าวด้วยความละอายใจเล็กน้อย พวกนางเคยหาเรื่องกวนใจเถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นประจำ ทว่าตอนนี้กลับได้รับการต้อนรับอย่างจริงใจและได้รับคำขอบคุณจากครอบครัวของนาง พวกนางจะรับไว้โดยไม่กล่าวสิ่งใดได้อย่างไร อีกทั้งนางและสวีเยว่ก็อ่อนแอจนกลายเป็นตัวถ่วงในบางครั้งบางครา หากกล่าวถึงการช่วยดูแลให้ทุกคนปลอดภัย ฉินอวี้โม่คือผู้เดียวที่ควรได้รับความดีความชอบไป
“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณเสี่ยวอวี้โม่ เสี่ยวซวงเสวี่ยและพ่อหนุ่มทั้งหลายที่ช่วยดูแลนาง”
เมื่อได้ยินวาจาตรงไปตรงมาของเถียนซิน ว่านอู๋เริ่นก็อดหัวเราะออกไปไม่ได้
ไม่แปลกใจเลยที่หลานสาวของเขาจะสนิทสนมกับคนเหล่านี้ พวกนางเป็นบุคคลที่น่าคบหาอย่างแท้จริงและการอยู่ร่วมกันก็มีแต่ความสบายใจ
ว่านเฉินซีและว่านหรูชูก็กล่าวแสดงความขอบคุณต่อฉินอวี้โม่ เหลิ่งซวงเสวี่ยและคนอื่น ๆ เช่นกัน
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และทุกคนก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใดและเพียงตอบรับอย่างสุภาพเท่านั้น ทว่าบรรยากาศในงานเลี้ยงหลังจากนั้นก็เป็นมิตรและผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
หลังจากยกแก้วสุราดื่มอวยพรสามรอบ ว่านอู๋เริ่นก็นึกบางอย่างขึ้นได้และสายตาเลื่อนไปหยุดที่ฉินอวี้โม่อีกครา
“เสี่ยวอวี้โม่ ตอนที่พวกเจ้าไปที่หมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาในคราก่อน เกิดเรื่องที่พิเศษใดขึ้นรึไม่ ?”