เถาเซี่ยวเซี่ยวไม่เคยเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆาให้ว่านอู๋เริ่น ว่านเฉินซีและคนอื่น ๆ ทราบ สาเหตุที่ว่านอู๋เริ่นนึกสงสัยขึ้นมาก็เกิดจากความรู้สึกสังหรณ์ใจของเขาเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเพียงเอ่ยถามไปตามความสงสัยเท่านั้น มิใช่เป็นการกดดันหรือบังคับให้ฉินอวี้โม่และสหายตอบคำถามของตน
หากฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต้องการตอบความจริง เขาก็จะรับฟัง ทว่าหากไม่ต้องการเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่กดดันเช่นกัน
“เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นจริงเจ้าค่ะ”
เนื่องจากว่านอู๋เริ่นเป็นท่านตาของเถาเซี่ยวเซี่ยว แม้ได้พบหน้าและทำความรู้จักกันได้เพียงไม่นาน ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าว่านอู๋เริ่นเป็นคนที่ไว้วางใจได้และไม่คิดปิดบังเกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องของมหาเทพแห่งความว่างเปล่ายังคงเป็นปัจจัยที่ไม่มีความแน่นอน เวลานี้เขายังหลับใหลอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด หากว่านอู๋เริ่นได้ทราบถึงเรื่องนี้ เมื่อนางต้องการขอความช่วยเหลือในอนาคต ฉินอวี้โม่ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากเขาได้
เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านกล้วยไม้เมฆา รวมถึงเรื่องของมหาเทพแห่งความว่างเปล่าและนักล่าวิญญาณโดยที่ไม่ปิดบังสิ่งใด
“ไม่คิดเลยว่าตาเฒ่าผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ !”
หลังจากได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น ว่านอู๋เริ่นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในอดีต มหาเทพแห่งความว่างเปล่าเป็นคนที่เขาชื่นชมและเคารพเป็นอย่างมาก
ในฐานะจ้าวนิกายหมื่นกระบี่ ว่านอู๋เริ่นคุ้นเคยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นอย่างดี สำหรับตัวเขา มหาเทพแห่งความว่างเปล่ามิได้ทำสิ่งใดที่ผิดไป เพียงแต่คนเหล่านั้นรู้สึกว่ามหาเทพแห่งความว่างเปล่าเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกตนจึงได้ลงมือโจมตีเขาโดยกล่าวอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อความถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เคราะห์ร้ายที่คนเหล่านั้นทรงพลังมากเกินไป ต่อให้มีบางคนที่แอบสนับสนุนมหาเทพแห่งความว่างเปล่าอยู่ พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานกองกำลังที่แกร่งกล้าของศัตรูได้
“ในอดีต ยอดฝีมือจากขุมกำลังใหญ่หลายคนรวมกำลังกันโจมตีมหาเทพแห่งความว่างเปล่า เดิมทีข้าคิดว่าเขาคงตายไปแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าคนพวกนั้นจะกำจัดเขาไม่สำเร็จ ตอนนี้ในเมื่อมหาเทพแห่งความว่างเปล่ากลับมาแล้ว คนพวกนั้นจะต้องรับรู้ได้แน่ เสี่ยวอวี้โม่…ตอนนี้เจ้ายังไม่แกร่งกล้ามากพอที่จะต่อสู้กับคนเหล่านั้น จงระวังตัวให้ดีและอย่าปล่อยให้เรื่องของมหาเทพแห่งความว่างเปล่ารั่วไหลออกไปได้”
ว่านอู๋เริ่นกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเนื่องจากกังวลว่านางจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของมหาเทพแห่งความว่างเปล่าและอาจนำไปสู่วิกฤตที่ร้ายแรงได้
“ท่านตาว่าน ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับ นางเองก็วางแผนไว้เช่นนั้น ตราบใดที่มหาเทพแห่งความว่างเปล่ายินดี เขาก็สามารถอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและบ่มเพาะพลังต่อไปจนกระทั่งกอบกู้พลังอำนาจกลับมาได้เจ็ดถึงแปดส่วนได้ ซึ่งเป็นระดับที่มากพอจะต่อสู้กับยอดฝีมือเหล่านั้น
“สำหรับเหล่านักล่าวิญญาณที่เจ้ากล่าวถึง อย่าเพิ่งทำอะไรในตอนนี้เลย เผ่านักล่าวิญญาณแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวนัก หากทำสิ่งใดที่เป็นการยั่วยุพวกเขา มันอาจนำไปสู่อันตรายแห่งการล่มสลายได้ ตอนนี้พวกเขายังไม่ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ใดและคงจะมีแผนการบางอย่างเตรียมไว้แล้ว ข้าจะหาทางสืบข่าวดูว่ามีใครจากดินแดนเราที่ถูกครอบงำโดยคนของเผ่านักล่าวิญญาณรึไม่ จากนั้นเราจะได้วางแผนรับมือต่อไป”
เมื่อกล่าวถึงเผ่านักล่าวิญญาณ สีหน้าของว่านอู๋เริ่นก็เคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น เผ่านักล่าวิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุดไม่ว่าจะปรากฏตัวอยู่ในดินแดนใด แม้แต่ผู้ทรงพลังเช่นเขาก็มีโอกาสไม่มากนักที่จะเอาชนะนักล่าวิญญาณที่พิศวงเหล่านั้น
จากคำบอกเล่าของฉินอวี้โม่ ว่านอู๋เริ่นได้ทราบว่ามีนักล่าวิญญาณมากกว่าหนึ่งตนที่ปรากฏตัวในโลกแห่งเทพ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากว่ามีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าจากขุมกำลังอื่นที่ถูกครอบงำโดยนักล่าวิญญาณเหล่านั้นแล้ว จุดมุ่งหมายของพวกมันคือการหาถิ่นที่อยู่สำหรับเอาตัวรอดและยึดครองอาณาเขตของมนุษย์ไป ยิ่งไปกว่านั้น เผ่านักล่าวิญญาณก็มีความบาดหมางที่ฝังลึกกับเผ่ามนุษย์อย่างมิอาจลบล้างและไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมกันได้ เมื่อสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นแทรกซึมเข้ามาในโลกแห่งเทพ พวกมันจะต้องสร้างความโกลาหลวุ่นวายให้กับดินแดนอย่างแน่นอน และเขาเชื่อว่าจะสามารถสืบหาข่าวได้ไม่ยาก
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น นักล่าวิญญาณตนนั้นก็สามารถรับรู้ได้ถึงการปรากฏตัวของนักล่าวิญญาณตนอื่นตราบใดที่เข้าใกล้กันในระยะหนึ่ง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและยืนยันความเข้าใจ เวลานี้ นักล่าวิญญาณต่งเฉิงอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวของนาง โดยปกติแล้ว ตราบใดที่นักล่าวิญญาณปรากฏตัวในระยะรัศมีที่ใกล้กันในระดับหนึ่ง พวกมันจะสามารถรับรู้ถึงพิกัดของนักล่าวิญญาณตนอื่นได้ เมื่อถึงตอนนั้น หากพบตัวนักล่าวิญญาณที่มีจุดประสงค์ร้าย ฉินอวี้โม่ก็เชื่อว่าจะสามารถกำจัดพวกมันได้ทีละตน
ถึงอย่างไร นักล่าวิญญาณตนอื่น ๆ ก็คงจะยังไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่สยบพวกของมันมาได้ตนหนึ่งแล้ว นั่นหมายความว่าตอนนี้ฝ่ายของนางกำลังสืบหาข่าวอยู่ในมุมมืดในขณะที่นักล่าวิญญาณตนอื่น ๆ ที่ครอบงำร่างของยอดฝีมือในดินแดนคงจะปรากฏตัวอยู่ในที่สว่าง ซึ่งโดยรวมแล้วสถานการณ์ก็ยังเข้าข้างฝ่ายของนางอยู่มาก
ว่านหรูชู ว่านเฉินซี ว่านหลิวชาง ว่านหลิวอวิ๋นและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด พวกเขาเพียงนั่งฟังบทสนทนาอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นมหาเทพแห่งความว่างเปล่าหรือนักล่าวิญญาณจากยุคโบราณ ทั้งสองก็ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานและพวกเขาไม่เคยพบเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน ไม่น่าเชื่อเลยว่าฉินอวี้โม่และคณะจะได้เผชิญหน้ากับตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นและเอาตัวรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย
เวลานี้ พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับความสามารถของฉินอวี้โม่เพิ่มมากขึ้น ผู้ที่สามารถโน้มน้าวให้มหาเทพแห่งความว่างเปล่าร่วมมือด้วยและกำราบนักล่าวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวได้อย่างอยู่หมัด เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มิใช่สตรีที่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“อีกอย่าง…อวี้โม่ ข้าได้ยินจากเถาเซี่ยวเซี่ยวว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาใครบางคนหรือ ? มีสิ่งใดที่พวกเราพอจะช่วยได้รึไม่ ?”
จู่ ๆ ว่านเฉินซีก็นึกถึงเรื่องราวชีวิตของฉินอวี้โม่ที่ได้ทราบจากปากของบุตรสาวก่อนหน้านี้และเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หลังจากได้ฟังเถาเซี่ยวเซี่ยวเล่าถึงประวัติความเป็นมาของสตรีผู้นี้ ว่านเฉินซีก็อดเห็นใจนางไม่ได้ หลังจากที่เผชิญกับเรื่องราวความยากลำบากมากมาย ฉินอวี้โม่ก็ยังรักษาคุณธรรมในหัวใจและยังรักษาตัวตนของตนเองไว้ได้ นางเป็นสตรีที่คู่ควรแก่ความชื่นชมอย่างแท้จริง
แม้นิกายหมื่นกระบี่จะเป็นขุมกำลังระดับสอง พวกนางก็มีช่องทางในการสืบข่าวมากพอสมควร ตราบใดที่ฉินอวี้โม่อธิบายข้อมูลรูปลักษณ์ของคนเหล่านั้น นางเชื่อว่าจะสามารถช่วยตามหาคนเหล่านั้นได้อย่างแน่นอน
“ถ้าเช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านป้าซีไว้ล่วงหน้าเลยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ แม้เคยบอกให้คนของนิกายพันปีศาจช่วยสืบข่าวแล้ว นิกายหมื่นกระบี่ก็มีภูมิหลังที่มั่นคงและมีอิทธิพลที่กว้างขวางมากกว่า การที่ได้รับความช่วยเหลือของพวกเขา นางอาจจะตามหาเสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ ฉินเทียนและคนอื่น ๆ ได้เร็วมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่กังวลเกี่ยวกับเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่เท่าใดนัก ผู้ที่นางกังวลมากกว่าคือพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ รวมถึงอวิ๋นซื่อเทียน เซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ นางไม่ทราบเลยว่าสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้จะเป็นอย่างไร…
ณ ยอดเขาสูงที่ห้อมล้อมไปด้วยหมอกเมฆทั่วบริเวณ เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่กำลังนั่งศึกษาตำราอยู่ด้วยกัน
“เสี่ยวอ้ายฉือ ข้าคิดถึงท่านพ่อและท่านแม่จังเลย”
เสี่ยวอ้ายโม่นั่งเท้าคางและกะพริบตากลมโตขณะพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ข้าก็เช่นกัน”
ครานี้แม้แต่เสี่ยวอ้ายฉือที่มักจะแสดงท่าทีเป็นผู้ใหญ่เกินวัยและเงียบขรึมมาเสมอก็อดกล่าวขึ้นด้วยแววตาโหยหาไม่ได้
เด็กน้อยทั้งสองต้องแยกจากบิดามารดามานานและไม่ทราบเลยว่าพวกเขาสบายดีหรือไม่ ทั้งสองไม่ทราบด้วยซ้ำว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินทางมาที่โลกแห่งเทพแล้วหรือยัง และกำลังตามหาพวกตนอยู่หรือไม่
“น้องอ้ายฉือ น้องอ้ายโม่ ข้ามาแล้ว คิดถึงข้ารึไม่ ?”
เสียงเจื้อยแจ้วที่คุ้นหูดังขึ้นและเรียกสติของเสี่ยวอ้ายฉือผู้ซึ่งดื่มด่ำอยู่ในภวังค์ความคิดได้ทันที จากนั้นร่างของเด็กสาวจ้ำม่ำคนหนึ่งก็วิ่งโร่ตรงเข้ามาหาเขา
ใบหน้าของเสี่ยวอ้ายฉือเปลี่ยนไปทันทีขณะลุกขึ้นและหลบออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว