ตอนที่ 2605

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,605 : เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว หลิ่วเฟิงกู่!

 

 

“กฏ?”

 

ได้ยินวาจาบอกกล่าวที่ไม่ต่างอะไรกับการตั้งคำถามของเฉินเฉวียนป้า ต้วนหลิงเทียนก็เบนตาไปมองจ้องมันทันที ค่อยเอ่ยตอบออกไปอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “ผู้บัญชาการเฉิน กฏ…มิใช่ถูกกำหนดโดยผู้คนหรือไร?”

 

“ท่านเป็นผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำ…วันนี้ตัวข้าละเมิดกฏของกองทัพมังกรดำหรือไม่ก็อยู่ที่ดุลยพินิจของท่าน”

 

หลังกล่าวจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงเล็กน้อย

 

“แม่ทัพต้วน…ท่านมายังกองทัพมังกรดำของข้า ที่แท้มีจุดประสงค์อันใดกันแน่?”

 

เฉินเฉวียนป้ากล่าวถามออกไปเสียงหนัก

 

หลังได้เห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ มันก็พบว่า…

 

ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนไม่เพียงแต่จะไม่ได้ด้อยไปกว่ามัน เผลอๆยังจะเหนือกว่ามันด้วยซ้ำ!

 

เป็นไปได้เหรอที่ตัวตนระดับนี้จะมาเข้าร่วมกองทัพมังกรดำและยอมอยู่ใต้มัน…พอใจกับตำแหน่งแม่ทัพ?

 

แน่นอนว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะมีพลังฝีมือเหนือกว่ามัน แต่มันก็ไม่ได้หวาดกลัวว่าตำแหน่งผู้บัญชาการของมันจะถูกอีกฝ่ายช่วงชิงไป

 

เพราะการจะขึ้นเป็นผู้บัญชาการนั้น ไม่ได้ง่ายดายเหมือนการยกระดับขึ้นเป็นสือฟูฉาง ไป่ฟูฉาง และเชียนฟูฉาง…

 

จริงอยู่ที่ตามกฏของกองทัพมังกรดำแล้ว ตราบใดที่แข็งแกร่งพอย่อมมีสิทธิ์จะขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

 

แต่ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพนั้น จำต้องได้รับการอนุมัติเห็นชอบจากเจ้าเมืองเสียก่อน หาไม่แล้วไม่มีผู้ใดตั้งตัวขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพได้ด้วยตัวเอง จึงไม่มีใครสามารถมาช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการจากมันเพียงเพราะต้องการได้

 

“มาหาที่บ่มเพาะ”

 

ต้วนหลิงเทียนเบิกตาที่หดหยี กล่าวตอบออกไปตามตรง

 

แต่ต้นจนจบด้านเฉินเฉวียนป้าก็มองสบตาต้วนหลิงเทียนไม่วาง คล้ายกับพยายามมองหาอะไรบางอย่างในสายตาของต้วนหลิงเทียน…

 

อย่างไรก็ตามมันถูกลิขิตให้ต้องผิดหวัง

 

สายตาต้วนหลิงเทียนช่างสงบนิ่งประหนึ่งบ่อโบราณไร้ละรอก ไม่มีความผิดแปลกอะไร…

 

‘กองทัพมังกรดำของข้า ดูเหมือนจะเป็นแค่ทางผ่านของมัน…’

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเฉียนป้าก็คิดไม่ออกจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะมีแผนร้ายอะไรกับกองทัพมังกรดำ สุดท้ายมันก็คร้านจะคิดวุ่นวาย เพียงมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ก่อนจะเหินร่างออกจากหุบเขาเทพสงครามทันที

 

การจากไปของเฉินเฉวียนป้า ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการตอบ ว่าจะเอาอย่างไรเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งฆ่าเจี่ยนชิวผิงทิ้งไปเมื่อครู่…

 

ฆ่าก็ฆ่าไปเถอะ ไม่ผิด!

 

สำหรับผลลัพธ์ดังกล่าวเหล่าทหารของกอทัพมังกรดำทั้งหมดในหุบเขาเทพสงครามไม่มีใครแปลกใจ

 

เพราะถึงแม้ผู้บัญชาการของพวกมันจะยังไม่ได้ประมือกับต้วนหลิงเทียน

 

อย่างไรก็ตามอาศัยแค่พลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยให้เห็น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บัญชาการแม้แต่นิดเดียว กระทั่งยังจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!

 

กล่าวได้ว่า ต่อให้ผู้บัญชาการพวกมันคิดลงโทษต้วนหลิงเทียน แต่ก็อาจไม่มีสามารถมากพอจะบังคับต้วนหลิงเทียนให้มารับโทษได้

 

เว้นเสียแต่จะรายงานเรื่องนี้ไปยังเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว…

 

อย่างไรก็ตามหากเกิดเรื่องเช่นนั้นจริง เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวก็ย่อมเห็นแก่เมืองเฉวี่ยโยวก่อนใดอื่น เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้กระทำความผิดใหญ่หลวงอะไร และไม่ได้ส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของเมืองเฉวี่ยโยว ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวจะลงโทษต้วนหลิงเทียนตามคำแนะของผู้บัญชาการ

 

เพราะสุดท้ายแล้วในสายตาของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว

 

ในแง่ของคุณค่า เจี่ยนชิวผิงที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งไป ไม่อาจเทียบกับต้วนหลิงเทียนได้เลย…

 

ดังนั้นถึงแม้จะรายงานเรื่องนี้ไปให้เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวรับทราบ ผลก็จะจบลงแบบนี้อยู่ดี

 

ด้วยความที่พวกมันคิดถึงเรื่องนี้ไว้แต่แรก จึงไม่ได้แปลกใจอะไร

 

หลังจากที่เฉินเฉวียนป้าเหินร่างจากไป ความสนใจของผู้คนในหุบเขาเทพสงครามก็กลับมาตกอยู่ที่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง

 

“ท่านต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะปกปิดตัวเองได้มิดชิดเยี่ยงนี้…เจี่ยนชิวผิงนั่นช่างมีตาแต่ไร้แววยิ่ง ที่บอกว่าท่านเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง!”

 

“ใช่! เป็นเช่นนั้น! เจี่ยนชิวผิงมันตายคามือแม่ทัพต้วนหลิงเทียนแบบนั้นก็สมควรแล้ว! นับว่าท่านฆ่าได้ดี!!”

 

แม่ทัพหู่จี๋กับไช่เหวินอวี้เร่งเหินมาหยุดเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก่อนใคร กล่าววาจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี

 

เห็นท่าทีปฏิบัติของทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ

 

สองคนนี้ ในตอนที่เจี่ยนชิวิงบอกว่าเขาเป็นแค่เซียนอมตะสวรรค์จันทร์ม่วง พวกมันก็เปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าพลิกสมุด ต่างมองแคลนไม่อยากสุงสิงกับเขา

 

เช่นนั้นมาตอนนี้พอเห็นทีท่าปั้นยิ้มหมายประจบประแจง ต้วนหลิงเทียนจึงเพิกเฉยพวกมันทันที

 

ไม่สนใจว่าทั้งสองจะยิ้มเก้อหน้าม้านเพียงใด ต้วนหลิงเทียนเพียงเหินไปทางแม่ทัพอีก 2 คนที่เหลืออย่างจ้าวต่งชิ่งและฉินอวี่ ก่อนที่จะพยักหน้ากล่าวทัก “แม่ทัพจ้าว แม่ทัพฉิน…พอดีข้ารีบกลับไปบ่มเพาะ ขอตัวก่อน”

 

“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน ค่อยๆไปไม่ต้องรีบ”

 

จ้าวต่งชิ่งกับฉินอวี่ก็ตอบสนองเร็วไว

 

หากบอกว่าในสายตาของพวกมันก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนเป็นแค่แม่ทัพธรรมดาล่ะก็

 

มาตอนนี้พวกมันไม่กล้ามองต้วนหลิงเทียนเป็นแค่แม่ทัพอีกแล้ว…

 

เพราะจากการต่อสู้เมื่อครู่ พวกมันก็เห็นเรื่องหนึ่ง…

 

ความแข็งแกร่งของแม่ทัพต้วนหลิงเทียน อาจไม่ได้ด้อยกว่าผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำของพวกมัน!

 

หลังจากลาจ้าวต่งชิ่งกับฉินอวี่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหลือบมองเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาเขาก่อนพยักหน้าให้พวกมันที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาตื่นเต้น ค่อยเหินร่างออกจากหุบเขาเทพสงครามไป

 

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

 

ต้วนหลิงเทียนพึ่งจากไปได้ไม่ทันไร หู่จี๋กับไช่เหวินอวี้ ก็เร่งเหินร่างจากไปทันที

 

เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้พวกมันก็ตกอยู่ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อนัก!

 

พวกมันเป็นฝ่ายเข้าไปทักต้วนหลิงเทียนก่อน กระทั่งยังใช้ทีท่าประจบประแจง

 

แต่ต้วนหลิงเทียนไม่แม้จะชายตาแลมอง

 

ซ้ำร้ายถึงพวกมันจะหงุดหงิดไม่พอใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหน พวกมันก็ไม่กล้าเผยออกมาให้เห็น

 

เมื่อได้เห็นพลังฝีมือเมื่อครู่ของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็รู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ตัวตนที่พวกมันจะตอแยล่วงเกินได้!

 

และหลังจากที่แม่ทัพจ้าวต่งช่งกับฉินอวี่ก็พากันเหรินร่างกลับตาม ในหุบเขาเทพสงครามก็ดังกระหึ่มขึ้นมาด้วยบทสนทนาอันคึกคัก

 

“มารดามันช่างเหลือเชื่อนัก! ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแม่ทัพต้วนหลิงเทียนของกองทัพมังกรดำพวกเราจะมีพลังฝีมือสูงส่งขนาดนี้! ข้าว่าพลังฝีมือแม่ทัพต้วนไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านผู้บัญชาการเลยด้วยซ้ำ!”

 

ไป่ฟูฉางคนหนึ่งเริ่มโพล่งเปิดประเด็นออกมาอย่างคึกคัก

 

และวาจาดังกล่าวของมันก็ได้รับการเห็นชอบจากผู้คนมากมาย

 

“ใช่ๆ!”

 

“ตอนนี้ข้าสงสัยอยู่อย่าง…ด้วยพลังฝีมือระดับนี้ของแม่ทัพต้วน เขาจะมาที่กองทัพมังกรดำพวกเราทำอะไร?”

 

“เฮ่ เจ้าไม่ได้ยินที่แม่ทัพต้วนพูดเมื่อกี้รึไง…ท่านแม่ทัพก็บอกเองว่ามาเพื่อหาสถานที่บ่มเพาะ! อย่างไรเสียในละแวกเมืองเฉวี่ยโยวของพวกเรา หากไม่ใช่จวนเจ้าเมืองก็มีแต่ค่ายทัพมังกรดำของพวกเรา กับค่ายทัพมังกรเงินเท่านั้นที่มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดี ”

 

“พอเจ้าพูดถึงพวกทัพมังกรเงินขึ้นมา…ข้าอยากรู้จริงๆ ถ้าพวกทัพมังกรเงินมันรู้ว่าทัพมังกรดำของพวกเรามีแม่ทัพที่พลังฝีมือไม่ด้อยไปกว่าท่านผู้บัญชาการ พวกมันจะทำหน้าอย่างไรกัน! น่าดูยิ่ง!!”

 

“ฮ่าๆๆ นั่นสิ ช่างน่าดูยิ่ง!”

 

 

จากนั้นหุบเขาเทพสงครามก็เต็มไปด้วยเสียงคุยเซ็งแซ่ปานตลาดสด แต่ละคนจ้อกันอย่างสนุกสนานไม่คิดจะรีบร้อนกลับ ยากจะหาความสงบอยู่นาน

 

หัวข้อที่พวกมันพูดคุยก็วนเวียนอยู่กับแม่ทัพคนใหม่ของพวกมัน

 

ส่วนด้านเฉินเฉวียนป้าผู้บัญชาการทัพมังกรดำที่ออกจากหุบเขาเทพสงครามมาแต่แรกนั้น ตอนนี้ได้ออกนอกเขตค่ายทัพมังกรดำเข้าสู่เมืองเฉวี่ยโยว มุ่งตรงไปยังจวนเจ้าเมือง…

 

มันไปเข้าพบเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวทันที

 

เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวนั้นมีนามว่า หลิ่วเฟิงกู่

 

ในตอนที่เฉินเฉวียนป้ามาขอเข้าพบมันก็กำลังบ่มเพาะพลังอยู่ หากแต่ไม่ได้ปิดด่าน

 

พอรู้ว่าเฉินเฉวียนป้ามาหา มันก็หยุดการบ่มเพาะพลังและออกมาพบเฉินเฉวียนป้าทันที

 

“เฉินเฉวียนป้า เจ้ามาหาข้าถึงที่นี่ได้…มีเรื่องอะไรหรือ?”

 

ในห้องโถงหลักของจวนเจ้าเมือง หลิ่วเฟิงกู่ที่นั่งเก้าอี้ชั้นบน มองเฉินเฉวียนป้าที่นั่งอยู่ด้านล่างพลางถามด้วยรอยยิ้ม

 

เฉินเฉวียนป้าเป็น 1 ใน 2 ขุนพลของมัน และคอยดูแลกองทัพมังกรดำ แถมอีกฝ่ายก็ขยันทำงานอย่างขันแข็งไม่เคยทำอะไรผิดพลาด

 

เช่นนั้นมันจึงชอบผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้มาก

 

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านจึงไม่เห็นเฉินเฉวียนป้าเป็นคนนอก

 

“ท่านเจ้าเมือง…”

 

เฉินเฉวียนป้าเปิดประตูเห็นภูผากล่าวว่า “ท่านจำได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ออกประกาศไปว่า…ผู้ใดพบเจอป้ายแม่ทัพของกองทัพมังกรดำและนำมาส่งคืน ข้าจะมอบตำแหน่งแม่ทัพของกองทัพมังกรดำข้าให้ทันที?”

 

“อ้อ เรื่องนี้ข้าจำได้”

 

หลิ่วเฟิงกู่พยักหน้า พลางถามออกด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “อะไร หรือมีคนพบมันแล้ว? ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพใต้คำสั่งของเจ้าดันพลัดหลงเข้าไปในโลกใบเล็กแถวเทือกเขาทางตอนใต้นี่นา?”

 

“ทำไม? หรือเจ้าจะบอกว่าแม่ทัพของเจ้าที่แท้ไม่ได้หลงเข้าไปในโลกใบเล็ก?”

 

หลังกล่าวถามออกไป หลิ่วเฟิงกู่ก็เผยความอยากรู้อยากเห็นนัก

 

“แม่ทัพผู้นั้นพลัดหลงเข้าไปตกตายในโลกใบเล็กจริง…แต่หลังจากนั้น มีใครบางคนที่สามารถนำป้ายนั่นกลับมาจากโลกใบเล็กได้”

 

เฉินเฉวียนป้ากล่าว

 

“อะไร!?”

 

แทบจะทันทีที่เฉินเฉวียนป้ากล่าวจบคำ หลิ่วเฟิงกู่ตกใจถึงขั้นลุกขึ้นยืนดังพรวด มองถามเฉินเฉวียนป้าด้วยสีหน้าแตกตื่น “เฉวียนป้า…เจ้า…เจ้าแน่ใจหรือ?”

 

“ข้าแน่ใจ”

 

เฉินเฉวียนป้าพยักหน้า หลัจากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนเคยเล่าให้มันฟังออกไปให้หลิ่วเฟิงกู่รับทราบ

 

“วันนั้นข้าไปสำรวจแนวเทือกเขาทางตอนใต้ด้วยตัวเองทันที…จึงพบว่าทางเข้าโลกใบเล็กได้หายไปแล้วจริงๆ”

 

เฉินเฉวียนป้ากล่าวอีกรอบ

 

“โลกใบเล็กนั่น…ที่แท้เป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะเหลือทิ้งไว้นี่เอง…”

 

ลูกตาหลิ่วเฟิงกู่หดหยี กล่าวพึมพำ “มิน่าล่ะกระทั่งยอดฝีมือขอบเขตต้าหลัวจินเซียนมากมายกระทั่งเหนือกว่านั้น ก็มิสามารถไขความลับของเล็กใบเล็กได้…ที่แท้ผู้ที่เหลือโลกใบเล็กทิ้งไว้ก็คือยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ!”

 

“นิกายสราญรมย์..นั่นคือขุมพลังที่ร้ายกาจเหนือกว่าขุมพลังใดๆในประเทศอมตะระดับสูง!”

 

หลังบ่นจบสองตาหลิ่วเฟิงกู่ก็ฉายแววหวาดกลัว

 

กลัว นิกายสราญรมย์!

 

สำหรับมันยอดฝีมือจากประเทศอมตะระดับสูง ก็เป็นอะไรที่มันทำได้แค่แหงนมองแล้ว

 

ทว่านิกายสราญรมย์นั่น เป็นขุมพลังที่เหนือกว่าประเทศอมตะระดับสูงเสียอีก…

 

“แต่…ฟังจากที่เจ้าเล่า นับว่าที่แม่ทัพคนใหม่ของเจ้าออกมาจากโลกใบเล็กนั่นได้ เป็นเพราะโชคล้วนๆ จริงๆ”

 

หลิ่วเฟิ่งกู่กล่าว

 

“ใต้เท้าเจ้าเมืองที่ข้ามาหาท่านวันนี้ก็เพราะมัน…วันนี้ข้าเห็นมันลงมือ นับว่าพลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย!”

 

ทันใดนั้นเอง เฉินเฉวียนป้าก็เอ่ยสาเหตุการมาของมัน