WSSTH ตอนที่ 2,606 : เคล็ดวิชาบ่มเพาะมีระดับ
“ว่าอะไร!?”
“พลังฝีมือของมัน…ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้า?”
แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เฉินเฉวียนป้ากล่าวจบคำ ลูกตาหลิ่วเฟิงกู่ก็หดเล็กลงอย่างอดไม่ได้ ยังออกอาการตกใจไม่น้อย
“ใช่ท่าน”
เฉินเฉวียนป้าพยักหน้า ค่อยเล่าเรื่องราวให้หลิ่วเฟิงกู่ฟังว่าในหุบเขาเทพสงครามวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง…
นอกจากนั้นมันยังหยิบยันต์เต๋าแผ่นหนึ่งออกมาบดขยี้
ทันใดนั้นเอง
วิ๊งงง!!
ปรากฏเสียงใสดังขึ้นแผ่วเบา ไม่นานกลางห้องโถงหลักของจวนเจ้าเมืองก็ปรากฏม่านแสงกางขึ้นในความว่างเปล่า เป็นม่านแสงที่สะท้อนภาพเคลื่อนไหวแจ่มชัดปานกระจก
และสิ่งที่สะท้อนในม่านแสงตอนนี้ก็คือ…ฉากที่ต้วนหลิงเทียนเผชิญหน้ากับเจี่ยนชิวผิงในหุบเขาเทพสงคราม
การลงมือครั้งแรกของเจี่ยนชิวผิงที่ใช้พลังครึ่งหนึ่งล้มเหลวโดยสมบูรณ์ คนกระเด็นหน้าหงาย…
การลงมือครั้งที่ 2 ของเจี่ยนชิวผิง ด้วยบันดาลโทสะใช้พลังทั้งหมด ก็ยังกระเด้งหน้าสั่นไร้ผลลัพธ์ใดๆ…
จากนั้นชายหนุ่มในชุดสีม่วงที่ยืนกอดอกประหนึ่งเทพเจ้า ไม่อาจแลเห็นว่าคนลงมืออย่างไร หากแต่กระบี่เล่มเขื่องใต้ฝ่าเท้ากลับลดลงไปเล็กน้อย เปล่งรังสีกระบี่ออกมาสว่างเจิดจ้าค่อยตวัดฟันออกไปฉับไว!
กระบี่แหวกผ่าความว่างเปล่าลงไปผ่าร่างเจี่ยนชิวผิงปานผ่าเต้าหู้ ค่อยเปล่งพลังระเบิดป่นร่างจนคนทั้งคนกลับกลายเป็นละอองเลือด…
“ฟืด~~”
หลังดูเรื่องราวในม่านแสงที่เฉินเฉวียนป้าบันทึกไว้ด้วยยันต์อมตะ แม้จะเป็นหลิ่วเฟิงกู่ เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวที่ได้ผ่านคลื่นลมอะไรมามาก ยังอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเข้าลึกๆ
“พลังฝีมือของมันไม่ต่ำกว่าเจ้าแน่นอน…”
ครู่ต่อมาหลิ่วเฟิงกู่ก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แน่นอนว่าในใจของหลิ่วเฟิงกู่ยังมีถ้อยคำที่ไม่ได้พูดออกมาอีกมากมาย
นั่นก็คือ…เท่าที่มันเห็นตอนชายหนุ่มชุดม่วงลงมือนั้น อีกฝ่ายไม่ได้เหมือนคนที่ลงมือเต็มกำลังแม้แต่น้อย…
ยังมีอีกเรื่อง…
ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น ยังไม่ได้ใช้แม้แต่ยอดสมบัติสวรรค์ใดๆ!
‘ไม่รู้ว่าถ้าเป็นข้า…หากต้องปะทะกับมันขึ้นมาจริงๆจะเอาชนะได้หรือไม่?’
หลิ่วเฟิงกู่ลอบกล่าวในใจ
ครู่ต่อมาหลิ่วเฟิงกู่ก็มองจ้องไปยังเฉินเฉวียนป้าอีกครั้ง กล่าวถามเสียงขรึมว่า “เฉวียนป้าเจ้าว่าที่ชายหนุ่มผู้นี้มาเข้าร่วมกองทัพมังกรดำของพวกเรา มันที่แท้มีจุดประสงค์อันใดกันแน่?”
“ท่านเจ้าเมือง เรื่องนี้ข้าเองก็ได้กล่าวถามมันออกไปแล้ว…”
เฉินเฉวียนป้าเอ่ยตอบ “มันบอกว่า…มันแค่มาหาสถานที่บ่มเพาะ”
“มาหาสถานที่บ่มเพาะ!?”
หลิ่วเฟิงกู่สะดุ้งโหยง
…
ณ ค่ายของกองทัพมังกรดำ
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เย่ตอนนี้เฉินเฉวียนป้าได้วิ่งโร่ไปหารือกับเจ้าเมืองเฉวียโยวเรียบร้อยแล้ว ตัเขาหลังที่กลับมาจากหุบเขาเทพสงคราม เขาก็กลับมายงกระโจมและเตรียมพร้อมบ่มเพาะพลังสืบต่อ
‘น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเคล็ดวิชาบ่มเพาะของแดนสวรรค์…หาไม่แล้วพลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินที่ข้าใช้ออกด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดคงไม่เพิ่มพูนขึ้นเพียงแค่ 2 ขีดขั้นแน่…’
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจดังเฮือก
ย้อนกลับไปครั้งที่เขายังมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติและมีผู้เฒ่าหั่วคอยชี้แนะ ตัวผู้เฒ่าหั่วก็เคยพูดบอกเขาไว้ว่าปฐมเวทย์กลืนกินที่เขาได้รับมา กระทั่งในระนาบเทวโลกยังถือว่าเป็นเวทย์พลังชั้นยอด…
อย่างไรก็ตามเวทย์พลังสนับสนุนของระนาบเทวโลก โดยทั่วไปแล้วไม่อาจสำแดงพลังออกมาได้เต็มที่ หากโคจรพลังตามเคล็ดวิชาบ่มเพาะในระนาบโลกียะเพื่อใช้มัน…
กล่าวอีกอย่างได้ว่า…
ถึงแม้ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนจะเชี่ยวชาญปฐมเวทย์กลืนกินถึงขีดสุดแล้ว แต่เนื่องจากการโคจรพลังในร่างของเขา ไม่ว่าจะบ่มเพาะก็ดีดูดซับจ่ายออกก็ดี เขาไม่ได้โคจรด้วยเคล็ดวิชาบ่มเพาะของระนาบเทวโลก…เช่นนั้นพลังที่เขาได้รับจึงมีจำกัด
หากเขาได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะของระนาบเทวโลกมาล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเพียงไร ยามเขาโคจรจ่ายพลังใช้ปฐมเวทย์กลืนกินออกอีกครั้ง พลังอำนาจของปฐมเวทย์กลืนกินที่สำแดงออกจะไม่เหมือนกันกับตอนนี้แน่!
‘ได้ยินเสี่ยวเอ้อในเหลาบอกว่า…ในมือของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่มีระดับบนระนาบเทวโลกอยู่ และเคล็ดวิชาบ่มเพาะนั่นต่อให้มองไปทั่วทั้งละแวกเมืองเฉวี่ยโยว ก็มีแค่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวกับผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำกับผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินเท่านั้นที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาดังกล่าว…’
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองวูบ ‘ในระนาบเทวโลกแห่งนี้ ระดับของเคล็ดวิชาบ่มเพาะย่อมส่งผลใหญ่หลวงอย่างไม่ต้องสงสัยเลย…เพราะอย่างไรนี่ก็คือวิธีโคจรใช้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่าง อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญที่สุดเพราะเกี่ยวข้องกับความเร็วในการบ่มเพาะโดยตรง’
‘ยิ่งเคล็ดวิชาบ่มเพาะดีเท่าไหร่ ความเร็วในการบ่มเพาะก็มากขึ้นเท่านั้น…’
“บางที…ข้าอาจลองดู ว่าจะขอเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวถือครองอยู่ได้ไหม..”
ขณะที่พึมพำประโยคนี้ออกมา สองตาต้วนหลิงเทียนก็สว่างวาบ
หากเขาได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะมาล่ะก็ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาแน่นอนว่าต้องเพิ่มสูงขึ้น
แต่เป็นธรรมดาว่าเขารู้ดี ว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะนั่นจากเจ้าเมืองเฉวี่ยโยว…
อย่างน้อยๆภายในเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้ จากที่เสี่ยวเอ้อบอก เขาก็รู้แค่ว่าผู้ที่ใช้มันบ่มเพาะก็มีแค่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว กับผู้บัยชาการกองทัพอีก 2 คนเท่านั้น…
‘ด้วยกำลังของข้าตอนนี้ หากลงมือเต็มที่แม้จะต้องปะทะกับจ้าวเมืองเฉวี่ยโยวก็คงไม่แพ้พ่าย…แต่หากจะเอาเคล็ดวิชาบ่มเพาะของมันมา เรื่องนี้ยังห่างไกลความจริงอยู่มาก’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนในใจ
อันที่จริงตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนออกจากโลกใบเล็กที่ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะเหลือทิ้งไว้ เขาก็รู้ว่า…
ด้วยความที่ระดับพลังบ่มเพาะของเขาพุ่งมาถึงเซียนอมตะสวรรค์จันทรน้ำเงิน หากเขาลงมือเต็มกำลังล่ะก็แม้แต่ 2 ผู้บัญชาการของกองทัพมังกรดำและกองทัพมังกรเงิน หรือกระทั่งเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
อย่างไรก็ตามเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะช่วงชิงตำแหน่งผู้บัญชาการของกองทัพมังกรดำหรือกองทัพมังกรเงิน
เพราะหากเขาอยากเป็นผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินหรือกองทัพมังกรดำล่ะก็ไม่เพียงแต่พลังฝีมือถึงขั้นเท่านั้น ยังต้องได้รับการยอมรับจากเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเสียก่อน…
สำหรับเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวนั้นถึงแม้เขาจะแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่อาจใช้กำลังหักหาญเข่นฆ่าเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเมือง หรือแค่บีบคั้นให้อีกฝ่ายมอบตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำหรือกองัทพมังกรเงินได้…
เพราะเบื้องหลังเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวยังมีมณฑลจิ่วโยว…
หากเขาต้องการเป็นผู้นำของเมืองเฉวี่ยโยว นั่นต้องได้รับความเห็นชอบจากมณฑลจิ่วโยวเสียก่อน…
หากเขาใช้กำลังเข้าหักหาญแย่งชิงตำแหน่งของเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวมาล่ะก็ ไม่พ้นมณฑลจิ่วโยวต้องส่งมือดีมาจัดการเขาภายในเวลาอันสั้นแน่นอน…
เรียกว่าหากเขาฆ่าเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวขึ้นมา มณฑลจิ่วโยวก็ไม่มีวันปล่อยให้เขารอดชีวิตไปได้…
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ระดับพลังของตัวเองดี แต่เขาก็ทำได้แค่เป็นแม่ทัพของกองทัพมังกรดำเท่านั้น ด้วยวิธีนี้เขาจึงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเฉวี่ยโยวได้อย่างราบรื่น
สำหรับการเดินทางไปยังมณฑลจิ่วโยว แม้กระทั่งไปโลดแล่นบนเวทีที่มีระดับเหนือกว่ามณฑลจิ่วโยวเขาก็มีคิดเอาไว้แล้ว
อย่างไรก็ตามเขารู้ตัวดีว่าพลังฝีมือของเขายังขาดอยู่…
ระหว่างเดินทางไปยังมณฑลจิ่วโยวหรือแม้กระทั่งคิดจะไปยังเวทีที่ใหญ่กว่ามณฑลจิ่วโยว…เขาอาจจะถูกสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าเขาฆ่าทิ้งเอาได้ง่ายๆระหว่างทาง เพราะมันยากเหลือเกินที่เขาจะเอาตัวรอดได้ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน…
ดังนั้นสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ตอนนนี้ก็คือ
เพิ่มพูนพลังฝีมือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเมืองเฉวี่ยโยว และเมื่อรู้สึกว่าตัวเองมีพลังสามารถสูงพอจะป้องกันตัวได้ในระดับหนึ่ง เขาจะออกจากเมืองเฉวี่ยโยว ไปยังเวทีที่กว้างกว่าเพื่อขัดเกลายกระดับพลังของตัวเอง
ตอนนี้เขาไม่อาจวู่วามบุ่มบามได้…
เพราะความรับผิดชอบที่เขาแบกไว้บนบ่ามันมากมายเกินไป
ของเขาไม่ได้มีชีวิตเพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่ยังเพื่อครอบครัวและมิตรสหายอีกด้วย…
“เคล็ดวิชาบ่มเพาะ…เคล็ดวิชาบ่มเพาะของระนาบเทวโลก…”
เนื่องจากอดคิดถึงเคล็ดวิชาบ่มเพาะของระนาบเทวโลกไม่ได้ ต้วนหลิงเทียนจึงไม่อาจสงบใจเพื่อทำการบ่มเพาะพลัง สุดท้ายเขาก็ได้แต่หยุดการบ่มเพาะเอาไว้และออกจากกระโจม…
“ท่านผู้บัญชาการเฉิน?”
ต้วนหลิงเทียนพึ่งเลิกกระโจมออกมา ก็พอดีกันกับที่เห็นร่างผู้บัญชาการของกองทัพมังกรดำเฉินเฉวียนป้าที่พึ่งเหินกลับมาถึง…
“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน”
เฉินเฉวียนป้ามองทักต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีสุภาพ แต่ต้นจนจบไม่ได้วางตัวเหนือกว่า ทำเหมือนต้วนหลิงเทียนอยู่ในระดับเดียวกัน
เหตุผลที่มันทำแบบนี้ เป็นธรรมดาเพราะมันได้เห็นแล้วว่าพลังฝีมือต้วนหลิงเทียนไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามันเลย
“ท่านผู้บัญชาการเฉิน ข้าได้ยินมาว่าเมืองเฉวี่ยโยวของเรา…มีเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองอยู่ด้วยงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามเฉินเฉวียนป้าออกมาตรงๆ
เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลือง ที่เขาเอ่ยถึงก็คือระดับของเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เจ้าเมืองเฉวี่ยโยวครอบครอง
ในระนาบเทวโลกเคล็ดวิชาบ่มเพาะก็เหมือนกับวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังที่แบ่งออกเป็นระดับต่างๆ…
ในบรรดาระดับต่างๆที่ว่า เคล็ดวิชาระดับเหลือง คือเคล็ดวิชาที่มีระดับต่ำต้อยที่สุด…
จริงอยู่ที่มันมีระดับต่ำต้อยที่สุด แต่มันก็ต่ำต้อยที่สุดในบรรดาเคล็ดวิชาบ่มเพาะมีระดับของระนาบเทวโลก! ยังเหนือกว่า จนเคล็ดวิชาบ่มเพาะไร้ระดับไม่อาจเทียบได้เลย…
และเคล็ดวิชาบ่มเพาะ 9 มังกรจักรพรรดิสงครามของต้วนหลิงเทียน เมื่อมาอยู่บนระนาบเทวโลก มันก็เป็นแค่เคล็ดวิชาบ่มเพาะไร้ระดับเท่านั้น…
ถึงแม้ว่าเขาจะใช้มันบ่มเพาะพลังต่อไปได้ แต่ความเร็วในการบ่มเพาะนั้นจะด้อยกว่าเคล็ดวิชาบ่มเพาะมีระดับเล็กน้อย
ที่สำคัญก็คือเคล็ดวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามของเขา ไม่อาจควบคุมพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างได้สมบูรณ์ ทำให้เขาไม่อาจสำแดงเวทย์พลังสนับสนุนได้เต็มประสิทธิภาพ…
“ใช่”
เฉินเฉวียนป้าพยักหน้า “เคล็ดวิชาบ่มเพาะดังกล่าวนั้นเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวเป็นผู้มอบให้ข้า และท่านเจ้าเมืองก็ได้รับมาจากผู้พิทักษ์ของมณฑลจิ่วโยวอีกที…ในเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้ มีแค่ท่านเจ้าเมือง ข้า ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงิน และก็องครักษ์งูทองเท่านั้นที่บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชาดังกล่าว…”
“องครักษ์งูทอง?”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ด้วยเพราะเขาไม่รู้มาก่อนว่าหัวหน้าองครักษ์งูทองข้างกายเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวจะบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชานั่นเช่นกัน…
“อืม”
เฉินเฉวียนป้าพัยกหน้า
“ถ้างั้น… ที่องครักษ์งูทองทั้งร้อยคนบรรลุถึงขอบเขตจินเซียนกันหมด ส่วนใหญ่เป็นเพราะเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลือง?”
ก่อนหน้านี้ตอนต้วนหลิงเทียนได้ยินเรื่ององครักษ์งูทองจากเสี่ยวเอ้อในเหลาอาหารเขาก็ตกใจไม่น้อย
ต้องทราบด้วยว่าในกองทัพมังกรดำ กับกองทัพมังกรเงินนั้น ก็มีตัวตนขอบเขตจินเซียนรวมกันแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น…
“องครักษ์งูทองทั้งร้อยคน?”
อย่างไรก็ตาม พอได้ยินประโยคดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนเฉินเฉวียนป้าก็ส่ายหัวออกมา ค่อยพูดว่า “เรื่ององครักษ์งูทองมีจำนวนร้อยคนนั่นเป็นข้อมูลที่ภายนอกเอาไปพูดผิดเพี้ยนกันเอง…อันที่จริงแล้วองครักษ์งูทองที่อยู่ข้างกายท่านเจ้าเมืองมีแค่ 18 คนเท่านั้น เรียกว่า 18 องครักษ์งูทอง”
“อย่างไรก็ตามแม้องครักษ์งูทองจะมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 18 คน…ทว่าพลังฝีมือขององครักษ์งูทองแต่ละคนเหนือกว่าแม่ทัพของกองทัพมังกรดำเราและกองทัพมังกรเงินมาก…”
กล่าวถึงจุดนี้เฉินเฉวียนป้าก็เอ่ยเพิ่มอีกประโยคหนึ่ง “แน่นอนว่าไม่รวมท่าน แม่ทัพต้วนหลิงเทียน…”
“ผู้บัญชาการเฉิน หากข้าต้องการเคล็ดวิชาบ่มเพาะนั่นบ้าง…เจ้าเมืองจะเต็มใจถ่ายทอดให้ข้าหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนถามอย่างตรงไปตรงมา!