WSSTH ตอนที่ 2,607 : พกพาโทสะเข้าเมืองเฉวี่ยโยว
“คงยาก…”
ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เฉินเฉวียนป้าก็กล่าวตอบออกมาตามตรง “เคล็ดวิชาบ่มเพาะนั่น ท่านเจ้าเมืองให้ความสำคัญกับมันยิ่ง…หากมิใช่ผู้ที่มีระดับพลังบ่มเพาะสูงถึงในระดับหนึ่งและเป็นคนที่เชื่อใจได้ ท่านเจ้าเมืองย่อมไม่คิดจะถ่ายทอดให้ผู้ใดง่ายๆ”
กล่าวถึงท้ายประโยคเฉินเฉวียนป้าก็มองจ้องต้วนหลิงเทียน บอกว่า “แม่ทัพต้วนหลิงเทียน ในแง่ระดับพลังฝึกปรือของท่านนับว่าถึงเกณฑ์แล้ว…แต่เรื่องความเชื่อใจนั้น หากแม่ทัพต้วนหลิงเทียนท่านสามารถอยู่ในกองทัพมังกรดำเราไปสักหลายสิบปีหรือหลายร้อยปีล่ะก็ ท่านเจ้าเมืองอาจเต็มใจถ่ายทอดเคล็ดวิชาบ่มเพาะนั่นให้กับท่าน…”
“หลายสิบปี? หลายร้อยปี?”
ได้ยินคำพูดของเฉินเฉวียนป้า ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหน้าทันที
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอยู่ในกองทัพมังกรดำนี่เลย กระทั่งเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้เขาก็ไม่อาจใช้เวลาอยู่นานเป็นสิบปีด้วยซ้ำ! ยังนับประสาอะไรกับเป็นร้อยปี!!
‘ช่างเถอะ…ถึงจะไม่มีเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองนั่นก็ช่าง ด้วยชีพจรสวรรค์ 99 สายในร่าง ความเร็วในการบ่มเพาะของข้าก็ไม่ได้ช้าไปกว่าผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำหรือเจ้าเมืองเฉวี่ยโยวแต่อย่างใด…’
หลังจากได้รับทราบเรื่องราว ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิดถึงมันอีกต่อไป
แม้ตอนนี้เขาอาจจะยังไม่มีเคล็ดวิชาบ่มเพาะดีๆ แต่เขามีชีพจรสวรรค์ 99 สายที่ทำให้คนธรรมดาได้แต่อิจฉาจนตาร้อน…
เพราะในระนาบเทวโลกแห่งนี้ ยิ่งจำนวนชีพจรสวรรค์มีมากเท่าใด ก็ยิ่งเกิดประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
ไม่เพียงแต่ความเร็วในการบ่มเพาะฝึกฝนเท่านั้น กระทั่งความเร็วในการรวมรั้งจ่ายพลังขณะต่อสู้ก็เหนือกว่าผู้อื่น…
นอกจากนั้นในความคิดของต้วนหลิงเทียน
ตราบใดที่พลังฝึกปรือของเขาสูงมากพอ หลังออกจากเมืองเฉวี่ยโยวแห่งนี้ไปแล้ว คิดจะหาหนทางได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะมีระดับก็คงเป็นเรื่องง่าย…
จริงอยู่…ที่ในเมืองเฉวี่ยโยวนั้นแค่เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองเปรียบได้ดั่งสมบัติล้ำค่าหาผู้ใดเสมอเหมือน…
ทว่าในมณฑลจิ่วโยว ตราบใดที่เป็นขุมพลังเอาเรื่องสักหน่อย สมควรมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะมีระดับเก็บไว้ไม่น้อย
‘นอกจากนี้…เห็นเสี่ยวเอ้อบอกว่าในโรงประมูลประจำมณฑลจิ่วโยวก็มีผู้เอาเคล็ดวิชาบ่มเพาะมาให้ผู้คนร่วมประมูลเป็นครั้งคราว’
คิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโล่งใจ
เช่นนั้นหลังกล่าวลาเฉินเฉวียนป้าแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับเข้ามาในกระโจมอีกรอบ และคราวนี้เขาสามารถสงบจิตใจได้ในเวลาอันสั้น และจมจ่อมลงสู่ภวังค์การบ่มเพาะอย่างรวดเร็ว…
หลังเขาบ่มเพาะพลังไปได้ราวๆครึ่งชั่วยาม
“ใต้เท้าแม่ทัพขอรับ!”
เสียงผ่านพลังหนึ่งถูกส่งมาจากนอกกระโจมเข้าหูต้วนหลิงเทียน ปลุกต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในภวังค์บ่มเพาะให้ตื่นขึ้น
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนลืมตาขึ้นมาด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและเดินออกกระโจมไป
เสียงเมื่อครู่พอได้ยิน เขาก็บอกได้ทันทีว่าเป็นเสียงของไป่ฟูฉางใต้บัญชาเขา
ยังเป็นไป่ฟูฉางที่เขาซัดจนบาดเจ็บไปก่อนหน้า!
“ว่าไง?”
และฟังจากนำเสียงร้อนรนก่อนหน้าของอีกฝ่ายที่ส่งมา ต้วนหลิงเทียนก็รับทราบถึงความกังวลของมัน และสมควรมีเรื่องเร่งด่วนอะไรแน่ ถึงได้มาเรียกเขาแบบนี้
“ท่านแม่ทัพขอรับข้ามีเรื่องหนึ่งจะรายงานท่าน…ตอนนี้ไป่ฟูฉางของพวกเรา 2 คนกับ สือฟูฉางอีก 7 คนถูกแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินนาม ‘หยางกงผิง’ กักตัวไว้ในเหลาอาหารแห่งหนึ่งของเมืองเฉวี่ยโยว และหยางกงผิงผู้นั้นได้กล่าวว่าหากคิดจะพาคนกลับก็ต้องให้ท่านแม่ทัพไปรับด้วยตัวเอง…”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ไป่ฟูฉางก็เร่งรุดรายงานเรื่องราวออกไปเร็วไว
“เจ้าว่าไงนะ…ไป่ฟูฉางของข้า 2 คนกับสือฟูฉางอีก 7 คนถูกแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินกักตัวไว้ที่เหลา?”
สีหน้าต้วนหลิงเทียนมืดลงทันที
ก่อนหน้านี้ที่หุบเขาเทพสงคราม เหล่าทหารใต้บัญชาเขาได้แสดงความเคารพและมอบความไว้วางใจให้เขา รวมถึงได้ทราบเรื่องที่พวกมันพยายามไปแก้ข่าวให้เขาก่อนหน้า เขาก็รู้สึกชื่นใจอยู่บ้าง
เช่นนั้นเขาจึงมองทหารเหล่านี้เป็นลูกน้องของตัวเอง
แต่ตอนนี้เขากลับได้รับรายงานว่า มีคนกล้ากักตัวลูกน้องของเขาไว้ในเหลาอาหาร และคนผู้นั้นยังเป็นแม่ทัพของกองทัพมังกรเงิน?
จังหวะนี้ในใจต้วนหลิงเทียนย่อมบังเกิดโทสะลุกโชนขึ้นมาดั่งกองไฟ
“นำข้าไปเหลานั่น!”
ต้วนหลิงเทียนสั่งจบคำ ไป่ฟูฉางก็เร่งเหินร่างนำขึ้นไปในอากาศทันที
“เจ้าเรียกว่าอะไร”
ระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวถามไป่ฟูฉางที่นำทาง
“ท่านแม่ทัพข้าเรียกว่า ถงเจิ้ง”
ถึงแม้มันจะถูกต้วนหลิงเทียนซัดจนปลิวละลิ่วไปเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งอาการบาดเจ็บบอบช้ำยังไม่หายดีด้วยซ้ำ แต่ในใจไป่ฟูฉางผู้นี้ก็ไม่ได้ถือโทษอะไรต้วนหลิงเทียน กระทั่งยังปฏิบัติต่อต้วนหลิงเทียนด้วยความเคารพ
เพราะมันรู้อยู่แก่ใจว่าที่ถูกผู้อื่นทุบตีก็เพราะไปหาเรื่องผู้อื่นเขาก่อน เช่นนั้นโดนทุบตีก็นับว่าสมควรแล้ว!
“ไหนเจ้าเล่ามา ว่าพวกเจ้าไปมีเรื่องอะไรกับแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินนั่นกันแน่…เพราะโดยปกติแล้วถึงแม้กองทัพมังกรดำเราจะไม่กินเส้นกับกองทัพมังกรเงินเป็นทุน แต่ตัวตนระดับแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินก็ไม่น่าจะมารังแกทหารชั้นผู้น้อยอย่างพวกเจ้า…แล้วมันจะกักตัวพวกเจ้าไว้ทำอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนถามด้วยสงสัย
“ท่านแม่ทัพ เรื่องนี้คือว่า…”
เมื่อถูกต้วนหลิงเทียนซักถาม ถงเจิ้งก็เร่งกล่าวอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกไปอย่างละเอียด ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้ต้นสายปลายเหตุ..
ที่แท้เรื่องนี้เขากลับมีส่วนด้วย…!
เพราะวันนี้หลังจากที่ได้เห็นแม่ทัพอย่างเขา ฆ่าเจี่ยนชิวผิงที่มาท้าชิงตำแหน่งในหุบเขาเทพสงคราม ไป่ฟูฉาง 3 คนรวมถึงถงเจิ้ง กับสือฟูฉาง 7 คนที่สนิทสนมกัน ด้วยอารมณ์คึกคักอักโขก็ชวนกันไปเหลาอาหารในเมืองเฉวี่ยโยวเพื่อดื่มกินให้หนำใจเป็นการฉลองที่ได้แม่ทัพทรงพลัง
แต่ใครจะไปรู้ว่าในขณะที่พวกมันกำลังคุยกันอย่าสนุกสนานถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหุบเขาเทพสงคราม แม่ทัพของกองทัพมังกรเงินที่บังเอิญนั่งดื่มกินกับลูกน้องอยู่ในเหลาแห่งนั้นด้วยกลับได้ยินเข้า…
จากนั้นจึงเกิดการปะทะคารมกัน ก่อนที่แม่ทัพของกองทัพมังกรเงินนั่นจะกล่าวตัดสินว่าพวกถงเจิ้งนั้นคุยโวโอ้อวด กล่าวเรื่องเหลวไหลหาสาระไม่ได้!
ด้วยเพราะมันเป็นถึงแม่ทัพของกองทัพมังกรเงิน ทำให้วาจามีน้ำหนักมากกว่าพวกถงเจิ้ง ผู้คนในเหลาจึงเชื่อ และเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรเป็นฝ่ายถงเจิ้งกับพวกที่คุยโวโอ้อวดเกินความจริง…
เมื่อถูกผู้คนรุมตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม ถงเจิ้งกับพวกแน่นอนว่าย่อมไม่พอใจ สุดท้ายก็ได้แต่ยืนกรานโต้แย้งออกมาคอเป็นเอ็น…
อนิจจาสุดท้ายเสียงของพวกมันก็ดั่งน้ำน้อยแพ้ไฟ ไม่อาจเถียงเอาชนะผู้ที่มาดื่มกินในเหลาซึ่งมีปากมากกว่าได้…
จังหวะนั้นถึงพวกมันจะบังเกิดความไม่พอใจมากเพียงใด แต่พวกมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินออกจากเหลาอาหารภายใต้สายตาดูถูกของเหล่าผู้ที่มาดื่มกิน…
อย่างไรก็ตาม กลับมีบางคนไม่คิดปล่อยให้พวกมันเดินสะดวก กลับมาแต่โดยดี…
และผู้ที่ไม่ปล่อยให้พวกมันเดินสะดวกและกลับมาแต่โดยดีที่ว่า ก็คือแม่ทัพของกองทัพมังกรเงิน!
“ในบรรดาพวกเจ้า 10 คน ข้าจะให้ไสหัวกลับไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น…และคนที่กลับไปก็รีบไปฟ้องแม่ทัพคนใหม่อะไรนั่นของพวกเจ้าเสีย! บอกให้มันรับทราบว่าข้า หยางกงผิง แม่ทัพของกองทัพมังกรเงินเป็นคนกักตัวลูกน้องของมันเอาไว้”
“ข้า หยางกงผิง อยากเห็นนัก…ว่าแม่ทัพหน้าใหม่ของกองทัพมังกรดำที่มาแทนหวงจี่ปิ่งเป็นคนเช่นไร!”
นี่คือวาจาที่แม่ทัพของกองทัพมังกรเงินกล่าวเอาไว้
ต่อหน้าตัวตนระดับแม่ทัพของกองทัพมักรเงิน ลูกน้องต้วนหลิงเทียนทั้ง 10 ย่อมไม่มีพลังมากพอจะต่อต้านมันได้
เช่นนั้นจึงมี 9 คนที่ถูกอีกฝ่ายกักตัวไว้ในเหลาอาหาร มีเพียงถงเจิ้งที่อีกฝ่ายปล่อยให้กลับมายังค่ายกองทัพมังกรดำเพื่อแจ้งต้วนหลิงเทียน…
เรื่องที่เหลือต้วนหลิงเทียนก็ทราบแล้ว
“แม่ทัพของกองทัพมังกรเงิน หยางกงผิง? ช่างบ้าอำนาจเสียจริง…”
หลังได้ฟังเรื่องราวของไป่ฟูฉางถงเจิ้ง สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายประกายเยียบเย็นวาบหนึ่ง
ตอนนี้แม้สีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนจะแลดูยังเฉยอยู่ หากแต่ถงเจิ้งที่เหินร่างนำอยู่ด้านหน้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสมือนด้านหลังมีไอเย็นขุมหนึ่งกำลังแผ่เข้ามาใกล้
สุดท้ายเมื่อไอเย็นนั่นแผ่มาถึงแผ่นหลัง ร่างมันก็สะท้านขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
‘ท่านแม่ทัพ…โมโหแล้ว’
จังหวะนี้ไม่ยากที่ถงเจิ้งจะสัมผัสได้ถึงโทสะของต้วนหลิงเทียน
“ท่านแม่ทัพ…”
ก่อนที่จะเดินทางถึงเมืองเฉวี่ยวโยว หยางกงผิงคล้ายนึกอะไรขึ้นได้พลันกล่าวเตือนออกมา “แม่ทัพของกองทัพมังกรเงินหยางกงผิงผู้นั้น พลังฝีมือของมันสูงส่งจนติดอันดับ 1 ใน 3 ผู้มีพลังฝีมือสูงสุดในบรรดาแม่ทัพทั้ง 10 ของทัพมังกรเงิน…”
“นอกจากนั้นมันยังมีฐานะพิเศษอีกอย่าง…นอกจากเป็นแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินแล้ว ตัวมันยังเป็นน้องเขยของผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินอีกด้วย…”
“ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ในอดีตท่านแม่ทัพหวงจี่ปิ่งของพวกเราจักมีพลังฝีมือไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามัน แต่ก็ไม่กล้าไปยั่วโมโหอะไรมัน…”
หลังกล่าวบอกเรื่องนี้ ถงเจิ้ง ก็มองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวเตือนออกมาว่า
“เช่นนั้นหากเป็นไปได้…ท่านแม่ทัพเพียงสำแดงพลังสักเล็กน้อย เพื่อให้หยางกงผิงนั่นตกใจกลัว พวกเราค่อยพาคนกลับมาโดยที่ไม่ต้องทำร้ายมัน…เพราะแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินผู้นี้ ยากจะตอแยด้วยจริงๆขอรับ”
กล่าวถึงจุดนี้ พอเห็นว่าสีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงเฉยเมยไม่ยินดียินร้าย ในใจถงเจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องว่าผิดท่า เร่งกล่าวเสริมออกมาว่า “ท่านแม่ทัพขอรับ แน่นอนว่าที่ข้ากล่าวเช่นนี้มิใช่ว่าข้าสงสัยในพลังฝีมือของท่าน…ข้าเพียงแต่มิอยากให้ท่านต้องมามีปัญหากับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้…”
ในหุบเขาเทพสงครามถงเจิ้งได้แลเห็นเรื่องราวกับตา จึงรับทราบพลังฝีมือของแม่ทัพมันได้ในระดับหนึ่ง…
กับหยางกงผิงนั่น อาศัยแค่เศษพลังก็ทุบตีอีกฝ่ายให้ตายตกได้ง่ายๆ…
อย่างไรก็ตามกับผู้บัญชาการของกองทัพมังกรเงินที่เป็นสามีของพี่สาวแท้ๆหยางกงผิงนั่น มันยากจะบอกได้…
“ข้ารู้ว่าควรทำยังไง”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยตอบถงเจิ้งเสียงเรียบ
แต่ต้นจนจบสีหน้าของต้วนหลิงเทียนยังไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย แลดูไม่ยินดียินร้ายอะไร
และไม่นานต้วนหลิงเทียนกับถงเจิ้งก็มาถึงเมืองเฉวี่ยโยว
หลังเข้ามาในเมืองเฉวี่ยโยวแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ในใจคุกรุ่นไปด้วยโทสะพร้อมปะทุ ก็เดินตามถงเจิ้งไปถึงหน้าประตูเหลาอันใหญ่โตแห่งหนึ่งของเมืองเฉวี่ยโยว
แผ่นป้ายเหนือประตูหน้าเหลามีอักษร ‘ไหลเฟิ่งเฉี่ยวโหลว’ สลักเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง
อักษรทั้ง 4 ตัวเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันเข้มแข็ง เห็นชัดว่าเป็นลายมือบุรุษอันทรงพลังคนหนึ่ง
และตอนนี้เบื้องหน้าเหลาไม่ว่าจะบนฟ้าหรือบนดิน ก็มีผู้คนมาออมุงกันหนาตา ต่างชะเง้อมองเข้าไปภายในเหลา ทำราวกับกำลังชมเรื่องราวอันน่าสนุกสนานอะไรอยู่
“มาแล้ว! เจ้านั่นพาคนมาแล้ว!!”
“หืม! ใช่จริงๆด้วย! ไป่ฟูฉางของกองทัพมังกรดำที่กลับไปก่อนหน้าพาคนมาแล้ว!!”
“ชายหนุ่มในชุดสีม่วงข้างๆมันน่ะหรือ…คือแม่ทัพคนใหม่ของกองทัพมังกรดำ?”
…
เมื่อหลายคนสังเกตเห็นถงเจิ้งและจดจำมันได้ ก็ร่ำร้องออกมาเสียงดัง ดึงความสนใจของผู้คนที่ออมุงหน้าเหลาให้หันมามองทันที และในที่สุดคนหน้าเหลาก็แลเห็นถงเจิ้งกับต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินมา
ทั้งหมดพากันมองสำรวจต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาทำราวกับแลเห็นโลกใหม่…
“ท่านแม่ทัพเชิญ”
ด้านหน้าเหลา ถงเจิ้งที่เดินมาถึงประตูก่อนได้หลบออกข้างก่อนจะผายมือเชื้อเชิญต้วนหลิงเทียนด้วยทีท่าสุภาพเคารพ
ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวเข้าไปอย่างใจเย็น และไม่ว่าเขาจะเดินผ่านที่ใด เหล่าผู้คนที่ออมุงก็พร้อมใจกันเปิดทางให้เขาอย่างไร้ลังเลราวทะเลแหวก!
เพราะสุดท้ายแล้วชายหนุ่มในชุดสีม่วงเบื้องหน้าก็คือแม่ทัพ! เชียนฟูฉางที่คุมกำลังพลนับพันคนหนึ่งของกองทัพมังกรดำ! ตัวตนที่พวกมันไม่อาจล่วงเกินได้!!
ถ้งเจิ้งก็เดินตามหลังต้วนหลิงเทียนเข้ามาในเหลาต้อยๆ
“เป็นเจ้า!?”
อย่างไรก็ตามทันทีที่ต้วนหลิงเทียนกับถงเจิ้งก้าวเข้ามาในเหลาอาหาร เสียงอุทานหนึ่งที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคุ้นๆเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน พลันดังขึ้นเข้าหูเขา…