ม่านแสงส่งเสียง กึกๆ อย่างต่อเนื่อง เหมือนกับประตูไม้ที่ไม่ได้บูรณะมาหลายปีแล้ว ทั้งยังเหมือนกับม้านั่งที่รับน้ำหนักไม่ได้อีกแล้ว เหมือนกับพร้อมจะหักได้ตลอดเวลา
วานรดินหมอบอยู่ด้านหลังของเฉินฉางเซิง ใช้ขาหน้าอันผอมเล็กของตนปิดตาเอาไว้ มันหวาดกลัวเสียจนตัวสั่น โลหิตสดไหลออกมาจากหว่างนิ้วอย่างต่อเนื่อง…ต่อมา มันคิดอยากจะมุดดินหนีไป แต่กลับพบว่าโคลนดินใต้พื้นดินถูกแรงกดดันจากบรรพตเยียนจือและความแข็งแกร่งของเจตจำนงกระบี่เต็มท้องฟ้ากดดัน จนกลายเป็นดั่งเหล็กกล้า มันชนกระแทกเสียจนโลหิตไหลท่วมศีรษะ
ในคืนนั้นมีเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและโหดร้าย
พลหมาป่ากว่าร้อยตัวพุ่งตรงมาหาเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงอย่างบ้าคลั่ง
เงาของเทือกเขาที่ทอดยาวหลายร้อยลี้บนทุ่งหญ้าทางตอนใต้นั้นยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างหาใดเทียบได้ และยากจะข้ามผ่านด้วย
บรรพตจิ้งพัวและบรรพตอีชุนตัดทางหนีพวกเขาไปเสียแล้ว
บรรพตเยียนจืออยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ และเปิดการโจมตีอันเหิมเกริมขึ้น
วิชาสองกระบี่ประสานพลังของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง ก็ทำได้เพียงแค่ฝืนต้านทานไว้เท่านั้น
เวลานี้พลหมาป่าพร้อมปะทะสังหารมาถึงแล้ว พวกเขาจะทำเยี่ยงไร
เวลานี้ วานรดินแอบส่งสายตาไปมองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง
แววตาของมันเศร้าสร้อยนัก
มันคิดว่ามันเองคาดเดาได้ว่าเฉินฉางเซิงจะรับมือพลหมาป่าเหล่านั้นอย่างไร
เฉินฉางเซิงคงจะเรียกอสูรปีศาจเหล่านั้นออกมาจากในสวนโจว
พลหมาป่ากว่าร้อยตัวต่อให้น่ากลัวเพียงใด ก็มิอาจเป็นศัตรูของอสูรปีศาจมากมายขนาดนั้นบนที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ท่ามกลางอสูรปีศาจเหล่านั้นยังมีสหายที่แข็งแกร่งทั้งสองของวานรดิน…อสูรกระทิงและยักษ์ล้มภูเขา
มีเพียงสังหารพลหมาป่าเหล่านี้ให้สิ้น ยังมีผู้แข็งแกร่งบรรพกาลจากเผ่ามารทั้งสามท่านด้วย
สุดท้าย อสูรปีศาจในสวนโจวจะมีกี่ตัวที่รอดชีวิตอยู่ได้
เมื่อนึกถึงจุดจบนั้น วานรดินก็รู้สึกไม่สบายใจ
แต่มันถามตัวเองว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเป็นมันเองก็คงตัดสินใจอย่างเดียวกัน
ดังนั้นมันไม่เห็นต่างต่อเฉินฉางเซิง ยิ่งไม่มีความโกรธเคือง มีเพียงความโศกเศร้า
……
……
สวีโหย่วหรงก็ทราบดีว่าในสวนโจวนั้นมีอสูรปีศาจมากมาย ขอเพียงเฉินฉางเซิงเรียกพวกมันออกมาก็จะสามารถขจัดวิกฤตการณ์ที่มาจากพลหมาป่านี้ได้
แต่นางไม่ได้มองไปยังเฉินฉางเซิง…ไม่ว่าจะแอบมอง หรือว่าจ้องไปตรงๆ
เนื่องจากนางไม่ใช่วานรดินผู้แสนเศร้าโศกตัวนั้น เจตนาที่แท้จริงของนางและเฉินฉางเซิงตรงกัน นางทราบดีว่าเฉินฉางเซิงไม่มีทางทำเช่นนี้แน่นอน
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นางทราบดีว่าเฉินฉางเซิงเตรียมทำการใด
นางเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หยุดยืนตรงหน้าเฉินฉางเซิง
ปีกสีขาวแผ่ออกไปด้านหลังนาง เพลิงหงส์สีทองเริ่มแผดเผา และกระบี่จำศีลในมือของนางก็ค่อยๆ เปล่งเส้นแสงออกมามากขึ้น
ภายในระยะเวลาสั้นๆ นางเลือกจะรับกระบี่สั้นมาจากเฉินฉางเซิงและรับแรงกดดันบางส่วนเอาไว้
เฉินฉางเซิงนั่งขัดสมาธิบนพื้น หลับตาทั้งสองลง
สวบๆ เสียงดังแหวกอากาศ ราวกับธนูที่ทะลุเมฆลงมา
กระบี่มากมายพุ่งออกมาจากฝักกระบี่ซ่อนคม แสงกระบี่สาดส่องไปทั่วทั้งที่ราบทุ่งหญ้าในยามค่ำคืน
กระบี่สามพันเล่มกระจายตัวอยู่ทั่วไปหมด เกิดเป็นค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี
เวลานี้ แสงดาวเต็มฟ้าแทบจะดูหมองไปเลย
เมื่อเจตจำนงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวตกลง พลหมาป่าที่อยู่ด้านหน้าสุดก็สลายตัว กลายเป็นก้อนโลหิตหลายสิบกองทันที
ต่อมาหมาป่ายักษ์ตัวหนึ่งก็พลันขาหน้าหักลงทันที ทั้งยังตกลงกระแทกพื้นอย่างแรง
ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีพลหมาป่าเผ่ามารผู้หนึ่งที่มีเขาแหลมและสวมเกราะทั้งร่างถูกเฉือนทิ้ง จนมันสมองไหลออกมา ถูกแสงสาดส่องเสียจนเกิดแสงใสกระจ่าง เหมือนกับทะเลสาบเล็กๆ
เสียงของวัตถุตกกระแทกพื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนาก็เช่นกัน
มันยากจะมองเห็นถึงสีของโลหิตที่ชัดเจน เพราะมันต่างก็สาดกระจายออกมาไม่หยุด
ความเร็วในการบุกของพลหมาป่าเร็วมาก ฉะนั้นพวกมันก็ล้มลงด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ก็มีพลหมาป่าสามสิบว่าตนสังเวยชีวิตภายใต้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี ยังมีพลหมาป่าสิบกว่าตนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป
เกิดเสียงสั่งการที่เร่งด่วนขึ้นในรัตติกาล
เสียงครางต่ำของบรรพตเยียนจือดังขึ้นในระยะสิบลี้
พลหมาป่าไม่ได้บุกต่อ อ้อมเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงไปเสีย ถอยร่นไปในความมืด ถอยไปไกลกว่าร้อยจั้งก่อนจะหยุดลง
เกิดเสียงดัง ควับ แผ่วเบา
เจตจำนงกระบี่บางเบาปรากฏขึ้นอย่างไร้วี่แวว เฉือนตัดลำคอของพลหมาป่าเผ่ามารผู้นั้น
แสงดาวสว่างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ภาพโลหิตสีเขียวที่ไหลออกมาจากหว่างนิ้วที่มีขนดำขึ้นเต็มไปหมดช่างน่าสะอิดสะเอียน
พลหมาป่าโกลาหล ก่อนวิ่งหนีหายไป จนห่างไปไกลหลายลี้ จนมั่นใจว่าอยู่นอกเหนือรัศมีการโจมตีของค่ายกลจึงได้หยุดลง
ในสายตาของพลหมาป่าเผ่ามารมากมายปรากฏแววตาความหวาดกลัวออกมา
เขาเคยพบผู้แข็งแกร่งมาแล้วมากมายแต่ไม่เคยพบวิธีการต่อสู้เช่นนี้มาก่อน
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีถือได้ว่าเป็นวิธีป้องกันตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการต่อสู้เลยทีเดียวและถือเป็นวิธีโจมตีแบบหมู่ที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่ในอดีตต้องใช้ลูกศิษย์สถานศึกษามากมายกว่าร้อยคนถึงจะสามารถทำให้เกิดค่ายกลขึ้นมาได้ ทั้งยังง่ายนักที่จะถูกลอบโจมตีจากผู้แข็งแกร่งเผ่ามาร ความเสี่ยงจากการถูกทำลายค่ายกลก็มากเช่นกัน
ตอนนี้เฉินฉางเซิงเพียงคนเดียวก็สามารถแสดงค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีได้แล้ว เขายืนอยู่ท่ามกลางกระบี่ทั้งมวล จะโจมตีอย่างไรเล่า
หรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือ ไม่มีผู้ใดที่จะเหมาะสมในการสังหารศัตรูบนสนามรบไปกว่าเฉินฉางเซิงแล้ว ต่อให้เขาผู้นั้นจะมีระดับขั้นแข็งแกร่งกว่าเขาก็ตาม
ใต้เท้าสังฆราชแห่งเผ่ามนุษย์ที่ยังหนุ่มน่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ
พลหมาป่ากว่าร้อยตัวส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชออกมา
เพราะหวาดกลัว เพราะโกรธ เพราะไม่ยอมแพ้
เหล่าพลหมาป่าและหมาป่ากระหายเลือดเหล่านั้นใช้วิธีนี้ในการแสดงความปรารถนาจะแก้แค้นของตน
พวกมันหยุดอยู่ไกลออกไปหลายลี้ เตรียมบุกโจมตีตลอดเวลา
ห่างถึงเพียงนี้ ดวงจิตของเฉินฉางเซิงต่อให้แข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจควบคุมกระบี่ให้มาทำร้ายได้แน่
พวกเขาเพียงให้แรงกดดันอีกฝ่ายเข้าไว้ และรอให้บรรพตเยียนจือทำลายการป้องกันของอีกฝ่ายเสีย
หลังจากที่เฉินฉางเซิงสร้างค่ายกลขึ้น สวีโหย่วหรงก็รับมือกับการโจมตีของบรรพตเยียนจือด้วยตนเอง
ต่อให้นางแผดเผาเพลิงหงส์อย่างไม่ลังเลอย่างไร ก็รับมือไม่ได้นานมาก
ค่ายกลกระบี่ของเฉินฉางเซิงต้องป้องกันการโจมตีอีกครั้งของพลหมาป่าเหล่านั้น แล้วนางจะยืนหยัดได้อีกนานแค่ไหน จะทนไปได้ตลอดไปเลยหรือ
หากมองจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายก็ยังคงเป็นเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงคงถูกบรรพตเยียนจือกดไว้เป็นแน่ หลังจากนั้นก็จะถูก พลหมาป่ากัดตายทั้งเป็น
อย่างน้อยในสายตาของพลหมาป่าเผ่ามารพวกนี้ นี่ก็ถึงจุดจบแล้ว
พวกเขามองไปยังทางนั้น พลางคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะสังหารใต้เท้าสังฆราชของเผ่ามนุษย์และเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างไร จากนั้นก็ฉีกอีกฝ่ายเพื่อกลืนกินเสีย ดวงตาของพวกมันดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ และลมหายใจของพวกเขาก็หอบถี่หนักขึ้นเรื่อยๆ
สีหน้าของสวีโหย่วหรงซีดขาว คงทนไม่ไหวแล้วอีกเป็นแน่
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ นางจู่ๆ ก็ทำการเคลื่อนไหวอย่างไม่คาดคิด
แสงสว่างเต็มท้องฟ้าพลันหายไป
นางเก็บกระบี่กลับมา
อย่างนั้นใครจะเป็นคนทานแรงกดดันจากบรรพตเยียนจือกัน
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีที่อยู่ในรัตติกาลจู่ๆ ก็ขยับ มันขยับอย่างพร้อมเพรียงครั้งหนึ่ง
กระบี่ที่ลอยเคว้งเต็มไปหมดนั้นเดิมทีพุ่งเป้าไปยังทุ่งหญ้ารอบทิศ เวลานี้กลับพุ่งเป้าไปยังท้องฟ้า
บนท้องฟ้ายังคงเต็มไปด้วยมวลกระบี่ เพียงแต่ว่ามันก็พุ่งเป้าไปยังท้องฟ้าแล้ว
กระบี่กว่าสามพันเล่ม พุ่งเป้าไปยังเงาดำยักษ์นั้น
แสงดาวและแสงกระบี่สะท้อนซึ่งกันและกัน ทำให้รัตติกาลสว่างขึ้นมากนัก
เงาดำที่ทอดยาวกว่าสิบลี้นั้น ในที่สุดก็ปรากฏโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา