เงาดำนั้นจะเรียกว่าเป็นเทือกเขา หรือจะเรียกได้ว่าเป็นลำแขนของเทพมารเลยก็ว่าได้
ด้านหน้าสุดของเทือกเขา ก็คือท้องฟ้าเหนือศีรษะของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงมีทั้งหมดห้าเทือกเขา มองดูแล้วช่างเหมือนนิ้วมือทั้งห้า
ฝนกระบี่เต็มท้องฟ้าตกลงบนยอดเขานั้น ฝุ่นควันตลบอบอวล เสียงแตกหักดังไม่หยุด
ความเร็วที่ตกลงมาบนเทือกเขานั้นค่อนข้างช้า จนถึงตอนสุดท้ายในที่สุดก็หยุดลง
ระหว่างนั้นทั้งหมด สวีโหย่วหรงไม่ได้มองไปทางความมืดในรัตติกาลเลย ราวกับไม่ได้สนใจ แน่นอน จะเข้าใจว่านางเชื่อมั่นในตัวของเฉินฉางเซิงก็ได้
นางปักกระบี่จำศีลไว้บนพื้นหญ้าข้างกาย
เสียงเบาๆ ดัง ฉึก ควันสีเขียวลอยขึ้นมาพื้นหญ้า มันกลับไม่ไหม้ รูปร่างตรงแน่วกว่าเดิม ดูแล้วมีชีวิตชีวากว่าเดิมอีก
นางปลดธนูที่ทำจากไม้ถงด้านหลังออกมา
ธนูทำจากไม้ถง นี่ก็คือธนูถง หนึ่งในศาสตราร้อยอันดับนั่นเอง
มีเพียงสวีโหย่วหรง เฉินฉางเซิง รวมถึงชิวซานจวิน โก่วหานสือและคนอีกไม่มากเท่านั้นที่รู้ ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของสวีโหย่วหรงไม่ใช่เพลงกระบี่
เฉินฉางเซิงพบกระบี่จำศีลในสวนโจว หลังจากนั้นก็ส่งกลับไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
เพลงกระบี่จรัสแสงคือการบูรณาการหลังจากที่นางได้กระบี่จำศีลมาแล้ว
ธนูถงคือสิ่งที่นางแบกไว้กับตัวแต่เล็ก
ปกติแล้ว ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นธนูนี้นัก
เมื่อนางต้องการใช้เท่านั้นจึงจะปรากฏออกมา
อย่างเช่นในเวลานี้
สวีโหย่วหรงหยิบเอาลูกธนูออกมา พร้อมพาดไว้บนคันธนู
นี่คือลูกธนูอู๋
สีหน้านางสงบนิ่ง พร้อมง้างสายธนู
ท่าทางมั่นคง ไม่ติดขัด มองแล้วรู้สึกราวกับเมฆเคลื่อนสายน้ำไหล ทั้งยังรู้สึกราวกับเกิดภาพซ้อนทับนับสิบสาย ชัดเจนยิ่งนัก
ลูกธนูง้างออก แช่มช้าเหมือนดวงจันทร์ที่ถูกบูชาโดยเผ่ามาร
ขนตานางแทบจะไม่ขยับเลย
ลมพัดโหม
อาภรณ์สีขาวปลิวไหว
ผมดำขลับลอยขึ้น ขนานกับธนู
นิ้วงดงามผละจากลูกธนู
ธนูถงยังเกิดเสียงพิณโดยพลัน
ว่ากันว่าวัสดุไม้ถงเป็นวัสดุชั้นดีในการทำพิณ มิน่าเล่าถึงได้ไพเราะเยี่ยงนี้
เสียงเครื่องสายดังสะท้อนไปมาในทุ่งหญ้า
ลูกธนู มาถึงก่อนเสียง
ไกลออกไปหลายลี้
กลางหน้าผากของพลหมาป่าเผ่ามารคนหนึ่งปรากฏรูขึ้น
รูโลหิตนั้นกลมมาก บริเวณรอบๆ ของรูก็เรียบมาก ผู้พบเห็นต่างแทบอยากใช้คำว่างดงามมาพรรณนาด้วยซ้ำ
ต่อมา สวีโหย่วหรงง้างธนูเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่…
ท่าทางของนางมั่นคงอย่างนั้น ให้ความรู้สึกงดงามอันแสนเรียบง่าย
และภายในระยะเวลาสั้นๆ ซองธนูก็ว่างเปล่า
ลูกธนูอู๋สามดอกพุ่งไปจากธนูถง ถาโถมเข้าไปในรัตติกาล พุ่งตรงไปยังพลหมาป่าที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้
เสียงคำรามต่ำดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บุปผาโลหิตระเบิดออกไม่หยุด
พลหมาป่าเผ่ามารล้มลงอย่างต่อเนื่อง
เสียงตะโกนด้วยความหวาดกลัวดังขึ้นไม่สิ้นสุด
พลหมาป่าหลีกหนีไปรอบทิศทาง
ลูกธนูสามสิบดอกอย่างมากก็นำมาซึ่งความตายสามสิบหน
หากว่ากันตามหลักการแล้ว การกระจายตัวกันออกไปไม่จับกลุ่มเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
สวีโหย่วหรงยกธนูถงขึ้นอีกครา แม้ว่าจะไม่มีลูกธนูแล้วก็ตาม
ครั้งนี้ เวลาที่นางใช้เห็นได้ชัดว่านานกว่าก่อนหน้ามาก
ในที่สุด นางก็ง้างสายธนู
บนธนูอาบไปด้วยโลหิต เมื่อโลหิตปะทะกับลมในรัตติกาล เสียดสีกันก็เกิดการเผาไหม้ เกิดเปลวเพลิงสีทองขึ้น
ลูกธนูที่เจาะกะโหลกของพลหมาป่าเหล่านั้น
ลูกธนูที่ทะลวงผ่านร่างของหมาป่ากระหายเลือดเหล่านั้น
ลูกธนูอู๋ที่นำความตายและสูญสิ้นในรัตติกาลเหล่านั้น…ทันใดนั้นก็กลับมา
ลูกธนูอู๋สามสิบดอกติดไฟตรงส่วนปลาย มุ่งหน้าติดตามพลหมาป่าที่หนีหายไปในทุ่งหญ้าทุกทิศทาง เหมือนวิหคเพลิงที่เผาไหม้ และเหมือนดาวตกที่งดงาม
หลายปีก่อนในสวนโจว ณ หุบเขาอัสดง สวีโหย่วหรงเองก็เคยโดนโจมตีเยี่ยงนี้มาก่อน
หลังจากคืนนั้น ก็เป็นครั้งแรกที่สวีโหย่วหรงใช้วิธีการนี้
พลหมาป่าเหล่านั้นจะหลบได้อย่างไรเล่า
สวบสวบสวบสวบ
บนทุ่งหญ้าเสียงลูกธนูอู๋พุ่งผ่านวัตถุแข็งดังขึ้นต่อเนื่อง
ลูกธนูอู๋ที่มีเปลวเพลิงไฟตรงส่วนปลาย ไล่ตามพลหมาป่าไป ไล่ล่าในรัตติกาล ทุกที่ที่ไปถึง ล้วนคือความตาย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วเสียงเหล่านั้นในที่สุดก็หยุดลง
ทุ่งหญ้าในรัตติกาลกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง
แต่ที่น่าจะพูดให้ถูกต้องก็คือวิเวกวังเวง
ทุ่งหญ้าผืนนั้นได้กลายเป็นสุสานไปแล้ว
ในรัศมีหลายลี้ เต็มไปด้วยศพที่ล้มตาย
ไม่ว่าจะเป็นพลหมาป่าเผ่ามารหรือหมาป่ากระหายเลือดล้วนตายหมด ไม่มีใครรอดเลย
ทุ่งหญ้าสะท้อนแสงดาว รู้สึกชื้นเล็กน้อย
มิใช่เทือกเขาที่ว่างเปล่า เหมือนกับฝนตกใหม่อย่างนั้น
แต่นั่นไม่ใช่ฝน กลับเป็นโลหิต
สวีโหย่วหรงปักธนูถงลงบนพื้นดิน
ธนูถงยาวมาก ตั้งตรงแล้วสูงกว่านางเสียอีก ดูแล้วเหมือนพิณตั้งได้
ที่จริงแล้วมันไม่ใช่พิณ แต่เป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง
ทันใดนั้นเอง กิ่งไม้นับไม่ถ้วนก็แตกหน่อออกมาจากด้านในของธนูถง เกิดกิ่งก้านใบมากมาย ปลิวล้อไปตามสายลม
ลมปราณสดใหม่ โปรยปรายลงบนกายนางและเฉินฉางเซิงราวกับน้ำตก และตกลงบนกายของวานรดินเช่นกัน
วานรดินกำลังแอบมองนาง มันตกใจมาก หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าบาดแผลนั้นดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
กิ่งสีเขียวเติบโตต่อเนื่อง ไม่นานก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่
นี่คือต้นอู๋ถง
ด้านในต้นอู๋ถงนี้มีค่ายกลวังถง
นางชักกระบี่จำศีลออกมา ก่อนเดินไปเคียงข้างเฉินฉางเซิง มองไปยังเทือกเขานั้นในรัตติกาล
“อู๋ถงสามารถต้านได้แปดสิบลมหายใจ คิดสักหน่อยว่ายังมีวิธีอะไรอีก”
ขมับของนางเปียกเล็กน้อย สีหน้าของนางดูเหนื่อยล้า แต่ดวงตาของนางนิ่งสงบ ราวกับว่านางไม่ได้ทำอะไรเลย
……
……
ทุ่งหญ้าอันมืดดำจู่ๆ ก็ปรากฏต้นอู๋ถงที่โดดเดี่ยวขึ้นมา
กิ่งก้านนับพันยืดขยายล้อมรอบกระบี่ บดบังเทือกเขาในรัตติกาลเอาไว้
ธนูถงและลูกธนูอู๋ เมื่อรวมกับแล้วก็คืออู๋ถง ความเฉลียวฉลาดและความสามารถอันยากจะจินตนาการได้ของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ในยุคก่อน นำค่ายกลวังถงบรรจุเอาไว้ในธนู ยิ่งทำให้แสนยานุภาพนั้นทบเท่าทวีคูณ มีเพียงศัสตราวุธเยี่ยงนี้จึงจะสามารถต้านทานการโจมตีของบุคคลในตำนานเยี่ยงบรรพตเยียนจือได้
แน่นอน ต่อให้เป็นต้นอู๋ถงต้นนี้ก็ไม่อาจต้านทานได้ตลอด
เสียงฟ้าร้องนับไม่ถ้วนดังขึ้นจากทุ่งหญ้า
นั่นคือเสียงยอดเขาที่หนักอึ้งกระแทกพื้นดิน คือเสียงของศิลาใต้พิภพและดินโคลนที่บดขยี้กัน
บรรพตเยียนจือมุ่งหน้ามายังพวกเขา
แต่เชื่องช้ามาก และไม่มีช่องโหว่เลย เหมือนกับเทือกเขาทั้งลูกเคลื่อนย้ายมา ช่างทำให้คนรู้สึกกดดันโดยแท้
ในรัตติกาลก็มีเทือกเขาอยู่ลูกหนึ่ง แผ่ลมปราณอันเก่าแก่และแปรปรวน หนักอึ้งไร้ที่เปรียบ ทำให้คนใจสะท้าน
ต้นอู๋ถงส่งเสียงดัง พึ่บพั่บใบไม้สีเขียวกว่าร้อยใบโรยรา เปลือกต้นไม้โค้งงอ เกิดเสียง กรอบแกรบ เหมือนกับจะหักลงได้ทุกเมื่อ
กระบี่กว่าพันเล่มถลาตกลงบนเทือกเขาอย่างต่อเนื่อง มีเศษหินโปรยปราย หลังจากนั้นก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงินกลางอากาศก่อนสลายหายไป
ขนตาของเฉินฉางเซิงกะพริบถี่ เขาก้มมองพื้นดิน ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
สวีโหย่วหรงให้เขาคิดวิธีแก้ปัญหา หากคิดไม่ออก พวกเขาอาจต้องเสี่ยงดูสักที
ลักษณะนิสัยแล้วเฉินฉางเซิงไม่ชอบการเสี่ยงอันตราย แต่ในเวลานี้เขาจ้องไปยังพื้นดิน จะคิดวิธีอะไรได้กันเล่า
คงไม่จ้องพื้นจนบุปผาบานกระมัง
ที่จริงแล้ว เฉินฉางเซิงมองบุปผาอยู่จริงๆ
เซียวจางนอนอยู่บนพื้น สลบไม่ได้สติ
กระดาษสีขาวบนใบหน้าของเขานั้นถูกลมพัดปลิว หยดโลหิตบนนั้นเปลี่ยนไปมาตลอด มองดูแล้วเหมือนกันต้นเหมยเหลืองกลางสายลม
บนกระดาษสีขาวมีรูสองรู ตรงตำแหน่งดวงตา จมูกและปากล้วนใช้พู่กันวาดออกมา
ชื่อเสียงของฮว่าเจี่ยเซียวจางก็จากด้วยเหตุนี้
เซียวจางเหตุใดต้องใช้ กระดาษสีขาวปกปิดใบหน้า นี่คือคำถามที่ทุกคนล้วนสงสัย
บางคนว่าหน้าของเขามีปาน อัปลักษณ์ไม่น่าดูยิ่ง
บางคนว่าเขาเกิดมางดงามนัก เมื่อแตกหนุ่มมักถูกเข้าใจว่าเป็นหญิงสาว ยังมักเจอเรื่องยุ่งยากใจคล้ายๆ กัน ดังนั้นจึงปิดบังใบหน้าไว้เสีย
คำกล่าวที่โด่งดังที่สุด และได้รับการยอมรับที่สุดก็คือ ในปีนั้นเซียวจางเพื่อที่จะเอาชนะหวังผ้อ จึงฝืนบำเพ็ญวิชามาร สุดท้ายธาตุไฟเข้าแทรก ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่แทบจะเสียโฉมเลย ดังนั้นเขาจึงใช้กระดาษสีขาวปกปิดเอาไว้เสีย ว่ากันว่าผู้เฒ่าความลับสวรรค์เคยเอ่ยถามเขาว่าเหตุใดจึงไม่ใช่หน้ากาก หรือไม่ก็หมวกงอบก็ได้ เซียวจางเอ่ยว่าตนใช้กระดาษสีขาวปิดหน้าเพียงเพราะไม่อยากทำให้เด็กตกใจ และก็ไม่ได้อายที่จะพบปะผู้คน เหตุใดต้องใช้หน้ากากเล่า ส่วนหมวกงอบยิ่งทำให้ผู้คนอึดอัดใจมากกว่า
ตามความเข้าใจของเฉินฉางเซิงที่มีต่อเซียวจางแล้ว เรื่องบทสนทนาระหว่างผู้เฒ่าความลับสวรรค์และเซียวจางน่าจะเป็นเรื่องลวงโลก ว่ากันว่าแค่พูดไปอย่างนั้นเท่านั้น อย่างนั้นการเอ่ยเช่นนี้ก็อาจจะเป็นเรื่องจริง ใบหน้าของเซียวจางอาจจะไม่ได้มีบาดแผลอะไรที่น่ากลัวเลย
อย่างนั้นภายใต้กระดาษสีขาวคืออะไรกันแน่
หลายคนล้วนอยากดึงกระดาษสีขาวใบนี้ออกเสีย แต่คนที่กล้าทำอย่างนี้น้อยมาก และคนเหล่านั้นล้วนตายหมดแล้ว
ในตอนนี้เซียวจางสลบไม่ได้สติ อยากเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา อาจจะพูดได้เลยว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้
นี่เรียกได้เลยว่าเป็นอะไรที่ช่างยั่วยวนเหลือเกิน เฉินฉางเซิงเองก็เหมือนว่าจะไม่อาจต้านทานเรื่องน่าดึงดูดนี้ได้ เขายื่นมือออกไปเตรียมจะดึงกระดาษสีขาวนั้นออก
เพียงแต่ในเวลานี้ศัตรูผู้แข็งแกร่งเผ่ามารอยู่เบื้องหน้า แข็งแกร่งดุจภูผา สถานการณ์สุ่มเสี่ยงอันตราย เหตุใดเขาถึงมีอารมณ์มาคิดอย่างนี้เล่า