มือของเฉินฉางเซิงอยู่ใกล้กับกระดาษแผ่นนั้นมาก จนเกือบจะเอื้อมถึงขอบกระดาษแล้ว
ไม่รู้ว่าถูกเหงื่อทำให้เปียกหรือว่ามันมีโลหิตติดอยู่มากเกินไป ขอบกระดาษขาวแทบจะไม่คมเลย มันเหมือนกับขนมอบที่ถูกวางไว้ข้างแม่น้ำตงเจียงอันชื้นแฉะมาแล้วสามวัน
ในวินาทีที่นิ้วเขาเอื้อมจับกระดาษขาวนั้น รูสีดำทั้งสองบนกระดาษขาวนั้นก็พลันสว่างขึ้น
นั่นคือเซียวจางได้ลืมตาขึ้นแล้ว
เขาได้สติแล้ว
แน่นอนว่าอาจะเป็นได้ว่าเมื่อครู่นั้นเขาไม่ได้สลบเลย
ใบหน้าของเฉินฉางเซิงไม่ได้ประหลาดใจเลย น่าจะเป็นเพราะว่าเขาทราบตั้งแต่แรก เขาเอ่ยถาม “พักพอแล้วหรือยัง”
สวีโหย่วหรงไม่ได้หันไปมอง นางมองไปยังยอดเขานั้นที่อยู่ในท้องฟ้า
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีถูกลมปราณที่หนักแน่นดุจขุนเขานั้นกดทับจนใกล้พื้นดินมากขึ้นทุกที
ใบเขียวของต้นอู๋ถงปลิดปลิวจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ลำต้นเกิดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เปลือกผิวของลำต้นแตกออกจนเห็นสีขาว
เซียวจางมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยว่า “ไม่เคยมีผู้ใดกล้าดึงกระดาษใบนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้ไม่มี ตอนนี้ก็ยิ่งไม่มี”
เสียงของเขาเย็นชามาก ไร้เยื่อใย เหมือนกับแววตาของเขา
ก่อนหน้านั้นเขาคือผู้แข็งแกร่งบนประกาศเซียวเหยา ยิ่งรวมกับชื่อเสียงเรื่องนิสัยบ้าคลั่งกระหายเลือดของเขาแล้ว แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าหาเรื่องเขา
หลังจากที่เขาบรรลุระดับขั้นสำเร็จก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาท้าทายเขาอีก
สำหรับคำพูดที่มีน้ำเสียงข่มขู่นี้ เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจเลย ยังเอ่ยต่อ “หากท่านยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีก ข้าคงต้องดึงกระดาษขาวนี้ออกจริงๆ”
เซียวจางเอ่ย “ข้าง่วงนิดหน่อย ให้พวกเจ้าดึงสถานการณ์ไว้หน่อยไม่ได้เชียวรึ ใช้ไม่ได้จริงๆ”
มีเพียงคนเสียสติอย่างเขาเท่านั้น ถึงจะกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ่ยต่อใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์
เฉินฉางเซิงยังคงไม่สนใจ แล้วเอ่ยต่อ “ต่อให้พวกเราสลับกันต้าน ก็ต้องมีช่วงที่ต้านไม่ไหว”
เซียวจางเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ พลันนิ่งไป
เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงกลับตัดสินใจว่าจะไม่ยื้อเวลาต่อไป แต่ตัดสินใจเตรียมตัวลุยสังหาร
พวกเขาเอาความมั่นใจมาจากไหน
“ในเมื่อจะลุยสังหาร แน่นอนว่าก็ต้องลุย”
เฉินฉางเซิงมองไปยังเขา ยกยิ้มก่อนเอ่ย “อาจจะชนะ อาจจแพ้ ผู้ใดจะรู้กัน”
รอยยิ้มของเขาเป็นเหมือนเด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และอ่อนโยน
แต่เซียวจางกลับคิดว่าน่ากลัวนัก
เรื่องใหญ่อย่างนี้ จะให้มาสู้กันเล่นๆ ได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นวังถงหรือว่าค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีล้วนต้านทานบรรพตเยียนจือได้ชั่วขณะเท่านั้น
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถึงอย่างไรก็เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์คนใหม่
ในสถานการณ์อย่างนี้ เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง กลับตัดสินใจว่าจะไม่รอต่อไป พวกเขาจะบุกลุยบรรพตเยียนจือไปตรงๆ!
หรือพวกเขาไม่เข้าใจอีกว่า บรรพตเยียนจือเป็นถึงผู้แข็งแกร่งเก่าแก่ของเผ่ามาร ต้องแข็งแกร่งกว่าขุนพลมารมากอยู่แล้ว แม้แต่ระดับขั้นอาจจะไม่ด้อยกว่าราชามารด้วยซ้ำ หรือพวกเขายังไม่เข้าใจอีกว่า ใต้เท้าสังฆราชแห่งเผ่ามนุษย์และเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเขาที่เพิ่งบรรลุระดับขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ใหม่ๆ หากในวันนี้ตายทั้งหมด หน้าประวัติศาสตร์อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ทั้งๆ ที่รอได้อีกสักหน่อยด้วยซ้ำ เหตุใดต้องลุยด้วย เหตุใดในเวลาเช่นนี้ เฉินฉางเซิงยังยิ้มได้อีก ทั้งยังยิ้มออกมาอย่างบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น สวีโหย่วหรงยังมีแก่ใจยืนไพล่สองแขนชมดาว
ทั้งใต้กล้าต่างกล่าวว่าเซียวจางนั้นคือคนเสียสติ แต่เขากลับพบว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง บ้าคลั่งเสียสติกว่าตนมาก
คำตอบของคำถามเหล่านี้คืออะไร
ทันใดนั้นเขาก็นึกออก
นั่นคือความกล้าหาญและฮึกเหิม
ความกล้าหาญและฮึกเหิมของคนหนุ่มสาว
เขาแก่กว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงหลายสิบปี แต่สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว ถือว่ายังเยาว์นัก
แววตาของเขาพลันเปลี่ยนเป็นคมกริบ เหมือนทวนเหล็กที่อาบน้ำสารทฤดูมาแล้ว เยือกเย็นยิ่งนัก
“อีกนานเท่าใด”
เขาเดินไปข้างกายสวีโหย่วหรงก่อนเอ่ยถาม
สวีโหย่วหรงตอบ “สี่สิบเจ็ดลมหายใจ”
เสียงแหบพร่าของเซียวจางลอดทะลุกระดาษขาวออกมาอีกครั้ง
“ข้าจะไปทะลวงแนวภูเขาของเขาเสีย”
เขาถือทวนเหล็กและเดินไปทางเหนือของรัตติกาล
เขาไม่ได้มองเทือกเขาเงานั้นที่อยู่ในรัตติกาลเหนือศีรษะด้วยซ้ำ
เทือกเขาที่แท้จริงอยู่หลายลี้ด้านนอก คือที่ที่เขาเตรียมจะเดินทางไป
หลายวันก่อน เขารับรู้ได้ถึงสัญญาณของการบรรลุระดับขั้น จึงไม่ลังเลสักนิดที่จะจบชีวิตการลอบสังหารบนทุ่งหิมะนี้ ตามการนัดหมายเส้นทางในปีนั้นคือมุ่งไปทางใต้ เห็นว่าตรงหน้าต้องผ่านทุ่งหญ้าจึงจะพบกับแผ่นดินเผ่ามนุษย์ แต่กลับเห็นเทือกเขาทั้งสามที่นูนขึ้นมาบนพื้นที่รกร้างเสียก่อน
บรรพตเยียนจือ บรรพตจิ้งพัว บรรพตอีชุน
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งโบราณที่น่ากลัวอย่างนี้ เขาแทบจะหนีไปไหนไม่ได้ ตามหลักการแล้วต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้ใดจะคิดเล่าว่าแรงกดดันที่ไม่เคยเจอมาก่อนนี้ จะให้เขาข้ามธรณีประตูนั้นไป และบรรลุระดับขั้นได้ก่อนเวลาที่กำหนด กว่าจะหนีมาได้ก็อันตรายยิ่ง เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น
เมื่อเขาโดยสารว่าวข้ามผ่านเทือกเขา มองเห็นเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง จิตใจเขาก็ผ่อนคลายลง บาดแผลและความเหนื่อยล้าทางจิตใจระเบิดขึ้นพร้อมกัน จึงสลบไปทันที
พักไปครู่ใหญ่ บาดแผลยังไม่สมาน แต่ได้สติกลับมามากแล้ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือการปรากฏตัวของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
นักปราชญ์ทั้งสองท่านผู้มีสถานะสูงสุดของเผ่ามนุษย์มารับเขากลับไปพร้อมกัน
นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจยิ่งนัก ต่อให้เป็คนที่เย่อหยิ่งอย่างเขาก็ยังคิดอย่างนี้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงยินดีที่จะสู้อีกครั้ง
แต่เขาบอกว่าข้าจะไปทะลวงแนวภูเขาของเขา ไม่ได้เอ่ยว่าข้าทะลวงแนวภูเขาของเขาแล้ว
เขาไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถทำลายการป้องกันของบรรพตเยียนจือได้ ไม่มั่นใจแม้แต่ว่าจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้
ลมพัดแรง กระดาษสีขาวส่งเสียงกรอบแกรบ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าใดนัก
แต่เงาร่างของเขาไม่ได้หดหู่มากนัก
เพราะทวนเหล็กตรงแน่ว พู่สีแดงสยายปลิว
เพราะจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขาท่วมท้นนัก
……
……
สวีโหย่วหรงถอนสายตากลับมา มองไปยังรัตติกาลที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ก่อนเอ่ย “โอกาสมีเพียงครั้งเดียว”
เฉินฉางเซิงเข้าใจเจตนาของนาง
บาดแผลฉกรรจ์ของเซียวจางสามารถรับการโจมตีรุนแรงได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ต่อให้อีกหน่อยเขายังมีแรงเหลือรบ ก็ไม่อาจแข็งแกร่งกว่าครั้งนี้แน่
หรืออาจกล่าวได้ว่า หากพวกเขาต้องการตีแตกตรงๆ ทำลายบรรพตเยียนจือ ก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว
ลมรัตติกาลกระทบหน้า หนาวเล็กน้อย ไม่ถึงกับบาดหน้าเหมือนดาบสั้น กลับคล้ายน้ำในลำธารเมืองซีหนิงในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิมากกว่า
มือซ้ายของเฉินฉางเซิงกำหมัดแน่น แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แปรเป็นไข่มุกศิลาตกจากแขนเสื้อ มาอยู่ในอุ้งมือเขาแล้ว
เมื่อรับรู้ได้ถึงน้ำหนักของไข่มุกศิลาในมือ อารมณ์ของเขาก็หนักอึ้ง สูดหายใจยาวหนึ่งที ก่อนจะสงบลงได้
……
……