ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 86-2 ทวนที่เย่อหยิ่งและลูกธนูที่ใจสลาย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

​ใต้​รัตติกาล​นี้​ ​บรรพต​เยียน​จือ​เหมือน​เทือกเขา​จริงๆ

​ไม่ใช่​เทือกเขา​ที่​ดู​ไกล​ออก​ไป​ ​แต่​เป็น​เทือกเขา​ศิลา​ที่แท้​จริง​มากกว่า

​เทือกเขา​ศิลา​นี้​ไม่ได้​สูง​เป็นพิเศษ​ ​แต่​ดูเหมือนว่า​จะ​เชื่อมต่อ​กับ​ศิลา​ที่อยู่​ลึก​ลง​ไป​ใต้​พื้นดิน​ ​ทำให้​ผู้คน​รู้สึก​ว่ายาก​จะ​ทำให้​สั่น​ไหว​ได้

​เซียว​จาง​เดิน​ไป​ด้านหน้า​ ​ก่อน​หยุด​ลง

​แสงดาว​ทอด​ลง​บน​ใบหน้า​เขา​ ​กระดาษสี​ขาว​สะท้อน​ออกมา​ ​ดูแล​้ว​ยิ่ง​ขาว​กว่า​เดิม​ ​เหมือน​แสงดาว​หลัง​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า

​เรื่อง​อัศจรรย์​มากมาย​เกิดขึ้น​แล้ว​ ​พู่​แดง​ที่​ห้อย​กับ​ทวน​เหล็ก​เริงระบำ​ ​ดึงดูด​เอา​แสงดาว​นั้น​ไป​เสีย

​แสงดาว​ราวกับ​มีอยู่​จริง​ ​เป็น​เส้นสาย

​โลก​นี้​สัมพันธ์กัน

​หาก​ความว่างเปล่า​กลายเป็น​ความจริง​ ​อย่างนั้น​วัตถุ​จริง​เล่า

​ใน​แสงดาว​ ​เงา​ของ​เซียว​จาง​ประเดี๋ยว​ปรากฏ​ประเดี๋ยว​ดับ​ไป​ ​ราวกับ​พร้อม​จะ​ดับสูญ​ได้​ตลอดเวลา

​หาก​มอง​ด้วย​ตาเปล่า​ ​ไม่​สามารถ​ระบุ​ที่อยู่​ของ​เขา​ได้​เลย

​นี่​คือ​ปรากฏการณ์​หลังจาก​ข่าม​ผ่าน​หลักการ​ของ​ฟ้า​ดิน

​คืนนี้​เขา​เพิ่งจะ​บรรลุ​ระดับ​ขั้น​ศักดิ์สิทธิ์​ ​ยัง​เข้าใจ​ใน​กฎเกณฑ์​ฟ้า​ดิน​ไม่​มาก​พอ​ ​ใช้​คำ​ว่า​เชี่ยวชาญ​ไม่ได้​เลย​ ​แต่​ตอนนี้​เห็นได้ชัด​ว่า​พัฒนา​ไปมาก

​นี่​ก็​คือ​ความสามารถ​ของ​ผู้​แข็งแกร่ง​ใน​อาณาเขต​เทพศักดิ์​สิทธิ์​ ​ไม่ว่า​จะ​เป็นการ​ต่อสู้​หรือว่า​การ​หลับ​ลึก​ ​ล้วน​สามารถ​ทำให้​พวกเขา​และ​โลก​ใบ​นี้​เข้าใจ​กันและกัน​มากขึ้น

​บน​ยอด​สูง​ของ​เทือกเขา​ศิลา​สีดำ​ทะมึน​มี​เปลวเพลิง​สอง​กลุ่ม​ ​เย็นยะเยือก​ถึง​ขีดสุด

​เสียงทุ้ม​ต่ำ​และ​เฉยชา​ดัง​ขึ้น​จาก​ด้านใน​เทือกเขา​ศิลา

​“​หลาย​ร้อย​ปี​มานี​้​ ​หาก​จะ​ถาม​ว่า​เจตนา​การ​รบ​ผู้ใด​แข็งแกร่ง​ ​เจ้า​อยู่​ใน​สาม​อันดับ​แรก​ได้​”

​บรรพต​เยียน​จือ​ราวกับ​ทราบ​ดี​ว่า​เซียว​จาง​ยัง​มี​ความสามารถ​ใน​การ​รบ​ ​แต่​เขา​ไม่สน​ใจ

​ต่อให้​มี​เฉิน​ฉาง​เซิง​และ​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​เขา​ก็​ไม่สน​ใจ

​เขา​แสดงออก​อย่าง​นิ่งเฉย​ ​ยัง​มี​อารมณ์​มาป​ระ​เมิน​อีก​ฝ่าย​อีก

​ตาม​ความคิด​เขา​ ​การประเมิน​นี้​สามารถ​บอก​ได้​เลย​ว่า​เป็นการ​ชมเชย​อัน​สูงส่ง

​เซียว​จาง​กลับ​ไม่​รับ​น้ำใจ​นี้​ ​เขา​เอ่ย​ ​“​ปีศาจ​ตัว​ประหลาด​อย่าง​เจ้า​ ​พูดมาก​เสีย​จริง​”

​เผ่า​มาร​แต่ไหนแต่ไร​ก็​เรียก​ขนาน​ตนเอง​ว่า​เผ่า​เทพ​ ​แต่​ถูก​เรียกว่า​มาร​ ​แต่​ก็​ไม่ได้​โกรธเคือง​ ​ใน​ส่วน​ที่​เรียกว่า​เทพ​มาร​ ​ก็​คือ​หลักการ​เดียวกัน​ ​แต่​พวกเขา​ไม่​ชื่นชอบ​ใน​การถูก​เรียกว่า​ปีศาจ​ตัว​ประหลาด​ ​อาจ​เป็น​เพราะ​มัน​ง่าย​ที่จะ​เชื่อมโยง​ไป​ถึง​เผ่า​ปีศาจ​ ​และ​ใน​หน้า​ประวัติศาสตร์​อัน​ยาวนาน​ของ​แม่น้ำ​สายยาว​ ​เวลา​ส่วนใหญ่​ ​เผ่า​ปีศาจ​ล้วน​อยู่​ใน​บทบาท​ข้า​รับใช้​เผ่า​มาร

​แววตา​ของ​บรรพต​เยียน​จือ​กลับ​เยือกเย็น​กว่า​เดิม

​เซียว​จาง​เอ่ย​อย่าง​เยือกเย็น​ว่า​ ​“​ทำไม​รึ​ ​ทั้ง​ร่าง​ล้วน​เป็น​ก้อนหิน​ ​แน่นอน​ว่า​ต้อง​เป็น​ปีศาจ​ตัว​ประหลาด​ ​หรือ​เจ้า​ว่า​ไม่ใช่​”

​บรรพต​เยียน​จือ​เอ่ย​ ​“​ข้า​เป็น​คน​บรรพต​”

​เซียว​จาง​เอ่ย​ ​“​ฮ่า​ๆ​ ​คน​บรรพต​อะไร​กัน​ ​ก็​แค่​ปีศาจ​โบราณ​สีดำ​ทะมึน​หรอก​!​”

​เสียงหัวเราะ​แหบ​ๆ​ ​สะท้อน​กลับ​ไปมา​ใน​ทุ่งหญ้า

​เสียงหัวเราะ​พลัน​หยุด​ลง

​เซียว​จาง​แทง​ทวน​ออก​ไป​ครา​หนึ่ง

​แสงดาว​ทอด​ตกลง​บน​ทุ่งหญ้า​ ​เหมือนกับ​น้ำ​ใน​ลำธาร​อัน​บริสุทธิ์

​หลังจากที่​ทวน​เหล็ก​พุ่ง​ออก​ไป​ ​แสงดาว​นั้น​กลับ​เริ่ม​ขยับ​ ​กลายเป็น​ผ้า​ผืน​หนึ่ง

​ทวน​เหล็ก​นั้น​ตกลง​ระหว่าง​เทือกเขา​ ​แสงดาว​ตกลง​ตามมา​ ​หลังจากนั้น​ก็​กระจาย​ไป​ ​แตก​ละเอียด​เป็น​เศษ​สีเงิน​นับไม่ถ้วน

​ภาพ​นั้น​งาม​นัก​ ​มองดู​แล้ว​เหมือน​ดอกไม้ไฟ​ ​ทั้ง​ยัง​เหมือน​กลีบดอกไม้​จริงๆ​ ​ที่​ผลิบาน

​…​…

​…​…

​ใน​รัตติกาล​ที่อยู่​ห่าง​ออก​ไป​หลาย​ลี้​จู่ๆ​ ​ดอกไม้​สีเงิน​พลัน​เบ่งบาน

​เฉิน​ฉาง​เซิง​และ​สวี​โหย​่ว​หรง​ทราบ​ดี​ ​นั้น​คือ​การก​ระ​ทบ​กัน​ระหว่าง​ทวน​เหล็ก​และ​หน้าผา

​ต่อมา​ ​ทุ่งหญ้า​ตรงนั้น​ก็​เกิด​มังกร​สีเหลือง​ขึ้น​ตัว​หนึ่ง​ ​เสียง​กรีดร้อง​ดัง​ตามมา​ ​ใน​นั้น​ราวกับ​มี​เสี้ยว​สีแดง​เกิดขึ้น​เป็นพักๆ

​ลมปราณ​แข็งแกร่ง​สอง​สาย​ ​นำ​กรวดทราย​ใน​ระยะ​หลาย​ลี้​ปลิว​ว่อน​ ​แสงดาว​พลัน​มืด​ลง​ ​ยาก​จะ​มองเห็น​สิ่ง​ต่างๆ​ ​ได้

​ระดับ​ขั้น​ของ​บรรพต​เยียน​จือ​ช่าง​ลึกล้ำ​ไม่​อาจ​คาดเดา​ ​ขณะที่​ต้อง​เผชิญหน้า​กับ​ทวน​เหล็ก​อัน​น่า​สะพรึง​ไป​พร้อม​ๆ​ ​กัน​นั้น​ ​กลับ​ไม่ลืม​หันมา​กดดัน​ฝั่ง​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​และ​สวี​โหย​่ว​หร​งด​้วย

​แนว​เทือกเขา​ใน​รัตติกาล​นั้น​กด​ทับ​ลง​อย่างรุนแรง​ ​เทือกเขา​ทั้ง​ห้า​ลูก​เหมือน​นิ้ว​ทั้ง​ห้า​ที่​ตะปบ​ลง​ไป​บน​ค่าย​กล​กระบี่​สถานศึกษา​หนาน​ซี

​เสียง​เสียดสี​แสบ​แก้วหู​ดัง​ขึ้น​ต่อเนื่อง

​ผา​หิน​มากมาย​ถูก​กระบี่​กรีด​เฉือน​ ​ทยอย​ถล่ม​ลง​ ​และ​กระจาย​กลายเป็น​แสงสี​เขียว​หาย​ไป​ใน​อากาศ

​ฝ่ามือ​ที่​เหมือน​ยอดเขา​นั้น​ห่าง​พื้นดิน​ไม่​มาก​แล้ว

​ต้น​อู๋ถง​โค้ง​งอ​อย่าง​ถึงที่สุด​ ​พร้อม​จะ​หัก​ได้​ตลอดเวลา​ ​ใบไม้​สีเขียว​ระหว่าง​กิ่ง​ร่วง​ไป​เกือบ​หมด​แล้ว

​สวี​โหย​่ว​หรง​ได้​เตรียมการ​ไว้​ล่วงหน้า​แล้ว​ ​นาง​สงบนิ่ง​เยี่ยง​ทุก​ครา​ ​ก่อน​เอ่ย​เสียง​เบา​ ​“​ไป​”

​แสงสาย​หนึ่ง​กะพริบ​พาด​ผ่าน​ ​วานร​ดิน​หายตัว​ไป​จาก​ที่นั่น

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ส่ง​มัน​กลับ​เข้าไป​ใน​สวน​โจว​ ​หลังจากนั้น​ก็​กุมมือ​นาง

​ปีก​สีขาว​บริสุทธิ์​คู่​หนึ่ง​สยาย​ใน​รัตติกาล​ ​เปลวเพลิง​สีทอง​ลุกไหม้​แผดเผา

​ลำแสง​สาดส่อง​ทุ่งหญ้า​ ​เพลิง​หงส์​สอง​สาย​ทอด​ผ่าน​รัตติกาล

​ธุลี​ทราย​และ​เศษ​หญ้า​รวมกัน​เป็น​พายุ​ ​เกิด​โพรง​ขึ้นสาย​หนึ่ง

​สวี​โหย​่ว​หรง​และ​เฉิน​ฉาง​เซิง​มาถึง​ยัง​เบื้องหน้า​ของ​บรรพต​เยียน​จือ

​กระบี่​สอง​สายสว่าง​ขึ้น​ ​งดงาม​ยิ่งนัก​ ​หลังจากนั้น​ก็​รวมกัน​ ​กลายเป็น​กระบี่​สายรุ้ง​อัน​ดึงดูดสายตา​สาย​หนึ่ง

​ทวน​เหล็ก​ปรากฏ​อีกครั้ง​ ​เร่งรุด​เข้าหา​เทือกเขา​ศิลา​อย่าง​เหิมเกริม​พร้อมกับ​กระบี่​สายรุ้ง​ ​ดอกไม้​อัน​โดดเด่น​สะดุดตา​พลัน​ปรากฏ​ใน​ท้องฟ้า​ยามค่ำคืน

​เสียงดัง​สนั่น​ ​แผ่นดิน​สะเทือน​ไม่​หยุด

​เศษ​ศิลา​ปลิว​ว่อน​ ​ราวกับ​ลูกธนู​ที่​ฉีก​ทึ้ง​รัตติกาล​ ​ใน​ระยะ​สิบ​ลี้​นี้​ไม่รู้​ว่า​มีสัตว​์​ประหลาด​มากมาย​เท่าใด​ถูก​ขยี้​จน​วอดวาย

​ฝุ่น​ควัน​ค่อยๆ​ ​จาง​ไป​ ​เงา​ร่าง​ของ​บรรพต​เยียน​จือ​ค่อยๆ​ ​ปรากฏ​ออกมา

​ตรงกลาง​ของ​ภูเขา​ปรากฏ​ร่องรอย​กระบี่​ลึก​มาก​สอง​รอย​ ​เมื่อม​อง​ด้วย​สายตา​ ​เกรง​ว่า​จะ​ลึก​ถึง​นับ​ฉื่อ

​ร่องรอย​กระบี่​ที่​พาด​ผ่าน​ทั้งสอง​นั้น​ ​ดูเหมือน​กลุ่ม​ดาว​ไขว้​ทักษิณ​ที่​เหล่าราช​นิกุล​ของ​เผ่า​มาร​ใน​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า​คุ้นเคย​ที่สุด​

​ที่​ที่​ร่องรอย​กระบี่​ปะทะ​กัน​ลึก​กว่า​ที่อื่น​ๆ​ ​รูปร่าง​กลม​นัก​ ​ขอบ​เกลี้ยงเกลา​ ​เหมือน​ถูก​เจาะ​รู​โดย​ช่าง​ชำนาญ​การ​ ​ดูแล​้ว​มืดครึ้ม​ยิ่งนัก

นั​่​เป็น​ร่องรอย​ที่​ทวน​เหล็ก​เหลือ​ทิ้ง​ไว้

​หาก​เปรียบ​เทือกเขา​ศิลา​นี้​เป็น​คน​ ​ตำแหน่ง​ของ​รอย​กระบี่​และ​รู​ทวน​เหล็ก​ก็​คือ​ทรวงอก​ของ​คน​ ​เอียง​ซ้าย​เล็กน้อย​ ​ก็​เป็น​จุด​แดน​ลี้ลับ​แล้ว

​ทวน​อัน​เหิมเกริม​ ​วิชา​สอง​กระบี่​ประสาน​พลัง​ ​ในที่สุด​ก็​ทำลาย​เกราะ​ป้องกัน​ของ​บรรพต​เยียน​จือ​ได้​แล้ว

​ตำแหน่ง​นั้น​ก็​คือ​ช่องโหว่​เดียว​ของ​บรรพต​เยียน​จือ

​นี่​ก็​คือ​ที่​ที่​สวี​โหย​่ว​หร​งคำ​นวณ​แล้ว

​คำถาม​ก็​คือ​ ​รูนั​้​นมัน​ทอด​ทะลุ​ผ่าน​เทือกเขา​นี้​หรือไม่

​…​…

​…​…

​มี​รอยแตก​อยู่​ทั่วไป​บน​พื้นผิว​ของ​ทุ่งหญ้า​ ​ดิน​สีดำ​ปะปน​กับ​เศษ​หญ้า​ ​ไม่​สามารถ​แยก​ออกจาก​กันได​้

​เซียว​จาง​นอน​อยู่​บน​พื้น​ ​กระดาษสี​ขาว​บน​ใบหน้า​ของ​เขา​ชุ่ม​ไป​ด้วย​โลหิต​ ​เขา​จดจ้อง​ไป​ยัง​บรรพต​เยียน​จือ​ซึ่ง​อยู่​ห่าง​ออก​ไป​หลาย​สิบ​จั้ง

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ได้รับบาดเจ็บ​สาหัส​เช่นกัน​ ​เขา​นั่งขัดสมาธิ​บน​พื้น​ ​ใบหน้า​ซีด​ขาว​และ​ไอ​ตลอดเวลา

​รู​บน​กระดาษ​มืด​มาก​ ​ดวงตา​ของ​เซียว​จาง​มืด​ขรึม​ลง​ ​เสียง​ของ​เขา​แหบแห้ง​ ​ราวกับ​นาฬิกา​ที่​แตก

​“​มารดา​มัน​เถอะ​ ​อย่างนี้​ยัง​ไม่ได้​หรือ​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ลอบ​ถอนหายใจ

​พวกเขา​ทะลวง​แนว​ภูเขา​ ​กลับ​ไม่มีทาง​ทลาย​เทือกเขา​ให้​ราบ​ได้

​สวี​โหย​่ว​หรง​ยืน​ขึ้น​ ​นาง​ง้าง​สายธนู​อีกครั้ง

​สีหน้า​ของ​นาง​ซีด​นัก​ ​เมื่อ​นาง​ง้าง​สายธนู​ ​หน้าซีด​ขาว​ยิ่งกว่า​เดิม​ ​มองดู​แล้ว​ราวกับ​หิมะ​สีขาว​ก็​มิ​ปาน

​ผม​สีดำ​พาด​ผ่าน​แก้ม​ของ​นาง​ ​สี​ที่​ตัดกัน​นั้น​ดู​เด่น​นัก​ ​ช่าง​น่า​สะเทือนใจ​เขย่า​วิญญาณ​เหลือเกิน

​นาง​กระอัก​โลหิต​ออกมา​จาก​ริมฝีปาก​คำ​หนึ่ง

​อาภรณ์​สีขาว​เต็มไปด้วย​โลหิต​ ​ราวกับ​บุปผา​ที่​แตกสลาย

​ลมปราณ​ที่นาง​แผ่​กำจาย​ออกมา​แข็งแกร่ง​กว่า​เดิม

​ธนู​ขยับ​ไร้​เสียง

​ลูกศร​น้อย​แสน​ละเอียดอ่อน​ดอก​หนึ่ง​ ​ทะลวง​รัตติกาล​ ​และ​ร่อน​ลง​บน​เทือกเขา​อย่างไร​้​เสียง

​ไม่​เอน​ไม่​เอียง​ ​ไม่​ห่าง​แม้แต่น้อย​ ​ตรง​เข้า​รูนั​้​นพ​อดี

​เสียงดัง ​ปุ ​เบา​ๆ​ ​ราวกับ​บางสิ่ง​แตก​ลง

​เซียว​จาง​และ​เฉิน​ฉาง​เซิง​รับรู้​ได้​ว่า​ใน​อก​ตน​เกิด​ความเจ็บปวด​อย่าง​ถึงที่สุด​ขึ้น

​เนื่องจาก​พวกเขา​ได้ยิน​เสียง​นั้น

​นั่น​คือ​เสียง​หัวใจ​สลาย

​สวี​โหย​่ว​หรง​หน้าซีด​ขาว​ราว​กระดาษ​ ​นาง​โอนเอน​ไปมา​ก่อน​ล้ม​ลง​ ​มุม​ปาก​กระอัก​โลหิต​ออกมา

​ต่อให้​เป็น​นาง​เอง​ ​ก็​ถูก​ธนู​เล็ก​แสน​งดงาม​นั้น​ทำร้าย​เช่นกัน

​การ​บาดเจ็บ​ที่​บรรพต​เยียน​จือ​ได้รับ​แน่นอน​ว่า​ต้อง​มาก​ที่สุด

​เสียงคำราม​ด้วย​ความเจ็บปวด​อย่างที่​สุด​ดัง​ขึ้น​จาก​ด้านใน​ของ​หน้าผา

​…​…

​…​…