เทือกเขาศิลาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หินผาจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่น กระแทกพื้นดิน ทำให้ฝุ่นตลบ ปกปิดร่างของบรรพตเยียนจือ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ฝุ่นควันค่อยๆ จางลง เทือกเขาศิลานั้นเล็กลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าใต้รัตติกาล ไม่พังทลาย
เทือกเขาก็ยังคงเป็นเทือกเขา
มองดูภาพเบื้องหน้า สีหน้าของสวีโหย่วหรงในที่สุดก็ปรากฏความรู้สึกผิดหวังออกมา
“ฝีมือของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ช่างยอดเยี่ยมนัก”
เสียงของบรรพตเยียนจือแหบต่ำ แต่เมื่อพิศฟังให้ละเอียดอาจได้ยินเสียงสั่นไหวและความเกรี้ยวกราดในนั้น
เซียวจางใช้ทวนเหล็กค้ำร่างกายของตนที่อ่อนแรงให้ยืนขึ้น
กระดาษสีขาวดัง พึ่บพั่บ โต้ลมไม่หยุด รูสีดำนั้นมืดครึ้มอย่างที่สุด
“อีกรอบ”
เขาใช้เสียงแหบพร่าเอ่ย ไม่ได้สนใจสถานการณ์ตรงหน้าเลย
เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยคำใด
หลายลี้ด้านนอก มรสุมกระบี่เตรียมกลับมา
สวีโหย่วหรงไม่ได้เอ่ยคำใด นางหยิบเอาถาดดาวโชคชะตาออกมาจากในแขนเสื้อ
แสงดาวตกลงบนถาดดาวโชคชะตา มันเปล่งแสงที่แตกต่างกันออกไปพร้อมกับเส้นทางดวงดาวที่หมุนไปราวกับน้ำไหล งดงามยิ่งนัก
ในส่วนของจุดจบในวันนี้ นางคาดการไว้หลายอย่างมาก ผลลัพธ์ล้วนไม่ดีอย่างมาก ธนูเล็กแสนงดงามนั้นก็ไปไม่ถึงเป้าหมาย นี่ทำให้นางผิดหวัง แต่ในเมื่อการต่อสู้ยังไม่จบลง ก็ต้องดำเนินต่อ ถาดดาวโชคชะตาหากไม่อาจคิดผลที่ดีได้ อย่างนั้นก็ใช้มันมาทำเป็นอาวุธในการต่อสู้ไม่ดีหรือ นี่ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไปหรือไม่
ทวนเหล็กอาศัยพลังของฟ้าดินโจมตีไปยังเทือกเขาศิลานั้นอีกครั้ง
แสงกระบี่สองสายพบกันอีกครั้ง ใช้ท่วงท่าอันเด็ดเดี่ยวเผาโลกาสะบั้นฟ้าดิน
ลมแรงพัดกรู หมอกควันถาโถมอีกครั้ง
พายุทรายขวางกั้น สวีโหย่วหรงจดจ้องไปยังรูสีดำนั้น นิ้วมือนางกรีดกรายบนถาดดาวโชคชะตาไม่หยุด
บรรพตเยียนจือได้รับบาดเจ็บไม่เบา ตอนนี้ยิ่งรับรู้ได้ถึงอันตรายแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นทวกเหล็กของเซียวจางหรือว่าถาดดาวโชะตาของสวีโหย่วหรง
ที่ทำให้เขาระแวดระวังที่สุด ก็คือลมปราณแผดเผาโลกาที่หลั่งไหลออกมาจากสองกระบี่ของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง
นี่ทำให้บรรพตเยียนจือคิดเชื่อมโยงไปถึงชายผู้น่ากลัวอย่างถึงที่สุดของเผ่ามนุษย์ผู้นั้นเมื่อหลายปีก่อน
ความระแวดระวังและอันตราย ยังมีความทรงจำที่ไม่อยากย้อนคิด ทำให้บรรพตเยียนจืดโกรธจริงๆ แล้ว
เมฆรัตติกาลแตกกระจายไปหลังจากเสียงคำราม ก่อนกระจายไปรอบทิศทาง
แนวเทือกเขารวมตัว พื้นทุ่งหญ้าขึ้นลงแปรปรวน คลื่นลูกใหญ่เกรี้ยวกราด
ตบะที่บำเพ็ญมากว่าพันปีของบรรพตเยียนจือหายไปในพริบตา!
ประกายทวนกะพริบวาบ แสงกระบี่พลันมืดลง
เซียวจางแค่นเสียงโกรธเกี้ยว ฝืนยื้ออย่างยากลำบาก
เฉินฉางเซิงยืนขึ้น มือซ้ายยื่นไปทางเขาลุกนั้น
ในเวลาอย่างนี้ สวีโหย่วหรงกลับเอาแต่มองไปทางถาดดาวโชคชะตา
ทิศทางของถาดดาวโชคชะตาหมุนเคว้งอย่างยากจะจินตนาการได้ กลายเป็นรูปร่างอันซับซ้อนยากเกินเข้าใจ
นางดูท่าทางท้อแท้ผิดหวังนัก
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรือจะเอ่ยให้ชัดเจนก็คือ ต่อไปจะมีอะไรที่ทำให้การต่อสู้ฉากนี้หรือว่าหน้าประวัติศาสตร์ทั้งหมดเกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงหรือ
เมฆรัตติกาลถูกฉีกออก หลังจากนั้นก็ลอยหายไป ท้องฟ้าพลันสว่างทันที แสงดาวเจิดจรัส
ทันใดนั้น ในรัตติกาลที่อยู่สูงสุดก็เกิดกระแสไฟขึ้น
ภายในระยะเวลาอันสั้น เส้นแสงนั้นก็มาถึงยังท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้า
กระแสไฟนั้นมาจากทางใต้ หากว่ากันตามหลักการแล้ว บรรพตจิ้งพัวและบรรพตอีชุนน่าจะสามารถต้านทานกระแสไฟนี้ได้ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดพวกเขายังไม่ลงมืออีก หรืออาจจะเป็นเพราะกระแสไฟนั้น สำหรับทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในสนามการต่อสู้นี้ ล้วนไม่ถือเป็นการข่มขู่ด้วยซ้ำ
จุดสุดท้ายของกระแสไฟนั้น ปรากฏเป็นกิเลนเมฆาอัคคีตัวหนึ่ง
กิเลนเมฆาอัคคีสยายปีกคู่ บนนั้นไม่มีผู้ใด
ทั้งใต้หล้าต่างทราบดี ในปีนั้นยานพาหนะศักดิ์สิทธิ์ของขุนพลเทพอันดับสองเสวียสิ่งชวนในราชวงศ์ต้าโจวก็คือกิเลนเมฆาอัคคีตัวหนึ่ง หรือจะเป็นตัวนี้
สิบกว่าปีก่อน เสวียสิ่งชวนถูกโจวทงวางยาจนเสียชีวิตในวังหลวง กิเลนเมฆาอัคคีตัวนั้นก็หายไปในส่วนลึกของวังหลวง ไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลย
เหตุใดในคืนนี้มันจึงปรากฏตัวที่นี่กันเล่า นี่มันหมายความว่าอะไร
ทั่วทั้งทุ่งหญ้าเงียบสงัด
ช่วงเวลาของความเงียบนี้สั้นมาก
สำหรับบรรพตเยียนจือ เซียวจาง เฉินฉางเซิง สวีโหย่วหรง และคนบรรพตทั้งสองทางทิศใต้แล้ว ช่วงเวลานี้ช่างยาวนานนัก
ก็เหมือนกับเวลาหลายปีที่หายไปในความเงียบนี้
โลกนี้สัมพันธ์กัน
ตำแหน่งก็สัมพันธ์กัน
เวลาเองก็สัมพันธ์กัน
สัมผัสได้ว่าเวลายาวนานกว่าความเป็นจริง หรืออาจะเป็นเพราะความเร็วสัมพัทธ์ของสิ่งที่อ้างอิงได้ในส่วนของเวลานี้เร็วเกินไป
สิ่งที่มาคือแสงดาบสายหนึ่ง
มาจากฟากฟ้า
แสงดาบนี้ไม่ได้น่าประหลาดใจแต่อย่างใด มันหนักแน่นและเงียบเชียบนัก
เมื่อเทียบกับลมกรรโชกที่ยังไม่หายไปและกรวดทรายแล้ว แสงดาบนี้อาจจะพูดได้เลยว่าเล็กละเอียด
เมื่อเทียบกับความโกรธเกรี้ยวของบรรพตเยียนจือแล้ว แสงดาบนี้อ่อนโยนนัก
แต่แสงดาบนี้รวดเร็วนัก
หากสิ่งที่แสงดาบนี้ตัดคือสายน้ำไหล อย่างนั้นสายน้ำไหลต้องสะบั้นแน่
หากสิ่งที่แสงดาบนี้ฟาดคือกาลเวลาที่เป็นดั่งสายน้ำไหล แน่นอนว่ากาลเวลาจะต้องหยุดลงแน่
เมื่อผู้คนมองเห็นแสงดาบนั้น แสงดาบได้หยุดลงแล้ว
ฉึก เสียงเบาๆ ดังขึ้น
แสงดาบนั้นตกลงระหว่างหน้าผา
ไม่มีเศษหินปลิวว่อน ไม่มีฝุ่นตลบ
แสงดาบนั้นราวกับจมลงในหน้าผา
หลังจากนั้น ภูเขาก็ถล่มลง
แผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น
นั่นคือแนวเทือกเขากำลังเคลื่อนตัว
เสียงคำรามต่ำสองเสียงดังขึ้นจากรัตติกาลทางทิศใต้
ในเสียงคำรามนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยว
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเสียงคำรานี้ใกล้เคียงกับภาษาของเผ่ามังกรอยู่บ้าง
ต่อมาก็น่าจะเป็นการต่อสู้อันยากลำบากและยิ่งใหญ่ฉากหนึ่งที่ตามมา
เขายืนขึ้น เตรียมการรบ
ในเวลานี้เอง ในหน้าผาที่ถล่มลงเกิดเสียงร้องทุ้มต่ำดังขึ้น
นั่นคือเสียงของบรรพตเยียนจือ
ครั้งนี้เฉินฉางเซิงฟังชัดเจนกว่าเดิมแล้ว เขาพบว่าไม่ใช่ภาษาที่ใช้ทั่วกันในเผ่ามาร และก็มิใช่ภาษามารโบราณที่เหล่าชนชั้นสูงในเมืองเสวี่ยเหล่าใช้กัน
เขามองไปยังสวีโหย่วหรง สวีโหย่วหรงส่ายหน้าเบาๆ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจเนื้อหาโดยละเอียด แต่ราวกับเข้าใจในอารมณ์และสิ่งที่บรรพตเยียนจือต้องการสื่อตอนนี้ได้
บรรพตเยียนจือไม่ได้โกรธเกรี้ยว ไม่ได้ไม่ยินยอม ไม่ได้เกลียดชัง แต่กลับสงบนิ่งนัก
แนวเทือกเขาทั้งสองหยุดเคลื่อนไหว ส่งเสียงคำรามต่ำ หลังจากนั้นเดินทางต่อไปทางทิศตะวันตก ค่อยๆ หายไปในรัตติกาล
ทุ่งหญ้าทางตอนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง มีเพียงความเศร้าโศกเท่านั้นที่เพิ่มมา
โลหิตไหลไปตามขอบกระดาษไม่หยุด เซียวจางยื่นมือออกไปเช็ด รู้สึกว่าเปียกไปหมด น่ารำคาญยิ่งนัก
เขามองไปยังคนข้างกายตนเหล่านั้นยิ่งรู้สึกรำคาญยิ่งกว่า
“โอกาสดีอย่างนี้ ยังไม่รีบตามไปอีก ยืนทื่ออยู่ทำไมกัน ยังหวังให้ผู้ใดจะสร้างอนุสรณ์รูปปั้นให้เจ้ารึ”
เมื่อถูกดูถูก สีหน้าของคนผู้นั้นกลับไม่เปลี่ยนไปเลย
หลายปีก่อน วาจาเช่นนี้เขาได้ยินมาบ่อยมาก และเขาก็รู้วิธีตอบโต้
“หากเจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือยังสามารถเดินไปอีกสักก้าวสองเก้า อย่างนั้นก็คงไล่ตามได้สักหน่อย”
สีหน้าของเซียวจางย่ำนัก แต่เขาไม่ได้ตอบโต้ เนื่องจากนี่เป็นเรื่องจริง
เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ และบาดแผลก็สาหัสมาก เขาแทบเดินไม่ได้เลย
เรื่องจริงที่สำคัญที่สุดก็คือ คนผู้นั้นช่วยเขาเอาไว้ ไม่ว่าเขาจะยินดีหรือไม่ก็ตาม
……
……
ฝุ่นควันเพิ่งจางลง เสียงหินกลิ้งไปมาดังขึ้น
มีคนเดินออกมาจากด้านในของเทือกเขาศิลาที่ถล่มลง
คนผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์สีขาวหิมะ หนวดเคราและเผ้าผมล้วนเป็นสีดอกเลา ร่างกายเองก็ซีดขาว
ความขาวนั้นมิได้ขาวเยี่ยงหิมะ และก็ไม่ได้ขาวราวกระดาษ แต่มีแสงส่องสว่างจางๆ คล้ายกับหยก
องคาพยพบนใบหน้าของคนผู้นั้นงดงามมาก ผิวพรรณเรียบลื่นสว่างไสว ไม่ว่าจะเป็นหน้าผากหรือว่าผิวมือล้วนไม่มีรอยเหี่ยวย่นเลย เหมือนสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างนั้น
หากมิใช่เขามารบนศีรษะเขา อาจจะถูกมองว่าเป็นรูปปั้นงดงามที่แกะสลักจากหยกขาวโดยช่างแกะสลักตระกูลมู่ท่าแน่
ผู้แข็งแกร่งเก่าแก่ของเผ่ามารในตำนาน ที่แท้ก็งดงามถึงเพียงนี้
เฉินฉางเซิงพลันนึกถึงภาพวาดนั้นในเทือกเขาเหมันต์เมื่อยามพบเจอราชามารเป็นหนแรกขึ้นมา
ราชามารเองก็เป็นบัณฑิตผู้งดงามมากเช่นกัน
เซียวจางคราง ฮึ ในลำคอ ดูเหมือนไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือว่าเหยียดหยามกันแน่
คำตอบไม่ได้อยู่ในสายลม แต่อยู่ด้านล่างกระดาษขาวใบนั้น
คนผู้นี้ก็คือบรรพตเยียนจือ
เทือกเขาบรรพตนั้นคือสังขารมารของเขา
นี่ถึงจะเป็นร่างจริงของเขา
“หากเจ้าตามไปจริงๆ สุดท้ายก็ต้องปราชัยทั้งสองฝ่าย”
บรรพตเยียนจือมองไปยังคนข้างกายของเซียวจางก่อนเอ่ย “ต่อให้เจ้าคือหวังผ้อก็ตาม”
คนผู้นั้นสวมใส่เสื้อผ้าสีครามที่ซักจนเป็นสีขาว ไหล่สองข้างลู่ลง หัวคิ้วหลุบลง เหมือนกับคนคิดบัญชีผู้อนาถาเหลือทน
แน่นอนว่านั่นคือหวังผ้อ
“ผู้อาวุโสมีระดับขั้นลึกล้ำไม่อาจคาเดา ทั้งสี่คนฝั่งพวกข้าก็เพียงแค่เอาชนะได้อย่างถูๆ ไถๆ แน่นอนว่าคงไม่กล้าคิดเหิมเกริมอีกแน่”
เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้
วิถีทวนอันบ้าคลั่งของเซียวจาง กับวิชาสองกระบี่ประสานพลังของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรง ค่ายกลกระบี่และธนูถง กลวิธีทั้งหมดล้วนใช้แล้ว ยังคงไม่อาจตีพ่ายบรรพตเยียนจือได้ ทำได้เพียงทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นก็เจอเข้ากับดาบเทียนไหว้ที่หวังผ้อซุ่มเก็บพลังมานาน จึงได้พ่ายแพ้ในศึกนี้
เซียวจาง เฉินฉางเซิง และสวีโหย่วหรงในตอนนี้ไม่มีแรงเหลือในการต่อสู้แล้ว หวังผ้อเองก็ยากจะเอาชนะบรรพตจิ้งพัวและบรรพตอีชุนได้
แน่นอนว่าการคาดการณ์นี้เมื่อคิดในมุมกลับก็ดูเป็นไปได้
บรรพตเยียนจือเอ่ย “ดังนั้นข้าจึงขัดขวางไม่ให้พวกเขาลงมือ และให้พวกเขาจากไปเสีย”
หวังผ้อเอ่ย “ผู้อาวุโสประสงค์ให้เหล่าบรรพตทั้งหมดดำรงไว้ซึ่งการมีอยู่สืบไปหรือ”
บรรพตเยียนจือเอ่ย “ข้าพยายามเต็มที่แล้ว คิดว่าหากตายไปแล้วพบท่านอาจารย์ใหญ่เข้า ก็คงไม่ว่าอะไรข้ามากกระมัง”
เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า สวีโหย่วหรงชำนาญการล่าสัตว์ หวังผ้อและเซียวจางมีความรู้และประสบการณ์มากมาย แต่ก็รู้เพียงไม่มากเรื่องที่คนบรรพตทั้งแปดกับท่านมหาบัณฑิตทงกู่ซือมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน