ส่วนที่ 7 ภาคกล้าให้อาทิตย์ดวงจันทร์ผันเปลี่ยน ตอนที่ 87-1 สังหารข้าบรรพตเยียนจือ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

​เทือกเขา​ศิลา​สั่นสะเทือน​อย่างรุนแรง​ ​หินผา​จำนวนนับ​ไม่​ถ้วน​ร่วงหล่น​ ​กระแทก​พื้นดิน​ ​ทำให้​ฝุ่นตลบ​ ​ปกปิด​ร่าง​ของ​บรรพต​เยียน​จือ

​ไม่รู้​ว่า​ผ่าน​ไป​นาน​เท่าใด​ ​ฝุ่น​ควัน​ค่อยๆ​ ​จาง​ลง​ ​เทือกเขา​ศิลา​นั้น​เล็ก​ลง​ไป​อย่างเห็นได้ชัด​ ​แต่​ยังคง​ตั้งอยู่​บน​ทุ่งหญ้า​ใต้​รัตติกาล​ ​ไม่​พังทลาย

​เทือกเขา​ก็​ยังคง​เป็น​เทือกเขา

​มองดู​ภาพ​เบื้องหน้า​ ​สีหน้า​ของ​สวี​โหย​่ว​หรง​ในที่สุด​ก็​ปรากฏ​ความรู้สึกผิด​หวัง​ออกมา

​“​ฝีมือ​ของ​เทพธิดา​ศักดิ์สิทธิ์​ช่าง​ยอดเยี่ยม​นัก​”

​เสียง​ของ​บรรพต​เยียน​จือ​แหบ​ต่ำ​ ​แต่​เมื่อ​พิศ​ฟัง​ให้​ละเอียด​อาจ​ได้ยิน​เสียงสั่น​ไหว​และ​ความ​เกรี้ยวกราด​ใน​นั้น

​เซียว​จาง​ใช้​ทวน​เหล็ก​ค้ำ​ร่างกาย​ของ​ตน​ที่​อ่อนแรง​ให้​ยืน​ขึ้น

​กระดาษสี​ขาว​ดัง​ พึ่บพั​่บ ​โต้​ลม​ไม่​หยุด​ ​รู​สีดำ​นั้น​มืดครึ้ม​อย่างที่​สุด

​“​อีก​รอบ​”

​เขา​ใช้​เสียง​แหบ​พร่า​เอ่ย​ ​ไม่ได้​สนใจ​สถานการณ์​ตรงหน้า​เลย

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ไม่ได้​เอ่ย​คำ​ใด

​หลาย​ลี้​ด้านนอก​ ​มรสุม​กระบี่​เตรียม​กลับมา

​สวี​โหย​่ว​หรง​ไม่ได้​เอ่ย​คำ​ใด​ ​นาง​หยิบ​เอา​ถาด​ดาว​โชคชะตา​ออกมา​จาก​ใน​แขน​เสื้อ

​แสงดาว​ตกลง​บน​ถาด​ดาว​โชคชะตา​ ​มัน​เปล่งแสง​ที่​แตกต่าง​กัน​ออก​ไป​พร้อมกับ​เส้นทาง​ดวงดาว​ที่​หมุน​ไปรา​วกั​บน​้ำ​ไหล​ ​งดงาม​ยิ่งนัก

​ใน​ส่วน​ของ​จุดจบ​ใน​วันนี้​ ​นาง​คาด​การ​ไว้​หลายอย่าง​มาก​ ​ผลลัพธ์​ล้วน​ไม่ดี​อย่างมาก​ ​ธนู​เล็ก​แสน​งดงาม​นั้น​ก็​ไป​ไม่​ถึง​เป้าหมาย​ ​นี่​ทำให้​นาง​ผิดหวัง​ ​แต่​ในเมื่อ​การต่อสู้​ยัง​ไม่​จบ​ลง​ ​ก็​ต้อง​ดำเนิน​ต่อ​ ​ถาด​ดาว​โชคชะตา​หาก​ไม่​อาจ​คิด​ผล​ที่​ดี​ได้​ ​อย่างนั้น​ก็​ใช้​มัน​มาทำ​เป็น​อาวุธ​ใน​การต่อสู้​ไม่ดี​หรือ​ ​นี่​ทำให้​ผลลัพธ์​เปลี่ยนไป​หรือไม่

​ทวน​เหล็ก​อาศัย​พลัง​ของ​ฟ้า​ดิน​โจมตี​ไป​ยัง​เทือกเขา​ศิลา​นั้น​อีกครั้ง

​แสง​กระบี่​สอง​สาย​พบกัน​อีกครั้ง​ ​ใช้​ท่วงท่า​อัน​เด็ดเดี่ยว​เผา​โลกา​สะบั้น​ฟ้า​ดิน

​ลมแรง​พัด​กรู​ ​หมอก​ควัน​ถาโถม​อีกครั้ง

​พายุ​ทราย​ขวางกั้น​ ​สวี​โหย​่ว​หรง​จดจ้อง​ไป​ยัง​รู​สีดำ​นั้น​ ​นิ้วมือ​นาง​กรีดกราย​บน​ถาด​ดาว​โชคชะตา​ไม่​หยุด

​บรรพต​เยียน​จือ​ได้รับบาดเจ็บ​ไม่เบา​ ​ตอนนี้​ยิ่ง​รับรู้​ได้​ถึง​อันตราย​แล้ว

​ไม่ว่า​จะ​เป็นท​วก​เหล็ก​ของ​เซียว​จาง​หรือว่า​ถาด​ดาว​โชะ​ตาของ​สวี​โหย​่ว​หรง

​ที่​ทำให้​เขา​ระแวดระวัง​ที่สุด​ ​ก็​คือ​ลมปราณ​แผดเผา​โลกา​ที่​หลั่งไหล​ออกมา​จาก​สอง​กระบี่​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​และ​สวี​โหย​่ว​หรง

​นี่​ทำให้​บรรพต​เยียน​จือ​คิด​เชื่อมโยง​ไป​ถึง​ชาย​ผู้​น่ากลัว​อย่าง​ถึงที่สุด​ของ​เผ่า​มนุษย์​ผู้​นั้น​เมื่อ​หลาย​ปีก่อน

​ความระแวดระวัง​และ​อันตราย​ ​ยัง​มี​ความทรงจำ​ที่​ไม่​อยาก​ย้อน​คิด​ ​ทำให้​บรรพต​เยียน​จืด​โกรธ​จริงๆ​ ​แล้ว

​เมฆ​รัตติกาล​แตก​กระจาย​ไป​หลังจาก​เสียงคำราม​ ​ก่อน​กระจาย​ไปร​อบ​ทิศทาง

​แนว​เทือกเขา​รวมตัว​ ​พื้น​ทุ่งหญ้า​ขึ้น​ลง​แปรปรวน​ ​คลื่น​ลูก​ใหญ่​เกรี้ยวกราด

​ตบะ​ที่​บำเพ็ญ​มาก​ว่า​พันปี​ของ​บรรพต​เยียน​จือ​หาย​ไป​ใน​พริบตา​!

​ประกาย​ทวน​กะพริบ​วาบ​ ​แสง​กระบี่​พลัน​มืด​ลง

​เซียว​จาง​แค่น​เสียง​โกรธ​เกี้ยว​ ​ฝืน​ยื้อ​อย่าง​ยากลำบาก

​เฉิน​ฉาง​เซิง​ยืน​ขึ้น​ ​มือซ้าย​ยื่น​ไป​ทาง​เขา​ลุก​นั้น

​ใน​เวลา​อย่างนี้​ ​สวี​โหย​่ว​หร​งก​ลับ​เอาแต่​มอง​ไป​ทาง​ถาด​ดาว​โชคชะตา

​ทิศทาง​ของ​ถาด​ดาว​โชคชะตา​หมุน​เคว้ง​อย่าง​ยาก​จะ​จินตนาการ​ได้​ ​กลายเป็น​รูปร่าง​อัน​ซับซ้อน​ยาก​เกิน​เข้าใจ

​นาง​ดูท่าทาง​ท้อแท้​ผิดหวัง​นัก

​เกิด​อะไร​ขึ้น​กัน​แน่

​หรือ​จะ​เอ่ย​ให้​ชัดเจน​ก็​คือ​ ​ต่อไป​จะ​มี​อะไร​ที่​ทำให้​การต่อสู้​ฉาก​นี้​หรือว่า​หน้า​ประวัติศาสตร์​ทั้งหมด​เกิด​การเปลี่ยนแปลง​ไป​โดยสิ้นเชิง​หรือ

​เมฆ​รัตติกาล​ถูก​ฉีก​ออก​ ​หลังจากนั้น​ก็​ลอยหาย​ไป​ ​ท้องฟ้า​พลัน​สว่าง​ทันที​ ​แสงดาว​เจิด​จรัส

​ทันใดนั้น​ ​ใน​รัตติกาล​ที่อยู่​สูงสุด​ก็​เกิด​กระแสไฟ​ขึ้น

​ภายใน​ระยะเวลา​อัน​สั้น​ ​เส้น​แสง​นั้น​ก็​มาถึง​ยัง​ท้องฟ้า​เหนือ​ทุ่งหญ้า

​กระแสไฟ​นั้น​มาจาก​ทางใต้​ ​หากว่า​กันตา​มห​ลัก​การ​แล้ว​ ​บรรพต​จิ้ง​พัว​และ​บรรพต​อี​ชุน​น่าจะ​สามารถ​ต้านทาน​กระแสไฟ​นี้​ได้​ ​แต่​ไม่ทราบ​ว่า​เหตุใด​พวกเขา​ยัง​ไม่​ลงมือ​อีก​ ​หรือ​อาจจะ​เป็น​เพราะ​กระแสไฟ​นั้น​ ​สำหรับ​ทั้งสองฝ่าย​ที่อยู่​ใน​สนาม​การต่อสู้​นี้​ ​ล้วน​ไม่​ถือเป็น​การข่มขู่​ด้วยซ้ำ

​จุด​สุดท้าย​ของ​กระแสไฟ​นั้น​ ​ปรากฏ​เป็น​กิเลน​เมฆา​อัคคี​ตัว​หนึ่ง

​กิเลน​เมฆา​อัคคี​สยาย​ปีก​คู่​ ​บน​นั้น​ไม่มี​ผู้ใด

​ทั้ง​ใต้​หล้า​ต่าง​ทราบ​ดี​ ​ใน​ปีนั​้น​ยานพาหนะ​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​ขุนพล​เทพ​อันดับ​สอง​เสวี​ยสิ​่ง​ชวน​ใน​ราชวงศ์​ต้า​โจว​ก็​คือ​กิเลน​เมฆา​อัคคี​ตัว​หนึ่ง​ ​หรือ​จะ​เป็นตัว​นี้

​สิบ​กว่า​ปีก่อน​ ​เสวี​ยสิ​่ง​ชวน​ถูก​โจว​ทง​วางยา​จน​เสียชีวิต​ใน​วัง​หลวง​ ​กิเลน​เมฆา​อัคคี​ตัว​นั้น​ก็​หาย​ไป​ใน​ส่วนลึก​ของ​วัง​หลวง​ ​ไม่ได้​ปรากฏตัว​อีก​เลย​

​เหตุใด​ใน​คืนนี้​มัน​จึง​ปรากฏตัว​ที่นี่​กัน​เล่า​ ​นี่​มัน​หมายความว่า​อะไร

​ทั่วทั้ง​ทุ่งหญ้า​เงียบสงัด

​ช่วงเวลา​ของ​ความ​เงียบ​นี้​สั้น​มาก

​สำหรับ​บรรพต​เยียน​จือ​ ​เซียว​จาง​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​และ​คน​บรรพต​ทั้งสอง​ทางทิศใต้​แล้ว​ ​ช่วงเวลา​นี้​ช่าง​ยาวนาน​นัก

​ก็​เหมือนกับ​เวลา​หลาย​ปี​ที่​หาย​ไป​ใน​ความ​เงียบ​นี้

​โลก​นี้​สัมพันธ์กัน

​ตำแหน่ง​ก็​สัมพันธ์กัน

​เวลา​เอง​ก็​สัมพันธ์กัน

​สัมผัส​ได้​ว่า​เวลา​ยาวนาน​กว่า​ความเป็นจริง​ ​หรือ​อาจะ​เป็น​เพราะ​ความเร็ว​สัมพัทธ์​ของ​สิ่ง​ที่​อ้างอิง​ได้​ใน​ส่วน​ของ​เวลานี้​เร็ว​เกินไป

​สิ่ง​ที่มา​คือ​แสง​ดาบสาย​หนึ่ง

​มาจาก​ฟากฟ้า

​แสง​ดาบ​นี้​ไม่ได้​น่าประหลาด​ใจ​แต่อย่างใด​ ​มัน​หนักแน่น​และ​เงียบเชียบ​นัก

​เมื่อ​เทียบ​กับ​ลม​กรรโชก​ที่​ยัง​ไม่​หาย​ไป​และ​กรวดทราย​แล้ว​ ​แสง​ดาบ​นี้​อาจจะ​พูด​ได้​เลย​ว่า​เล็ก​ละเอียด

​เมื่อ​เทียบ​กับ​ความโกรธ​เกรี้ยว​ของ​บรรพต​เยียน​จือ​แล้ว​ ​แสง​ดาบ​นี้​อ่อนโยน​นัก

​แต่​แสง​ดาบ​นี้​รวดเร็ว​นัก

​หาก​สิ่ง​ที่​แสง​ดาบ​นี้​ตัด​คือ​สายน้ำ​ไหล​ ​อย่างนั้น​สายน้ำ​ไหล​ต้อง​สะบั้น​แน่

​หาก​สิ่ง​ที่​แสง​ดาบ​นี้​ฟาด​คือ​กาลเวลา​ที่​เป็น​ดั่ง​สายน้ำ​ไหล​ ​แน่นอน​ว่า​กาลเวลา​จะ​ต้อง​หยุด​ลง​แน่

​เมื่อ​ผู้คน​มองเห็น​แสง​ดาบ​นั้น​ ​แสง​ดาบ​ได้​หยุด​ลง​แล้ว

ฉึก​ เสียง​เบา​ๆ​ ​ดัง​ขึ้น

​แสง​ดาบ​นั้น​ตกลง​ระหว่าง​หน้าผา

​ไม่มี​เศษ​หิน​ปลิว​ว่อน​ ​ไม่มี​ฝุ่นตลบ

​แสง​ดาบ​นั้น​ราวกับ​จม​ลง​ใน​หน้าผา

​หลังจากนั้น​ ​ภูเขา​ก็​ถล่ม​ลง

​แผ่นดิน​สะเทือน​เลือน​ลั่น

​นั่น​คือ​แนว​เทือกเขา​กำลัง​เคลื่อนตัว

​เสียงคำราม​ต่ำ​สอง​เสียงดัง​ขึ้น​จาก​รัตติกาล​ทางทิศใต้

​ใน​เสียงคำราม​นั้น​เต็มไปด้วย​ความเจ็บปวด​และ​โกรธ​เกรี้ยว

​เฉิน​ฉาง​เซิง​รู้สึก​ว่า​เสียง​คำ​รานี​้​ใกล้เคียง​กับ​ภาษา​ของ​เผ่า​มังกร​อยู่​บ้าง

​ต่อมา​ก็​น่าจะเป็น​การต่อสู้​อัน​ยากลำบาก​และ​ยิ่งใหญ่​ฉาก​หนึ่ง​ที่​ตามมา

​เขา​ยืน​ขึ้น​ ​เตรียมการ​รบ

​ในเวลานี้​เอง​ ​ใน​หน้าผา​ที่​ถล่ม​ลง​เกิด​เสียงร้อง​ทุ้ม​ต่ำ​ดัง​ขึ้น

​นั่น​คือ​เสียง​ของ​บรรพต​เยียน​จือ

​ครั้งนี้​เฉิน​ฉาง​เซิง​ฟัง​ชัดเจน​กว่า​เดิม​แล้ว​ ​เขา​พบ​ว่า​ไม่ใช่​ภาษา​ที่​ใช้​ทั่วกัน​ใน​เผ่า​มาร​ ​และ​ก็​มิใช่​ภาษา​มาร​โบราณ​ที่​เหล่า​ชนชั้นสูง​ใน​เมือง​เสวี​่ย​เหล่า​ใช้​กัน

​เขามอง​ไป​ยัง​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​สวี​โหย​่ว​หรง​ส่ายหน้า​เบา​ๆ

​ถึงแม้ว่า​พวกเขา​จะ​ไม่เข้าใจ​เนื้อหา​โดยละเอียด​ ​แต่​ราวกับ​เข้าใจ​ใน​อารมณ์​และ​สิ่ง​ที่​บรรพต​เยียน​จือ​ต้องการ​สื่อ​ตอนนี้​ได้

​บรรพต​เยียน​จือ​ไม่ได้​โกรธ​เกรี้ยว​ ​ไม่ได้​ไม่​ยินยอม​ ​ไม่ได้​เกลียดชัง​ ​แต่กลับ​สงบนิ่ง​นัก

​แนว​เทือกเขา​ทั้งสอง​หยุด​เคลื่อนไหว​ ​ส่งเสียง​คำราม​ต่ำ​ ​หลังจากนั้น​เดินทาง​ต่อไป​ทาง​ทิศตะวันตก​ ​ค่อยๆ​ ​หาย​ไป​ใน​รัตติกาล

​ทุ่งหญ้า​ทาง​ตอน​ใต้​กลับคืน​สู่​ความสงบ​อีกครั้ง​ ​มี​เพียง​ความเศร้า​โศก​เท่านั้น​ที่​เพิ่ม​มา

​โลหิต​ไหล​ไป​ตาม​ขอบ​กระดาษ​ไม่​หยุด​ ​เซียว​จาง​ยื่นมือ​ออก​ไป​เช็ด​ ​รู้สึก​ว่า​เปียก​ไป​หมด​ ​น่ารำคาญ​ยิ่งนัก

​เขามอง​ไป​ยัง​คน​ข้าง​กาย​ตน​เหล่านั้น​ยิ่ง​รู้สึก​รำคาญ​ยิ่งกว่า

​“​โอกาสดี​อย่างนี้​ ​ยัง​ไม่​รีบ​ตาม​ไป​อีก​ ​ยืน​ทื่อ​อยู่​ทำไม​กัน​ ​ยัง​หวัง​ให้​ผู้ใด​จะ​สร้าง​อนุสรณ์​รูปปั้น​ให้​เจ้า​รึ​”

​เมื่อ​ถูก​ดูถูก​ ​สีหน้า​ของ​คน​ผู้​นั้น​กลับ​ไม่​เปลี่ยนไป​เลย

​หลาย​ปีก่อน​ ​วาจา​เช่นนี้​เขา​ได้ยิน​มาบ​่อ​ยมาก​ ​และ​เขา​ก็​รู้​วิธี​ตอบโต้

​“​หาก​เจ้า​ไม่ได้​รับ​บาดเจ็บ​ ​หรือยัง​สามารถ​เดิน​ไป​อีก​สัก​ก้าว​สอง​เก้า​ ​อย่างนั้น​ก็​คง​ไล่ตาม​ได้​สักหน่อย​”

​สีหน้า​ของ​เซียว​จาง​ย่ำ​นัก​ ​แต่​เขา​ไม่ได้​ตอบโต้​ ​เนื่องจาก​นี่​เป็นเรื่อง​จริง

​เขา​ได้รับบาดเจ็บ​จริงๆ​ ​และ​บาดแผล​ก็​สาหัส​มาก​ ​เขา​แทบ​เดิน​ไม่ได้​เลย

​เรื่องจริง​ที่​สำคัญ​ที่สุด​ก็​คือ​ ​คน​ผู้​นั้น​ช่วย​เขา​เอาไว้​ ​ไม่ว่า​เขา​จะ​ยินดี​หรือไม่ก็​ตาม

​…​…

​…​…

​ฝุ่น​ควัน​เพิ่ง​จาง​ลง​ ​เสียง​หิน​กลิ้ง​ไปมา​ดัง​ขึ้น

​มี​คน​เดิน​ออกมา​จาก​ด้านใน​ของ​เทือกเขา​ศิลา​ที่​ถล่ม​ลง

​คน​ผู้​นั้น​สวมใส่​อาภรณ์​สีขาว​หิมะ​ ​หนวดเครา​และ​เผ​้า​ผม​ล้วน​เป็น​สี​ดอกเลา​ ​ร่างกาย​เอง​ก็​ซีด​ขาว

​ความขาว​นั้น​มิได้​ขาว​เยี่ยง​หิมะ​ ​และ​ก็​ไม่ได้​ขาว​ราว​กระดาษ​ ​แต่​มีแสง​ส่องสว่าง​จางๆ​ ​คล้าย​กับ​หยก

​องคาพยพ​บน​ใบหน้า​ของ​คน​ผู้​นั้น​งดงาม​มาก​ ​ผิวพรรณ​เรียบ​ลื่น​สว่างไสว​ ​ไม่ว่า​จะ​เป็น​หน้าผาก​หรือว่า​ผิว​มือ​ล้วน​ไม่มี​รอย​เหี่ยว​ย่น​เลย​ ​เหมือน​สิ่ง​ที่​ไม่มี​ชีวิต​อย่างนั้น

​หาก​มิใช่​เขา​มาร​บน​ศีรษะ​เขา​ ​อาจจะ​ถูก​มองว่า​เป็น​รูปปั้น​งดงาม​ที่​แกะสลัก​จาก​หยก​ขาว​โดย​ช่างแกะสลัก​ตระกูล​มู่​ท่า​แน่

​ผู้​แข็งแกร่ง​เก่าแก่​ของ​เผ่า​มาร​ใน​ตำนาน​ ​ที่แท้​ก็​งดงาม​ถึง​เพียงนี้

​เฉิน​ฉาง​เซิง​พลัน​นึกถึง​ภาพวาด​นั้น​ใน​เทือกเขา​เหมันต์​เมื่อยาม​พบ​เจอ​ราชา​มาร​เป็น​หน​แรก​ขึ้น​มา

​ราชา​มาร​เอง​ก็​เป็น​บัณฑิต​ผู้​งดงาม​มาก​เช่นกัน

​เซียว​จางค​ราง ​ฮึ ​ใน​ลำคอ​ ​ดูเหมือน​ไม่พอใจ​เป็นอย่างมาก

​เพียงแต่​ไม่รู้​ว่า​เขา​นั้น​กำลัง​รู้สึก​น้อยเนื้อต่ำใจ​ ​หรือว่า​เหยียดหยาม​กัน​แน่

​คำตอบ​ไม่ได้​อยู่​ใน​สายลม​ ​แต่​อยู่​ด้านล่าง​กระดาษ​ขาว​ใบ​นั้น

​คน​ผู้​นี้​ก็​คือ​บรรพต​เยียน​จือ

​เทือกเขา​บรรพต​นั้น​คือ​สังขาร​มาร​ของ​เขา

​นี่​ถึง​จะ​เป็น​ร่าง​จริง​ของ​เขา

​“​หาก​เจ้า​ตาม​ไป​จริงๆ​ ​สุดท้าย​ก็​ต้อง​ปราชัย​ทั้งสองฝ่าย​”

​บรรพต​เยียน​จือ​มอง​ไป​ยัง​คน​ข้าง​กาย​ของ​เซียว​จาง​ก่อน​เอ่ย​ ​“​ต่อให้​เจ้า​คือ​หวังผ​้​อก​็​ตาม​”

​คน​ผู้​นั้น​สวมใส่​เสื้อผ้า​สีคราม​ที่​ซัก​จน​เป็น​สีขาว​ ​ไหล่​สอง​ข้าง​ลู่​ลง​ ​หัว​คิ้ว​หลุบ​ลง​ ​เหมือนกับ​คน​คิดบัญชี​ผู้​อนาถา​เหลือทน

​แน่นอน​ว่านั​่​นคือ​หวังผ​้อ

​“​ผู้อาวุโส​มีระดับ​ขั้น​ลึกล้ำ​ไม่​อาจ​คา​เดา​ ​ทั้ง​สี่​คน​ฝั่ง​พวก​ข้า​ก็​เพียงแค่​เอาชนะ​ได้​อย่าง​ถู​ๆ​ ​ไถ​ๆ​ ​แน่นอน​ว่า​คง​ไม่กล้า​คิด​เหิมเกริม​อีก​แน่​”

​เรื่องจริง​ก็​เป็น​เช่นนี้

​วิถี​ทวน​อัน​บ้าคลั่ง​ของ​เซียว​จาง​ ​กับ​วิชา​สอง​กระบี่​ประสาน​พลัง​ของ​เฉิน​ฉาง​เซิง​และ​สวี​โหย​่ว​หรง​ ​ค่าย​กล​กระบี่​และ​ธนูถง​ ​กลวิธี​ทั้งหมด​ล้วน​ใช้แล้ว​ ​ยังคง​ไม่​อาจ​ตี​พ่าย​บรรพต​เยียน​จือ​ได้​ ​ทำได้​เพียง​ทำให้​เขา​บาดเจ็บสาหัส​ ​หลังจากนั้น​ก็​เจอ​เข้ากับ​ดาบ​เทียน​ไหว้​ที่หวังผ​้อ​ซุ่ม​เก็บ​พลัง​มานาน​ ​จึง​ได้​พ่ายแพ้​ใน​ศึก​นี้

​เซียว​จาง​ ​เฉิน​ฉาง​เซิง​ ​และ​สวี​โหย​่ว​หรง​ใน​ตอนนี้​ไม่มีแรง​เหลือ​ใน​การต่อสู้​แล้ว​ ​หวังผ​้อ​เอง​ก็​ยาก​จะ​เอาชนะ​บรรพต​จิ้ง​พัว​และ​บรรพต​อี​ชุน​ได้

​แน่นอน​ว่าการ​คาดการณ์​นี้​เมื่อ​คิด​ใน​มุมกลับ​ก็​ดู​เป็นไปได้

​บรรพต​เยียน​จือ​เอ่ย​ ​“​ดังนั้น​ข้า​จึง​ขัดขวาง​ไม่​ให้​พวกเขา​ลงมือ​ ​และ​ให้​พวกเขา​จากไป​เสีย​”

​หวังผ​้อ​เอ่ย​ ​“​ผู้อาวุโส​ประสงค์​ให้​เหล่า​บรรพต​ทั้งหมด​ดำรง​ไว้​ซึ่ง​การ​มีอยู่​สืบไป​หรือ​”

​บรรพต​เยียน​จือ​เอ่ย​ ​“​ข้า​พยายาม​เต็มที่​แล้ว​ ​คิด​ว่า​หาก​ตาย​ไป​แล้ว​พบ​ท่าน​อาจารย์ใหญ่​เข้า​ ​ก็​คง​ไม่ว่า​อะไร​ข้ามา​กก​ระ​มัง​”

​เฉิน​ฉาง​เซิง​เชี่ยวชาญ​คัมภีร์​เต๋า​ ​สวี​โหย​่ว​หรง​ชำนาญ​การล่าสัตว์​ ​หวังผ​้อ​และ​เซียว​จาง​มีความรู้​และ​ประสบการณ์​มากมาย​ ​แต่​ก็​รู้​เพียง​ไม่​มาก​เรื่อง​ที่​คน​บรรพต​ทั้ง​แปด​กับ​ท่าน​มหาบัณฑิต​ทง​กู่​ซือ​มี​ความสัมพันธ์​เชื่อมโยง​กัน