สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่านางมีก็ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วและหลบหลีกออกไปได้ทัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะทรงตัวได้อย่างมั่นคง ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็เปลี่ยนกลายเป็นกระบี่ยาวที่พุ่งเข้ามาโจมตีนางเช่นกัน
ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงเหวี่ยงกระบี่ในมือออกไปและผ่ากระบี่ยาวเหล่านั้น ทว่าก่อนที่จะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กระบี่ยาวอีกจำนวนหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาจากด้านหลังของนางด้วยความเร็วสูง
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้นางยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนนัก ตอนนี้นางก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นมากแล้ว
ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นอาวุธแหลมคมและกระบี่ทุกเล่มล้วนเป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ นี่คือเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาช้านานของนิกายหมื่นกระบี่ ‘เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืน’ มันถือเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชากระบี่ที่ลึกลับที่สุดในโลกหล้า เว้นเพียงแต่พลังฟ้าดิน ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนกลายเป็นอาวุธในมือของว่านอู๋เริ่นที่ปล่อยการโจมตีตรงไปยังศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพและคาดไม่ถึง
“นี่เป็นเพียงระดับผิวเผินของเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนเท่านั้นและเจ้าสามารถวิเคราะห์มันดูก่อน สำหรับเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนของจริง ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เจ้าจะสามารถเข้าใจพลังที่แท้จริงของมันก็ต่อเมื่อได้สัมผัสถึงมันเท่านั้น”
ว่านอู๋เริ่นกล่าวขึ้นและปล่อยการโจมตีที่เรียบง่ายตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่ซึ่งถือเป็นการฝึกฝนปฏิกิริยาตอบสนองของนาง
ความเร็วของฉินอวี้โม่อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมเป็นทุนเดิมและหลบหลีกการโจมตีของว่านอู๋เริ่นได้อย่างทันท่วงที ทว่าสิ่งที่ครอบงำความคิดของนางในตอนนี้คือการเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งในโลกให้กลายเป็นอาวุธและเปลี่ยนให้กลายเป็นกระบี่ของตนนั้น นางจะทำได้อย่างไรกัน ?
แม้ยังไม่สามารถเข้าใจได้ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ก็สามารถควบแน่นพลังมายาให้กลายเป็นกระบี่และใช้ปราณควบคุมพวกมัน ตราบใดที่ผสานตนเองเข้ากับสภาวะพลังรอบตัว นางก็สามารถควบคุมสภาวะพลังเหล่านั้นและนำมาประยุกต์ได้ตามต้องการ
อย่างไรก็ตาม สำหรับก้อนหิน ต้นไม้ พื้นดิน บ้านเรือน บุปผาและพืชพรรณอื่น ๆ พวกมันล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือไร้พลัง การเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นกระบี่ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่ไม่มีทางจะเป็นไปได้
ว่านอู๋เริ่นไม่รบกวนกระบวนการความคิดของนาง ในขณะที่ยังโจมตีนางอย่างต่อเนื่องเพื่อทำให้นางรู้สึกถึงแรงกดดันในระดับหนึ่ง
บางครั้งบางครา การตกอยู่ในสภาวะกดดันก็จะกระตุ้นให้กระบวนการความคิดและการทำความเข้าใจดำเนินไปเร็วมากขึ้นและทำให้จอมยุทธ์แสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีเช่นนั้น ตราบใดที่รู้สึกถึงภยันตราย ทุกอย่างที่นางมีก็จะถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุดและสามารถพัฒนาไปในระดับที่สูงขึ้นจนบรรลุความก้าวหน้าใหม่ ๆ
น่าเสียดายที่การทำความเข้าใจเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนนั้นยากเกินไป ว่านอู๋เริ่นปลดปล่อยการโจมตีใส่ฉินอวี้โม่อย่างต่อเนื่องนานสองก้านธูป แม้นางจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าการรับมือกับพวกมันก็ทำให้นางสูญเสียพลังมายาไปมากแล้ว
ในที่สุดเขาก็โบกมือและหยุดการโจมตี
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน เสี่ยวอวี้โม่…หลังจากนี้จงไปไตร่ตรองและทำความเข้าใจดูล่ะ หากสงสัยสิ่งใดก็มาถามข้าได้ทุกเมื่อ”
เนื่องจากทราบดีว่าการกระหน่ำโจมตีต่อไปจะไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ใดต่อฉินอวี้โม่ ว่านอู๋เริ่นจึงตัดสินใจให้นางกลับไปพักผ่อนก่อน การหมั่นเพียรฝึกฝนและการพักผ่อนที่เพียงพอเป็นทางที่ดีที่สุดในการฝึกยุทธ์ ในทางตรงกันข้าม การกดดันตัวเองและฝืนมากเกินความจำเป็นจะทำให้สูญเสียพลังงานมากเกินไป และจะนำไปสู่การได้ผลลัพธ์เพียงครึ่งเดียวทั้ง ๆ ที่ใช้ความพยายามเป็นสองเท่าตัว
“พี่อวี้โม่ ท่านจะน่าทึ่งเกินไปแล้ว !”
เถาเซี่ยวเซี่ยวเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่และมองนางด้วยแววตาชื่นชม การรับมือกับการโจมตีของท่านตาของนางได้นานถือเป็นสิ่งที่ทำได้ยากไม่น้อย อีกทั้งฉินอวี้โม่ยังสามารถควบคุมกระบี่ด้วยปราณซึ่งดูจะชำนาญยิ่งกว่าพี่ชายทั้งสองคนของนางเสียอีก เมื่อครั้งที่พี่ชายของนางดวลฝีมือกับท่านตาเป็นครั้งแรก พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่และแทบจะน่วมไปทั้งตัว หากมิใช่เพราะความเมตตาของว่านอู๋เริ่น เกรงว่าว่านหลิวชางและว่านหลิวอวิ๋นอาจได้รับบาดเจ็บก็เป็นได้
แม้ตัวนางจะยังไม่เคยประมือกับท่านตา อย่างไรก็ตาม ผลงานของเถาเซี่ยวเซี่ยวจะไม่ด้อยไปกว่าพี่ชายทั้งสองอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรนางก็ได้เรียนรู้จากฉินอวี้โม่มานานพอสมควร ต่อให้จะปราศจากทักษะและวิชาใหม่ ๆ ประสบการณ์การต่อสู้ของนางก็พัฒนาขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าการควบคุมกระบี่ด้วยปราณจะมิใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับนาง
“เอาล่ะ กลับกันก่อนเถอะ”
ในเวลานี้ ว่านอู๋เริ่น ว่านหรูชูและว่านเฉินซีกลับไปก่อนแล้ว ในขณะที่ว่านหลิวอวิ๋นและว่านหลิวชางยังคงรออยู่
ฉินอวี้โม่จิ้มแก้มนิ่มของเถาเซี่ยวเซี่ยวก่อนเดินหน้ากลับไปยังเรือนที่พักของพวกตน
“ศิษย์น้องอวี้โม่ เราขอไปนั่งพูดคุยด้วยจะได้รึไม่ ?”
ว่านหลิวอวิ๋นกล่าวขึ้น เขาสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากและต้องการสอบถามว่านางใช้วิธีการใดถึงได้ควบคุมกระบี่ด้วยพลังปราณได้อย่างชำนาญเช่นนั้น
ว่านหลิวชางก็คิดในสิ่งเดียวกัน เพียงแต่เขาเป็นบุรุษที่เงียบขรึมจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เอ่ยขึ้นก่อน
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหาเลย ถึงอย่างไรข้าก็เป็นแขกและท่านทั้งสองเป็นเจ้าบ้าน”
ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตากับพี่ชายทั้งสองของเถาเซี่ยวเซี่ยวไม่น้อย พวกเขามีบุคลิกนิสัยที่เรียบง่ายและสุภาพถ่อมตน อีกทั้งก็ไม่วางท่าโอหังใด ๆ เนื่องจากสถานะหลานชายของจ้าวนิกายหมื่นกระบี่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความจริงใจและเข้ากับผู้อื่นได้ง่ายมาก
นอกจากนี้ พวกเขาก็เคยได้ศึกษาเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนก่อนนางและอาจมีคำแนะนำที่แตกต่างออกไป
กลุ่มคนทั้งสี่กลับไปยังบริเวณเรือนที่พักด้วยกัน จากนั้นว่านหลิวอวิ๋นก็รับหน้าที่ชงชา ในขณะที่ฉินอวี้โม่และอีกสองคนนั่งลงที่โต๊ะหินในลานด้านนอก
“เราเคยฝึกฝนก่อนหน้านี้แล้ว ทว่ายังไม่สามารถใช้ปราณควบคุมกระบี่ได้อย่างชำนาญ การเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นกระบี่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่”
จู่ ๆ ว่านหลิวชางก็เอ่ยขึ้น ทว่าน้ำเสียงของเขาในครานี้ฟังดูไม่เย็นชาหรือห่างเหินเช่นเดิมอีกต่อไป หากแต่บ่งบอกถึงความอบอุ่นและความเป็นมิตร
“การควบคุมกระบี่ด้วยพลังปราณมิใช่เรื่องยากหรอกเจ้าค่ะ ตราบใดที่ผสานพลังของตนเองเข้ากับคลื่นพลังรอบตัว ท่านก็จะควบคุมคลื่นพลังเหล่านั้นได้และใช้งานพวกมันได้ตามต้องการ อย่างไรก็ตาม หากเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถในการควบคุมที่แข็งแกร่งกว่า มันก็อาจเป็นปัญหาสักหน่อยและอาจสูญเสียการควบคุมก็เป็นได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงประสบการณ์ของตน ในการประจันหน้ากับว่านอู๋เริ่นเมื่อครู่ นางรู้สึกว่าไม่สามารถใช้ปราณควบคุมกระบี่ได้อย่างอิสระนัก ทว่าว่านอู๋เริ่นเองก็ไม่คิดที่จะหยุดนางเช่นกัน มิฉะนั้น การควบคุมพลังมายาหรือสภาวะพลังรอบตัวอาจจะเป็นไปไม่ได้เลย
“มันไม่ง่ายเลยที่จะผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน สภาวะพลังรอบตัวมักต่อต้านข้าอยู่เสมอ ข้าต้องพยายามหลายคราจนกว่าจะพัฒนาได้ดีขึ้นทีละน้อย ทว่าส่วนใหญ่ข้าก็ควบคุมกระบี่ได้เพียงไม่กี่เล่มเท่านั้น”
ว่านหลิวอวิ๋นอธิบายสถานการณ์ของตนเองออกมา อันที่จริง การใช้ปราณควบคุมกระบี่ก็ต้องอาศัยพรสวรรค์เช่นกัน หากเทียบกับว่านหลิวชาง ตัวเขายังด้อยกว่าเล็กน้อย เขาไม่สามารถใช้สภาวะพลังรอบตัวได้อย่างราบรื่นและรู้สึกเสมอว่ายังมีบางอย่างที่ขาดหายไป
“การหมั่นฝึกฝนเป็นบ่อเกิดของความชำนาญ”
ฉินอวี้โม่กล่าวได้เพียงเท่านี้ สำหรับนาง การควบคุมกระบี่ด้วยปราณเป็นความสามารถโดยธรรมชาติและมิใช่การฝึกฝนที่ยากเย็นแม้แต่น้อย
ว่านหลิวชางและว่านหลิวอวิ๋นมองหน้ากันอย่างจนปัญหา เห็นทีนั่นจะเป็นวิธีเดียวสำหรับพวกเขา…
“อวี้โม่ ท่านตาบอกว่าทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นอาวุธ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่พยายามควบคุมสิ่งเหล่านั้น ?”
สองพี่น้องฝาแฝดเอ่ยถามอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่าการควบคุมกระบี่ด้วยปราณถึงหลายขุม การควบคุมวัตถุต่าง ๆ ในโลกมิใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
“ข้าไม่รู้สึกถึงปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ จากสิ่งที่ไร้ชีวิต ส่วนบางสิ่งที่มีชีวิตก็พอจะมีการต่อต้านอยู่บ้าง ทว่าถึงอย่างไรมันก็มิใช่เรื่องง่ายเหมือนกับการควบคุมสภาวะพลัง”
ฉินอวี้โม่กล่าวตอบตามความจริงและมันเป็นสิ่งที่นางยังฉงนสงสัยยิ่งนัก
นางไม่มีหนทางที่จะควบคุมสิ่งเหล่านั้นได้เลย นับประสาอะไรกับการเปลี่ยนให้พวกมันกลายเป็นอาวุธเพื่อโจมตีศัตรู
“เราเองก็รับรู้ได้เช่นกัน ท่านตาเคยบอกเราว่าจะต้องสัมผัสถึงพวกมันด้วยใจ ทว่าตอนนี้เราก็ยังไม่มีวี่แววที่จะทำได้”
ว่านหลิวอวิ๋นส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา การเตรียมความพร้อมเพื่อศึกษาเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนมิใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ…