บทที่ 1282 ข้าจะตายให้ดู

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,282 ข้าจะตายให้ดู

ก่ายปาหวงกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมันผู้นี้ เป็นลูกสมุนของข้าค้นหามาอย่างละเอียด เมื่อประกอบกับพฤติกรรมการล่าสัตว์อสูรในหุบผาอเวจีพร้อมด้วยผลการแข่งขันทั้งสองรอบที่ผ่านมา ข้อมูลที่ให้กับท่านไปจึงไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด”

“ปีศาจน้อยผู้นี้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้สองชนิด คือพลังแห่งเปลวไฟและเถาวัลย์สายฟ้า แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือมันสามารถใช้วิชาบางชนิดเพิ่มพละกำลังและขั้นพลังให้แก่ตนเองได้มากกว่าเดิมถึงสี่เท่าในระยะเวลาสั้น ๆ อีกด้วย”

“ข้อมูลเหล่านี้ข้าเองก็รู้ดีอยู่แล้ว”

บุรุษหนุ่มผมม่วงดวงตาม่วงมีนามว่าเซี่ยไฉ่เหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หากมันมีขั้นพลังอยู่ในขีดจำกัดอย่างที่ท่านว่ามา วันนี้มันก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”

ก่ายปาหวงกัดฟันกรอด “แต่ข้าอยากให้มันตายเร็วกว่านี้”

เดี๋ยวก่อนนะ?

หลินเป่ยเฉินสามารถฆ่ามือสังหารได้ทั้งสิ้นเจ็ดคนรวด แต่แขนขวาของเขาที่ถูกยิงลูกศรใส่ก่อนหน้านี้ เริ่มเกิดความรู้สึกชาดิกขึ้นมาเล็กน้อย

ลูกศรอาบยาพิษ?

ลูกศรที่ถูกยิงออกมาดอกแรกมักเป็นดอกที่อันตรายมากที่สุด

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

หลินเป่ยเฉินรีบหยิบยาถอนพิษตรายินเคียวโกยตั๊กเพี่ยงออกมาอมเอาไว้ใต้ลิ้น

เดิมที เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์จากพลังอัคคีเทวะของเขาก็มีฤทธิ์สามารถล้างพิษได้อยู่แล้ว เมื่อประกอบเข้ากับอานุภาพในการถอนพิษจากยายินเคียวโกยตั๊กเพี่ยง การถูกพิษเล่นงานครั้งนี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงอันใด

แต่อย่างไรก็ตาม การลงมือซุ่มโจมตีจากกลุ่มนักฆ่าในความมืดเหล่านี้ ทำให้หลินเป่ยเฉินตระหนักว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ข้อมูลของเขาเป็นอย่างดี จึงทำให้พวกมันสามารถหลบหลีกเถาวัลย์สายฟ้าได้ในตอนแรก

กลุ่มมือสังหารมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

แสดงว่าพวกมันแอบเฝ้าดูเขามานานแล้วใช่หรือไม่?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของตนเอง

ใครกันนะที่ต้องการฆ่าเขาถึงขนาดนี้?

พลันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวในอากาศ

ฉับพลันนั้น แผ่นหลังของเด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบ

กระบี่ยาวเล่มหนึ่งแทงเข้าใส่แผ่นหลังของเขา

กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์

เพราะมันสามารถทนทานเปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างกายของเขาได้โดยไม่ละลายกลายเป็นโลหะเหลว

“เชี่ยเอ๊ย!”

หลินเป่ยเฉินกระซิบ “ตายซะเถอะ!”

พรึ่บ!

เขาควบคุมกล้ามเนื้อให้หนีบคมกระบี่เอาไว้ ผู้โจมตีจึงไม่สามารถชักกระบี่กลับออกไปได้

ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็วาดกระบี่เพลิงโลกันตร์ไปทางด้านหลัง

วูบ!

และมือสังหารก็ต้องสลายกลายเป็นหมอกควันไปอีกหนึ่งคน

หลินเป่ยเฉินไขว้มือของตนเองไปด้านหลังและชักกระบี่ที่เสียบติดแผ่นหลังออกมา

มันเป็นกระบี่สีเขียวเข้ม ลักษณะไม่หรูหรา ไม่น่าเกรงขาม แต่กลับมีน้ำหนักไม่เบา

เมื่อแทงทะลุเข้ามาใต้ชั้นผิวหนังของเขา ตัวกระบี่จึงสัมผัสกับพลังอัคคีเทวะในระดับรุนแรง ส่งผลให้บัดนี้กระบี่จึงหลอมละลายไปแล้วครึ่งเล่ม

แต่ก็ยังคงมีค่าอยู่ดี

หลินเป่ยเฉินรีบเก็บกระบี่ครึ่งเล่มนี้โดยไม่รอช้า

เพราะเขาสามารถเอาไปขายต่อในแอป Xianyu ได้แน่นอน

“พวกมันโจมตีทั้งอาวุธระยะใกล้และระยะไกล ซ้ำยังมีหมอกควันอำพรางสายตา… แสดงว่ามือสังหารกลุ่มนี้เตรียมตัวมาดีจริง ๆ…”

“เราคงประมาทการโจมตีของพวกมันไม่ได้แล้ว”

ข้างขมับของหลินเป่ยเฉินมีเม็ดเหงื่อเย็นเยียบไหลลงมา

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินยังถูกคมกระบี่แทงใส่บริเวณหัวไหล่ซ้ายและขาขวา

ล้วนแต่เป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

ดีที่บาดแผลไม่ลึกนัก

แต่เห็นได้ชัดว่าอาวุธเหล่านั้นเคลือบยาพิษรุนแรงเอาไว้

หลินเป่ยเฉินจึงไม่สามารถรักษาพิษได้ในระยะเวลาสั้น ๆ

เป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง

กลุ่มมือสังหารวางแผนมารัดกุมมากเกินไป

พวกมันล่วงรู้ขีดจำกัดของร่างกายเขา

หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว

หากยังดื้อดึงสู้ต่อไป นี่ก็ไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่ช้าก็เร็ว เขาต้องพบกับความตายแน่นอน

“เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้…”

คิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็รีบสั่งให้เสี่ยวจี้ฉายภาพจำลองสี่มิติของตนเองออกมา

และพริบตาต่อมา หลินเป่ยเฉินจำนวนหกคนก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจฝ่ายตรงข้าม

ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็อาศัยจังหวะที่มือสังหารปรากฏตัวออกมาโจมตีร่างจำแลงของเขา ควงกระบี่เข้าไปปลิดชีพมัน

วูบ!

กระบี่ไฟเผาผลาญมือสังหารตายไปอีกสี่คน

แต่อีกฝ่ายก็โต้ตอบกลับมาอย่างน่ากลัว

เพราะไม่ทราบด้วยเหตุผลอันใด พวกมันจึงมองออกแล้วว่าเขาคนไหนคือตัวจริง ไม่ใช่ภาพสี่มิติที่ถูกฉายออกมา

พลังเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งบวกกับมือสังหารที่ไม่กลัวตายนี่มันน่ากลัวจริง ๆ เลยโว้ย!

หลินเป่ยเฉินลอบสบถอยู่ในใจ

ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะเหตุใดเผ่าเทพพงไพรถึงเลี้ยงดูนักเวทกับนักรบเทวะเอาไว้มากพอ ๆ กัน

เพราะเมื่อนำคนทั้งสองกลุ่มนี้มาร่วมมือกัน ก็จะกลายเป็นขุมกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

เขาต้องรีบหาตัวนักเวทที่กำลังร่ายคาถาอยู่นี้ให้พบเจอโดยเร็วที่สุด เมื่อสามารถสลายม่านหมอกอาคมลงไปได้แล้ว ชัยชนะก็จะตกมาอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

แต่ว่า…

หลินเป่ยเฉินจะหาตัวนักเวทผู้นั้นได้อย่างไร?

เขาลองพยายามอยู่หลายครั้ง

แต่ก็ล้มเหลวหมดทุกครั้ง

ในม่านหมอกควันเขียว หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงพลังคุกคามเข้ามาจากรอบทิศทาง

เขาไม่สามารถระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้เลย

หากมีกงกงอยู่ข้างกาย องครักษ์คู่ใจของเขาก็น่าจะสามารถจัดการนักเวทในความมืดได้ไม่ยาก

แต่โชคร้ายที่เขาสั่งให้กงกงรั้งอยู่ในหอการค้าคนแคระเทวะเพื่อปกป้องชิงเล่ย

แล้วยังจะเหลือใครสามารถช่วยเขาได้อีกไหม?

ทันใดนั้น ชื่อของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของหลินเป่ยเฉิน

“จะไม่สนใจกันเลยหรือ? หากไม่สนใจกันจริง ๆ ข้าจะตายให้ดูเดี๋ยวนี้”

หลินเป่ยเฉินรีบสื่อสารออกไปอย่างเร็วไว

“อีกไม่เกินหนึ่งก้านธูป มันจะต้องตายอย่างแน่นอน”

บุรุษหนุ่มผมม่วงตาม่วงเซี่ยไฉ่เหวินโบกพัดขนนกในมือพลางกล่าวว่า “สามารถยื้อเวลาตายได้นานถึงขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นยอดอัจฉริยะผู้ทำลายสถิติในการค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่… นับว่าทำให้ข้าตื่นเต้นยิ่งนัก”

เมื่อก่ายปาหวงเห็นหลินเป่ยเฉินยืนเลือดท่วมตัวอยู่ในม่านพลัง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความเกลียดชัง

เป็นยอดอัจฉริยะ?

เป็นคนสนิทของฉินโซว?

เป็นผู้ที่ทำลายสถิติในการแข่งขัน?

สุดท้ายก็ต้องมาตายด้วยมือของเขาอยู่ดี

ก่ายปาหวงยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะ

“แหม ยิ้มแย้มมีความสุขเชียวนะ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู

“แน่นอนสิ ฮ่า ๆๆ เมื่อสังหารอัจฉริยะหน้าโง่ผู้นี้ได้ตามแผนการที่ข้าวางเอาไว้ เหตุไฉนข้าจะมีความสุขไม่ได้…” ก่ายปาหวงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความสะใจ

แต่เสียงหัวเราะของเขาก็ขาดหายไป เพราะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของเซี่ยไฉ่เหวิน

ก่ายปาหวงหันหน้ามองกลับไปทางด้านหลังโดยไม่รู้ตัว

ทันใดนั้น วิญญาณของเขาก็แทบหลุดลอยออกจากร่าง

“จะ… จะ… เจ้า…”

ลำคอของชายวัยกลางคนแห้งผาก สองขาไร้เรี่ยวแรง ความหวาดกลัวกลืนกินจิตใจ ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

เพราะบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังก่ายปาหวงนั้นคือเจี๋ยนเซียวเหยา ซึ่งสมควรตายอยู่ในค่ายอาคมเวทมนตร์ห่างไกลออกไปสองลี้

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือตบไหล่เซี่ยไฉ่เหวินทำให้บุรุษหนุ่มผมม่วงต้องยืนตัวแข็งทื่อด้วยความตื่นตระหนก

ดวงตาที่เป็นประกายคมกริบราวกับคมกระบี่ของหลินเป่ยเฉินจ้องมองไปที่ก่ายปาหวง

“เจ้าทำให้ข้านึกถึงใครบางคน”

หลินเป่ยเฉินกล่าว “มันเป็นหมูอ้วนที่มีนามว่าเกอสือเหนียน ไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรกับเจ้า?”

ก่ายปาหวงกัดฟันกรอดตอบว่า “เขาคือพี่ชายของข้า”

“เจ้าก็เลยอยากจะสังหารข้าเพื่อแก้แค้นให้แก่พี่ชาย?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “เจ้าไม่ใช่สาวกเผ่าเทพพงไพรใช่หรือไม่?”

ก่ายปาหวงรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเมื่อตนเองถูกเจี๋ยนเซียวเหยาเปิดโปงเช่นนี้ เขาก็ไม่มีทางหนีความตายพ้นอีกแล้ว ก่ายปาหวงจึงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใช่แล้ว เจ้าทำให้พี่ชายของข้าต้องเสียตำแหน่งผู้ดูแลหอการค้าและยังส่งตัวเขาเข้าสู่หอลงทัณฑ์ ซึ่งทำให้มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตกตาย แล้วข้าจะไม่แก้แค้นให้แก่เขาได้อย่างไร?”

“ไม่เลย เจ้าไม่ได้แก้แค้นให้แก่พี่ชายสักหน่อย”

หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้รู้ทัน “แม้ข้าจะไม่ล่วงรู้ถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าพี่น้องก็เถอะ แต่สัญชาตญาณบอกข้าว่าเจ้าไม่ได้ให้ค่าพี่ชายสูงส่งถึงเพียงนั้น… บอกมาซะดี ๆ ผู้ใดใช้ให้เจ้ามาสังหารข้า?”

ก่ายปาหวงหัวใจกระตุกวูบด้วยความตื่นตระหนก ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าพูดคำใด

“ขะ…ขอข้าน้อยขัดจังหวะได้หรือไม่?”

บุรุษหนุ่มผมม่วงเซี่ยไฉ่เหวินกล่าวแทรกขึ้นเสียงสั่นเครือ