สงครามหรืออะไร
เหล่าลูกศิษย์เขาหลีซานหลายคนล้วนเคยรับใช้ในแนวหน้า เคยเข้าร่วมสงครามกับเผ่ามาร
แต่ถ้าจะอธิบายเกี่ยวกับสงครามแล้ว ไม่มีใครเทียบเจ๋อซิ่วได้เลย
กวนเฟยไป๋และคนอื่นๆ มองไปทางชิวซานจวิน
ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญพรตหรือว่าการใช้ชีวิต เมื่อพบเรื่องยุ่งยากใจ พวกเขาล้วนไปขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่ใหญ่ นี่เป็นความคุ้นชินที่ปฏิบัติมานานหลายปี
ชิวซานจวินเอ่ย “ไม่ต้องมองข้า ข้าก็ไม่รู้ อีกอย่างข้าไม่คิดอยากรู้ด้วย”
กวนเฟยไป๋และคนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่โก่วหานสือกลับตกตะลึง เพราะเขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ของประโยคนี้
ก่อนหนานเค่อจากไปเอ่ยว่า อีกไม่นานทุกคนจะพบกันที่นั่น
หรือว่าศิษย์พี่ท่าน…จะไม่ไปที่นั่นหรือ
……
……
แสงยามเช้าค่อยๆ สว่างขึ้น ทุ่งหญ้าเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน และบาดแผลที่ถูกทับด้วยภูเขามีความยาวหลายสิบลี้ ดูแล้วโอ่อ่าอยู่บ้าง
ว่าวกระดาษขนาดมหึมาปลิวไปไกลตามแรงลม ไม่รู้ว่าเมื่อคืนว่าวนั้นถูกซ่อนไว้ที่ใด และเขาเอามันออกมาได้อย่างไร นกกระเรียนสีขาวอยากรู้อยากเห็นมาก มันกระพือปีก บินขึ้นตามว่าวเป็นระยะทางกว่าสิบลี้ จนกระทั่งเซียวจางที่อยู่ใต้ว่าวทนไม่ไหวรู้สึกอายที่ถูกจ้องมองจึงสบถออกมา สวีโหย่วหรงจึงได้เรียกมันว่ากลับมา
หวังผ้อเองก็เตรียมจากไปแล้ว ไม่ได้สนทนาอะไรกับเฉินฉางเซิงมากนัก เขาเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับเซียวจาง เนื่องจากทุกคนทราบดี ไม่นานก็จะได้พบกันอีกครั้ง
เขาให้กิเลนเมฆาอัคคีอยู่ต่อ ไม่ได้เอ่ยออกมาว่าเป็นเจตนาของเขาหรือว่าท่านนั้นที่ลั่วหยาง เฉินฉางเซิงเดาว่าน่าจะเป็นคนหลัง
วสันตฤดูอบอุ่นนัก ต้นไม้ใบหญ้าโตเร็ว เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเดินลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า ก่อนพบร่องรอยที่หลงเหลือเอาไว้ของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์
สวนโจวในปีนั้น เขาคิดว่านางเป็นหญิงสาวเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่มากู้บ้านกู้เมืองตน ต่อมาเมื่อนำกระบี่ทุกเล่มในสวนโจวคืนแก่แต่ละพรรคในใต้หล้าแล้ว ใต้เท้าสังฆราชถามเขาว่าต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล เขาหยิบยกเงื่อนไขหนึ่งขึ้นมา ก็คือต้องการทุ่งหญ้าผืนนี้ สิ่งที่เก็บอยู่ในใจก็คืออยากช่วยนางทำตามความปรารถนาให้สมบูรณ์
ต่อมาเขาจึงได้รู้ว่านี่คือความเข้าใจผิด และก็ทราบดีว่าเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ย้ายไปต้าซีโจวอันแสนไกล ไม่ได้มีความคิดจะกลับคืนสู่ดินแดนตงถู่
ทุ่งหญ้าผืนนี้กลายเป็นทรัพย์สมบัติของเขาและสวีโหย่วหรง
จากบางมุมแล้ว ทุ่งหญ้าผืนนี้คือของหมั้นหมาย จะเข้าใจว่าเป็นสินสอดก็ได้
ลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า เฉินฉางเซิงแบมือซ้ายใต้แสงอาทิตย์ บนฝ่ามือมีไข่มุกศิลาสีดำอยู่เม็ดหนึ่ง
ติดตามมาหลังจากเสียงลมพายุโหม เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ยังมีกลิ่นเหม็นสาบมาจางๆ ดวงอาทิตย์ในวสันตฤดูถูกบดบัง ฟ้าดินมืดครึ้ม
อสูรปีศาจหลายหมื่นตัวปรากฏตัวบนทุ่งหญ้า เป็นคลื่นสีดำทะมึนราวกับคลื่นน้ำ
อสูรปีศาจที่ดุร้ายและกระหายการต่อสู้อันลือชื่อนี้ กลับไม่มีตนใดก่อความวุ่นวาย ต่างหมอบอยู่บนพื้นอย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจเสียงดังด้วยซ้ำ
อสูรปีศาจเหล่านี้มาจากสวนโจว
อ้างอิงตามคำสัญญาในตอนแรกระหว่างเฉินฉางเซิงและเหล่าอสูรปีศาจแล้ว ตนที่ยินดีจะจากสวนโจวไป ตอนนี้เขามาส่งถึงทุ่งหญ้าของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์แล้ว
จำนวนอสูรปีศาจที่ยินดีจะจากสวนโจวไปมีถึงหนึ่งในสามของจำนวนอสูรปีศาจในสวนโจวทั้งหมด
อสูรกระทิงและยักษ์ล้มภูเขาไม่ได้ออกมา พวกมันเคยชินที่จะใช้ชีวิตอยู่ในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลแล้ว หลายร้อยปีก่อนก็พบเจอความทารุณของโลกที่แท้จริงนี้มามากนัก จึงไม่น่าแปลกใจเลย
วานรดินออกมาแล้ว คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าสุดของกลุ่มอสูรปีศาจ ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ใกล้กับเฉินฉางเซิงที่สุดนั่นเอง จุมพิตลงบนโคลนที่อยู่หน้าเท้าของเขาไม่หยุด
“จำไว้ว่าอย่าไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับวานรดิน
นี่คือคำสัญญาข้อหนึ่ง
ทุ่งหญ้าที่เคยเป็นของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ผืนนี้กว้างใหญ่นัก พรมแดนยังมีแนวเทือกเขาที่ทอดยาวสองเส้น หากไม่ใช่เพราะหนาวเย็นเกินทน กลิ่นอายโลหิตหนาแน่นเกินไป แทบจะไม่รกร้างเหมือนตอนนี้เลย แต่สำหรับเหล่าอสูรปีศาจแล้ว นี่ล้วนเป็นอุปสรรคที่เอาชนะได้ทั้งสิ้น
“ท่านเคยคิดไหมว่า เมื่อเหล่าอสูรปีศาจแพร่พันธุ์เพื่อดำรงชีวิต จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดความยุ่งยากอะไรขึ้นจากนี้”
สวีโหย่วหรงมองไปยังเหล่าอสูรปีศาจที่กระจายตัวไปรอบทิศ สีหน้านางซับซ้อนอยู่บ้าง
“นั่นคือเรื่องหลายพันปีต่อมาแล้ว เหตุใดจึงต้องคิดไกลเพียงนั้นเล่า”
เฉินฉางเซิงขบคิด ก่อนเอ่ยต่อ “ข้าคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนนั้น”
สวีโหย่วหรงเอ่ยต่อ “ก็เพราะตอนนั้นท่านตายเสียแล้ว จึงได้คิดถึงปัญหาข้อนี้ นอกจากท่านแล้ว อสูรปีศาจเหล่านี้ไม่เชื่อฟังคำสั่งคนมนุษย์คนใดเลย”
เฉินฉางเซิงถอนใด “วาจานี้ก็มีเหตุผล”
สวีโหย่วหรงยังเอ่ยต่อ “อสูรปีศาจเหล่านี้หากมีไว้เพื่อรบกับพลหมาป่าเผ่ามาร น่าจะดีมาก”
คำถามก่อนหน้า เฉินฉางเซิงไม่มีทางตอบได้ จึงหดหู่ใจ แต่คำถามนี้เขาคิดจะตอบอย่างตั้งใจ
“นี่คือสงครามระหว่างพวกเราและเผ่ามาร ไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะเข้าร่วม อันตรายมากไป”
สวีโหย่วหรงเอ่ย “สงครามกับเผ่ามารไม่ใช่ว่าควรใช้พลังทั้งหมดที่มีหรอกหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ข้าไม่คิดอย่างนั้น ขอเพียงพยายามเต็มที่ก็พอ”
คืนก่อนบรรพตเยียนจือยับยั้งไม่ใช้บรรพตจิ้งพัวและบรรพตอีชุนแก้แค้นเพื่อเขา ให้พวกเขาจากไปเสีย หลังจากนั้นก็เอ่ยคำพูดเหล่านี้
เขาพยายามเต็มที่เพื่อเผ่ามารแล้ว หลังจากสิ้นใจก็มีหน้าไปพบอาจารย์ของตนแล้ว อย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มอีก
เฉินฉางเซิงไม่เคยคิดว่าหลังจากสิ้นแล้วจะมีหน้าไปพบอาจารย์อาและมหามุขนายกเหมยหลี่ซาหรือไม่ เขาเพียงต้องคิดว่าเรื่องที่ตนทำนั้นเพียงพอจะโน้มน้าวตนเองหรือไม่
เนื่องจากที่เขาบำเพ็ญนั้นคือมรรคาตามใจปรารถนา
สุดท้ายผลสรุปที่เขาได้ก็คล้ายคลึงกับบรรพตเยียนจือ พยายามเต็นที่แล้วเป็นดี ขอเพียงพยายามเต็มที่แล้ว ก็สบายใจแล้ว
แล้วอย่างไรจึงจะถือว่าพยายามเต็มที่ สละชีพเพื่อสิ่งนี้ แต่ไม่ต้องเสียสละเพื่อสิ่งนี้มากไปก็พอหรือ
อาทิเช่นการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตกับโลกใบนี้
นี่มันสำคัญกว่าการมีชีวิตอยู่มากนัก
สวีโหย่วหรงคิด ก่อนเอ่ย “ต่อให้ท่านคิดอย่างนี้ แต่ก็ไม่ควรพูดออกมา”
เขาเป็นถึงใต้เท้าสังฆราชของเผ่ามนุษย์ การกระทำและคำพูดมีผลกระทบมากนักต่อสาวกผู้ภักดี และอาจมีผลต่อแนวทางการต่อสู้ฉากนี้ด้วยซ้ำ
เฉินฉางเซิงเข้าใจเจตนาของนางดี เขาเอ่ยอย่างจนใจ “ข้าเพียงเอ่ยกับพวกเจ้าเท่านั้น”
เมื่อสถานะของเขากลายเป็นที่เคารพนับถือมากขึ้น บารมีของเขาก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขามีหลายสิ่งที่ไม่สะดวกจะทำ อาทิเช่นเขาไม่สามารถนั่งเคียงข้างถังซานสือลิ่วบนต้นไทรใหญ่ช่วยกันกะเทาะเปลือกไม้และนำไปทุบปลาหลีในทะเลสาบและให้เสวียนหยวนผ้อใส่ขิงแก่และพริกเขียวให้มากขึ้นเพื่อเคี่ยวให้ปลาหลีที่อวบอ้วนนี้ต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงและสุดท้ายก็โยนกุ้งมังกรสีน้ำเงินชิ้นใหญ่สิบชิ้นขึ้นมาเคี้ยวอย่างสนุก
กฎของสำนักฝึกหลวงเขียนไว้ชัดเจน ห้ามจับปลาและตกปลาและตีปลาและการทำอันตรายใดๆ ต่อปลา ซูม่ออวี๋นั้นเข้มงวดเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือยังมีอาจารย์และนักเรียนจำนวนมากที่เฝ้าดู กุ้งมังกรสีครามสิบตัวฟุ่มเฟือยเกินไป ถังซานสือลิ่วสามารถกินได้ แต่สมเด็จพระสังฆราชกลับไม่สามารถกินได้
สวีโหย่วหรงทราบดีว่า ‘พวกเจ้า’ ในที่นี้หมายถึงคนกลุ่มใด
นอกจากนาง ก็คือคนเหล่านั้นในสำนักฝึกหลวง
ต่อให้คนเหล่านั้นมีบางคนได้จากสำนักฝึกหลวงไปแล้ว กลับไปยังเมืองไป๋ตี้ หรือบางทีก็กลับไปยังเขาหลีซาน
พวกเขายังคงเป็นคนที่เฉินฉางเซิงเชื่อใจที่สุด สนิทที่สุด
“ถังซานสือลิ่วคงรู้สึกเพียงว่าอสูรปีศาจเหล่านี้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ช่างน่าเสียดาย แต่เจ๋อซิ่วจะต้องโกรธมากแน่นอน จากมุมมองของลูกหมาป่าผู้นั้น เรื่องใดที่จะมีส่วนให้การช่วยในการสังหารศัตรูล้วนน่าจะทำ พฤติกรรมนี้ดูเหมือนจะเมตตา ใจกว้าง ผ่าเผย ที่จริงก็เพียงแค่โง่เขลาเท่านั้น”
หัวคิ้วของสวีโหย่วหรงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
แต่ก็ยังงดงามราวกับภาพวาด
“อาจจะใช่”
เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างขมขื่น “รู้สึกว่าเจ้าเองก็คิดอย่างนี้เช่นกัน”
สวีโหย่วหรงไม่ได้สนใจเขา หันหลังเดินจากไป