เมื่อเจี่ยงหมิงได้ยินว่าเย่เฉินจะบริจาคเงิน1ล้าน ก็ไม่เชื่ออย่างแน่นอน พูดเยาะเย้ยว่า : “เย่เฉิน คุณจะโอ้อวดอะไรก็ไม่คิดให้ดีก่อนเลยนะ บริจาคเงินให้แก่สถานสงเคราะห์ 1ล้าน นายน่ะถึงตายก็ต้องรักษาหน้าไว้ แม้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อรับกรรมก็ตามแต่ก็ยังจะไม่ยอมรับ นายสามารถเอาเงิน1ล้านออกมาได้ไหม?”

เย่เฉินพูดอย่างราบเรียบว่า : “ในเมื่อฉันพูดแล้ว ก็จะต้องเป็นไปตามที่พูดไว้ คงจะไม่เหมือนกับนายหรอกนะ หาเรื่องให้เกิดอุบัติเหตุรถ​ชนเพื่อปลีกตัว!”

เจี่ยงหมิงรู้ว่าเย่เฉินจงใจที่จะเยาะเย้ยตัวเอง เมื่อคิดถึงเรื่องรถชน เขาก็รู้สึกโมโหอย่างมาก

รู้ตั้งนานแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ตัวเองคงไม่เล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆนี้หรอก อย่างมากก็บริจาครถหนึ่งคัน น่าจะดีกว่าตอนนี้นะ?

ดูตัวเองในตอนนี้สิ สูญเสียอย่างสาหัสสากรรจ์มากแค่ไหน!

แต่ว่า เขาก็ยังคงไม่เชื่อว่า เย่เฉินจะสามารถบริจาค1ล้านได้

ดังนั้นจึงพูดเยาะเย้ยว่า : “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าตอนนี้นายมีคุณธรรมอะไร ลูกเขยคนหนึ่งที่แต่งเข้าบ้านเจ้าสาวต้องพึ่งพาให้ภรรยาเลี้ยง นายจะเอาเงินเยอะแยะขนาดนี้มาจากที่ไหนกัน ไปปล้นธนาคารมาเหรอ?”

เจิ้งเสียงที่อยู่ข้างๆก็ช่วยพูดเสริมว่า : “เย่เฉิน นายก็อย่าทำอะไรเกินตัวเลยนะ เสแสร้งแบบนี้จะมีความหมายอะไร มีความสามารถแค่ไหนกัน ถึงได้ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่าทำให้ครอบครัวต้องล่มจมเพียงเพราะการเสแสร้งเลยนะ สุดท้ายก็จะโยนความผิดมาให้พวกเราอีก!”

เย่เฉินยิ้มอย่างไม่แยแส : “นายไม่ต้องมาสนใจว่าฉันจะปล้นมาจากธนาคารหรือว่าอะไร สรุปแล้วคือเงิน1ล้านฉันสามารถเอาออกมาได้ แล้วนายล่ะ ถ้าหากฉันสามารถบริจาคเงิน1ล้านได้ งั้นนายจะบริจาคเท่าไหร่?”

เจี่ยงหมิงพูดเยาะเย้ยว่า : “ถ้าหากนายสามารถบริจาคเงิน 1ล้านได้ กูก็จะบริจาค 10 ล้าน พูดโอ้อวดใครจะทำไม่เป็นบ้างล่ะ นายคงพูดพล่อยๆออกมาแล้วใช่ไหม?”

คนทั้งโต๊ะต่างก็หัวเราะเสียงดัง​สนั่นหวันไหว

เพราะว่า ทุกคนต่างก็คิดว่าเย่เฉินคนนี้ถึงตายก็จะรักษาหน้าไว้ แม้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อรับกรรมก็ตาม

ถ้าพูดว่าเย่เฉินบริจาคเงินหนึ่งแสนแปดหมื่นกลับว่ามีคนเชื่อ ถึงอย่างไรภรรยาของเขาก็พึ่งพาได้ และก็มีรถBMWขับ สันนิษฐานว่าในครอบครัวก็น่าจะไม่ขัดสนเงินจำนวนนี้

แต่ถ้าพูดว่าบริจาคเงิน 1ล้าน งั้นก็ไม่ค่อยจะสมจริงเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าจะขายรถBMWแล้วก็ยังไม่พอเลย!

ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่พอจะเชื่อมั่นในเย่เฉินจริงๆ ก็มีเพียงแค่ป้าหลี่ หลี่เสี่ยวเฟิน และเซียวชูหรันภรรยาของเขาเท่านั้น

หลี่เสี่ยวเฟินและป้าหลี่ต่างก็รู้จักนิสัยของเย่เฉินดี ถ้าหากไม่เป็นเรื่องที่มั่นใจ เขาจะไม่มีทางพูดออกมาจากปากแน่นอน

ส่วนเซียวชูหรัน เห็นสิ่งแปลกประหลาดจนชินไปนานแล้ว

ปกติเย่เฉินจะดูฮวงจุ้ยให้แก่คนอื่น ล้วนแต่หาเงินกลับมาได้กว่าสองล้าน บริจาคเงิน1ล้านให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

แต่ว่าเธอกลับกระซิบถามเย่เฉินหนึ่งประโยคว่า : “เย่เฉิน คุณแอบไปดูฮวงจุ้ยให้คนอื่น ลับหลังฉันอีกแล้วใช่ไหม?”

เย่เฉินพยักหน้า หัวเราะด้วยใบหน้าที่มีความสุขพร้อมกล่าวว่า : “ก็คือลูกชายของคุณน้าหานน่ะ พอล เพื่อนคนนี้มาเปิดสำนักงานทนายความที่จินหลิงไม่ใช่เหรอ ก็เลยเชิญให้ผมไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้ ผมก็ไป”

เซียวชูหรันพูดอย่างเก้ๆกังๆว่า : “คนสนิทคุณก็หลอกเหรอ?มันเหมาะเหรอ?”

“แบบนี้จะเรียกว่าหลอกกันได้ยังไงล่ะ?” เย่เฉินพูดอย่างจริงจังว่า : “คุณและผมล้วนแต่เต็มใจนะ!”

เซียวชูหรันจนใจ ถามว่า : “คุณเรียกเงินจากคนเขามาเท่าไหร่?”

เย่เฉินหัวเราะเฮยเฮย : “1ล้าน”

เซียวชูหรันถูที่ขมับแล้ว : “คุณใจดำมาก……คนสนิทกันยังเรียกเงินขนาดนี้……”

จริงๆแล้ว เซียวชูหรันไม่รู้ พอลให้เย่เฉินทั้งหมดสิบล้าน

แต่ว่าเงินสิบล้านนี้แบ่งเป็นสองก้อน

ให้เช็คจำนวน 1 ล้านมาก่อน

หลังจากนั้นค่อยให้เช็คจำนวน 9 ล้านมาอีก

เดิมทีเย่เฉินคิดว่า แม้ว่าจะบริจาคให้สถานสงเคราะห์ทั้งหมด 10ล้าน จริงๆแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

———