หุบเขาเจิดจรัสถูกคนหลายคนตรวจสอบหลายครั้ง ตั้งแต่ข้างในไปจนถึงข้างนอก ไม่เพียงแต่เครื่องเรือนที่มีอยู่แต่เดิมในหุบเขาถูกนำไปตรวจสอบทั้งหมดเท่านั้น แม้แต่สภาพภูมิประเทศของที่นี่ก็ถูกปรับปรุงเช่นกัน
วลี ‘ขุดดินขึ้นมาสามฉื่อ’ ก็ยังบรรยายไม่ได้
ตามคำกล่าวของหวังผู่ เป็นเพราะการตรวจสอบและการสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่า การไหลเวียนของชีพจรดินและปราณวิญญาณในปัจจุบันของหุบเขาเจิดจรัสจึงแตกต่างไปจากเดิม
“ที่นี่ร้างมาหลายปีแล้ว แต่ว่ามารดาของเจ้ามีไหวพริบปฏิภาณ จงใจกระทำตรงข้ามกับสามัญสำนึก ยังได้ลอบกลับมาอาศัยอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง” หวังผู่ว่า “ดังนั้นหลังจากนางจากไป ที่นี่ก็ถูกตรวจสอบอีกครั้ง”
เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง “ถือว่าเข้าใจได้”
คนจำนวนมากรวมถึงประมุขปฐวีหวังเจิ้งเฉิงตั้งใจจับเสวี่ยชูฉิง จะมากจะน้อยก็ไม่ได้เป็นเพราะแรงกดดันและความต้องการจากโถงเซียน แต่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกสนใจชิ้นส่วนศิลาฟ้ากำเนิดนั้น
ไม่ว่าความสามารถที่แท้จริงของศิลาฟ้ากำเนิดจะเป็นไปตามที่อิ่นเทียนเซี่ยและหูเยว่ซินบอกหรือไม่ แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นของวิเศษที่เทวกษัตริย์ไร้ประมาณและโถงเซียนต้องการได้มาครอง มูลค่าสมควรไม่ต่ำต้อย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเก็บไว้เองหรือมอบให้คนอื่น ก็มีความจำเป็นต้องตามหา
หุบเขาเจิดจรัสถูกค้นจนว่างเปล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสมบัติพัสถาน
เยี่ยนจ้าวเกอเดินสำรวจรอบหนึ่ง ไม่ได้พบอะไร ทว่าเขารู้สึกแปลกใจอยู่หลายส่วน คล้ายกับในห้วงสมองมีประกายความคิดแวบผ่าน แต่พริบตาเดียวก็หายไป ไม่อาจคว้าจับไว้ได้
หลังจากตรวจสอบอีกรอบและไม่ค้นพบอะไร เยี่ยนจ้าวเกอก็ได้แต่สงบจิตใจ ออกจากหุบเขาเจิดจรัสพร้อมกับหวังผู่
คนทั้งสองตามหาสถานที่อื่นๆ ที่ว่ากันว่าเสวี่ยชูฉิงเคยปรากฏตัวขึ้นไปเรื่อยๆ
สถานที่คล้ายๆ กันซึ่งอยู่ในการคาดการณ์ จะต้องถูกคนจำนวนไม่น้อยตรวจสอบไปแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้มีเบาะแสเหลืออยู่ ก็คงถูกคนที่มาก่อนหน้าเอาไปหรือทำลายไป
หวังผู่นำทางให้แก่เยี่ยนจ้าวเกออย่างอดทนยิ่ง ถึงเขาจะรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อะไร เพียงแต่ช่วยให้รู้สึกสงบใจเท่านั้น แต่ก็เดินทางเป็นเพื่อนเยี่ยนจ้าวเกอโดยไม่โอดครวญ
เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ได้ผิดหวัง ตรงกันข้าม ขณะที่เดินทาง เขาเพียงรู้สึกว่าความคิดในห้วงสมองยิ่งมายิ่งแจ่มชัด อีกทั้งรู้สึกว่าตนคว้าจับประกายความคิดก่อนหน้านี้ไว้ได้แล้ว
สถานที่ที่เสวี่ยชูฉิงเคยอยู่ ถึงแม้ว่าจะเหลือเบาะแสที่มีคุณค่าอันใด แต่ว่าที่อยู่ของสถานที่เหล่านี้ก็ทำให้ผู้คนต้องขบคิดใคร่ครวญ ถ้าหากว่าเชื่อมโยงที่อยู่สองแห่งที่แตกต่างกัน จากนั้นก็วาดเส้นตรงลงไป ก็คล้ายกับแฝงแบบแผนอะไรสักอย่าง
พอสัมผัสเรื่องนี้ได้ เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกว่ามารดาของตนไม่ธรรมดาจริงๆ แม้ว่ากำลังจะหนีตาย แต่ก็ไม่ได้เอาแต่หนีอย่างเดียว ถึงขั้นที่มีการวางแผนไปด้วย หรือจะบอกว่าการทำภารกิจบางอย่างให้สำเร็จอาจจะเป็นแผนการของตัวนางเอง หรืออาจจะเป็นคำสั่งของสำนักของนางก็เป็นได้
ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอยังไม่เข้าใจแบบแผนนี้ เพราะสถานที่ที่เสวี่ยชูฉิงเคยซ่อนตัว เป็นที่พักพิงฉุกเฉินที่ใช้ชั่วคราวเพราะเกิดเรื่องด่วนขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ มันเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะกับแบบแผนนั้น ไม่ได้อยู่ในแผนการของนาง
ในขณะเดียวกัน เพื่อปกปิดเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง เสวี่ยชูฉิงจะต้องมีสถานที่จงใจเอาไว้ลวงฝ่ายตรงข้ามมากมาย
หลังจากที่กำจัดที่อยู่เหล่านี้ออกไปอย่างแม่นยำ จึงจะเห็นลักษณะเดิมของเส้นทางในแผนการของนาง นอกจากนี้ยังมีที่ซ่อนบางแห่งที่คนไม่รู้และไม่ถูกค้นพบ
ตอนที่ยังไม่ได้ยืนยันสถานที่เหล่านี้ เยี่ยนจ้าวเกอยังมองไม่ออกว่าด้านในนี้ซ่อนความน่าอัศจรรย์อะไรเอาไว้กันแน่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่นางเคยไป ส่วนใหญ่แล้วล้วนได้รับการตรวจสอบจากผู้ไล่ตาม ต่อให้เหลือกลไกพิเศษอยู่ แต่ก็ถูกคนจัดการไปนานแล้ว
แผนการของนางมีประโยชน์อะไรกันแน่
หรือว่าเพียงแค่เคยมาก็ถือว่ามากพอแล้ว
นอกจากนั้น เส้นทางในแผนการของนางในตอนนี้ล้วนไปเยือนหมดสิ้นแล้วหรือไม่
ห่างจากจุดหมายขนาดไหน
“นอกจากตัวข้าแล้ว ยังมีคนอื่นมองเรื่องนี้ออกหรือไม่” เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดในระหว่างทาง
พอมาถึงตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่คิดจะเดินทางต่อไปอีกแล้ว เขามองดูแผนที่อันกว้างใหญ่ของโลกซ้อนโลก แยกแยะสถานที่ที่เสวี่ยชูฉิงเคยปรากฏตัวขึ้นตามข้อมูลที่หวังผู่บอก
จากนั้นเขาก็สังเกตดูเส้นแต่ละเส้นที่อาจจะคงอยู่บนจุดแต่ละจุด รวมถึงจุดสองจุดที่ไม่เหมือนกันบนแผนที่
ชายหนุ่มรู้สึกว่าน่าจะมีคนอื่นคิดถึงความเป็นไปได้นี้เช่นกัน แม้จะสงสัยว่าเสวี่ยชูฉิงมีความคิดประหลาดเช่นนี้จริงๆ หรือไม่ แต่ก็คงไม่ละทิ้งความเป็นไปได้ใด
ผู้ใดจะมองความจริงออกและหาแบบแผนเจอ ก็จำเป็นต้องดูประสบการณ์และการสั่งสมแล้ว
ด้วยระดับของจิตใจในปัจจุบันของเยี่ยนจ้าวเกอ การสร้างเส้นสายเป็นสิบเป็นร้อยเส้นขึ้นมา แล้วเชื่อมให้กลายเป็นภาพมากมายที่มีความเป็นไปได้นับพันนับหมื่นไม่ใช่เรื่องยาก
เขานึกย้อนถึงลวดลายและข้อมูลแต่ละอย่างที่เคยเห็นในห้วงความทรงจำ จากนั้นก็ทำการเปรียบเทียบและคัดเลือก
การรบกวนจากข้อผิดพลาดถูกตัดทิ้งอย่างต่อเนื่อง ภาพลดลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะยังเหลือความเป็นไปได้อีกหลายร้อยอย่างที่รอให้คัดเลือก แต่อาณาเขตก็หดเล็กลงมา
“ฟู่” เยี่ยนจ้าวเกอระบายลมหายใจ พึมพำว่า “ต่อจากนี้จำเป็นต้องใช้ข้อมูลมากกว่าเดิม รีบเร่งไปก็เปล่าประโยชน์”
เขาสลัดความคิด พูดกับหวังผู่ว่า “ศิษย์พี่หวัง รบกวนท่านแล้ว หากหาเช่นนี้ต่อไป ดูเหมือนยากจะเกิดผลลัพธ์จริงๆ”
หวังผู่ยิ้ม “ข้าเข้าใจความคิดของเจ้าดี”
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “พวกเรากลับยอดเขาเป่ยเกากันก่อนเถอะ ข้ายังมีเรื่องอีกเรื่อง หากถึงเวลาอาจจะต้องสอบถามจากท่าน”
“ย่อมได้อยู่แล้ว” หวังผู่พยักหน้า จากนั้นก็มองสภาพแวดล้อมรอบๆ “จะว่าไป ที่นี่อยู่ใกล้ยอดเขาอัศจรรย์แล้ว ท่านนับว่ามีการคบหากับยอดเขาอัศจรรย์ ต้องการไปเยี่ยมเยือนหรือไม่”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ผ่านทางแล้วไม่เข้าไปคงจะเสียมารยาทเกินไป ไม่ทราบว่าจักรพรรดิแพรกลับมาแล้วหรือไม่”
หวังผู่นำทางทันที คนทั้งสองตัดทะลุยอดเขาสูงใหญ่ในเขาคุนหลุน
ยอดเขาอัศจรรย์เป็นส่วนหนึ่งของเขาคุนหลุน หากให้ยอดเขาอัศจรรย์เป็นยอดเขาหลัก รอบๆ จะเป็นเทือกเขาที่ทอดยาว สามารถนับว่าเป็นอาณาเขตของมัน
ผาบัวแดงที่บำเพ็ญของจักรพรรดิแพรอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดของยอดเขาอัศจรรย์
เยี่ยนจ้าวเกอกับหวังผู่มายังที่นี่ ทั่วทั้งผาบัวแดงย่อมต้องต้อนรับโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
ยังไม่เอ่ยถึงว่าความสามารถและตำแหน่งปัจจุบันมีความพิเศษ หวังผู่เป็นศิษย์ของกษัตริย์กระบี่เยว่เจิ้นเป่ย และยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ยามปกติดูแลเขานครหยกแทนกษัตริย์กระบี่ มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้คนที่มีตำแหน่งสูงสุดนอกจากจักรพรรดิแพรบนยอดเขาอัศจรรย์มาต้อนรับแล้ว
แน่นอนว่าพอจอมยุทธ์ยอดเขาอัศจรรย์เห็นเยี่ยนจ้าวเกอ ก็ไม่อาจไม่รู้สึกกระอักระอ่วน ขณะที่รู้สึกกระอักกระอ่วน ก็แสดงความหวั่นวิตกออกมามากกว่าเดิม
เยี่ยนจ้าวเกอครั้งนี้มาเยี่ยมผาบัวแดง กลับได้พบฟู่ถิง บัวแดงสูงส่งที่ไม่เจอหน้ากันหลายปี
เจ็ดแปดปีผ่านไป แม้ฟู่ถิงจะเข้าฌานในผาบัวแดงมาโดยตลอด แต่ว่าการฝึกปรือก็พุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง
ในอดีตนางอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้า มาวันนี้นางอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย นอกจากนี้ยังมั่นใจว่าจะได้ปีนขึ้นสะพานเซียนด้วย
แต่เป็นเพราะเรื่องของจักรพรรดิแพรงามผู้เป็นบิดา สร้างความกระวนกระวายให้แก่ตัวนาง ทำให้ต้องยืดเวลาไปก่อน
สองฝ่ายพอได้พบกันต่างก็สะท้อนใจ ฟู่ถิงแสดงความยินดีที่พิธีเปิดสำนักของเขากว่างเฉิงจบลงด้วยดี จากนั้นก็แสดงคำขอโทษ
“แม่นางฟู่ไม่ต้องเกรงใจ จะว่าไปสถานการณ์ในตอนนี้ของจักรพรรดิแพรบางทีอาจจะเกิดขึ้นเพราะข้าผู้แซ่เยี่ยน เพราะเขากว่างเฉิงของข้า” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ย “เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่ใช่จักรพรรดิแพรผิดสัญญา แต่เป็นเพราะเกิดเรื่องขึ้น”
………………..