เฉินฉางเซิงบอกลาศิษย์พี่เรียบร้อย ก่อนจากไปย่อมมาเยี่ยมเยียนนาง
เมื่อก่อนม่ออวี่เป็นสาวงามเลื่องชื่อของเมืองหลวงอยู่แล้ว ตอนนี้กลับยิ่งงดงามจนทำให้ใจคนหวั่นไหว
เขารู้ว่านางมิได้จงใจยั่วยวน เพียงแต่ที่นี่ร้อนมากจริงๆ กระทั่งกลไกทำความเย็นในตำหนักก็คล้ายไร้ประสิทธิภาพ
“ห้องนี้เล็กไปหน่อย”
เขาเอ่ยขณะมองไปรอบๆ
นี่เป็นห้องที่แยกออกจากหลังตำหนักใหญ่โดยเฉพาะ เมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างในพระราชวัง ก็เห็นชัดว่าเล็กมากจริงๆ และไม่ค่อยระบายลมเท่าไหร่
“ก่อนที่จักรพรรดินีจะทรงว่าราชการหลังม่านนั้น ได้เรียนวิชาการเมืองการปกครองกับจักรพรรดิองค์ก่อนมายี่สิบกว่าปี ด้วยการนั่งฟังอยู่ที่นี่”
ม่ออวี่พูดประชดประชันเล็กน้อย “ช่วงที่ฝ่าบาทเพิ่งเข้าวัง ตอนประชุมราชกิจ ผู้นำลัทธิเต๋าก็นั่งอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ข้านั่งอยู่ตรงนี้ หรือยังไม่มีคุณสมบัติพอ”
เฉินฉางเซิงยิ้มขมขื่นแล้วว่า “เช่นนั้นก็ไม่ควรพูดอะไรจริงๆ”
ม่ออวี่เลิกคิ้ว “พวกเจ้าล้วนรู้สึกว่าข้าทะเยอทะยานใช่หรือไม่”
มีอยู่ช่วงหนึ่ง เฉินฉางเซิงรู้สึกว่านางทะเยอทะยานจริงๆ มิใช่ตอนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นเมื่อสิบปีก่อน
นางและเขาติดต่อกันมาโดยตลอด ตอนฝ่าบาทเรียกนางกลับเมืองหลวงนั้น นางเขียนจดหมายมาบอกว่าลังเลใจมาก ต่อมาค่อยพบว่า นางตัดสินใจได้แต่แรกแล้ว
แต่ตอนที่นางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะแต่งกับโหลวหยางอ๋องนั้น เฉินฉางเซิงก็รู้สึกอีกว่า ความคิดที่ตนมีต่อนาง อาจไม่ถูกต้องนัก
ถ้านางมีจิตใจทะเยอทะยานจริง นางควรแต่งกับผู้ที่มีบารมีมากกว่า กระทั่งแต่งกับองค์จักรพรรดิ แล้วขึ้นเป็นจักรพรรดินีคนใหม่ยังได้
“ต้องดูว่า ความทะเยอทะยานที่เจ้าว่าคืออะไร” เฉินฉางเซิงตอบ
ม่ออวี่ว่า “ถ้าความทะเยอทะยานหมายถึงอำนาจ ข้ายอมรับว่าตัวเองมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในด้านนี้ แต่ข้าแค่อยากมีความมั่นใจว่า ตนเองมีสิทธิ์ที่จะร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมือง”
คำพูดนี้ค่อนข้างสับสน เฉินฉางเซิงคิดๆ ดู ค่อยเข้าใจ จึงถามอย่างแปลกใจ “ทำไมเจ้าถึงชอบงานบริหารราชการล่ะ”
“เพราะข้าเป็นนางในที่จักรพรรดินีทรงสอนสั่งมาน่ะสิ”
ม่ออวี่จ้องมองเขาพลางพูดต่อ “ข้ากับโหย่วหรงเป็นผู้ที่จักรพรรดินีทรงสอนสั่งมา ข้าชอบและมีความสามารถในการบริหารงานราชการ แต่นางเชี่ยวชาญในการตะลุยสังหารทั้งสี่ทิศ”
เฉินฉางเซิงนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในหลายปีมานี้ จึงได้แต่ยอมรับคำพูดนี้เงียบๆ
ม่ออวี่ว่า “แน่นอน นางเหมือนจักรพรรดินีกว่าข้า อาจเป็นเพราะนางสังหารคนเก่งกว่าข้า”
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ในตำหนักที่ไม่ไกลกันนัก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เคยบอกนางกับสวีโหย่วหรงว่า การสังหารคือวิธีที่ถูกต้อง
ม่ออวี่รู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ อาจเป็นเพราะในวัยเด็ก นางเห็นภาพผู้คนสังหารกันอย่างนองเลือดมากจนเกินไป
ในปีนั้น บนถนนไท่ผิง นางถือกระบี่ฟาดฟันโจวทง จนตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด คล้ายใช้เจตนาสังหารในร่างจนหมดแล้ว
เฉินฉางเซิงไม่อยากสนทนาถึงหัวข้อนี้ต่อ จึงถาม “แต่งงานกันมาหลายปี เขายังคงกลัวเจ้าอยู่ไหม”
นี่กำลังถามถึงโหลวหยางอ๋อง
ม่ออวี่เลิกคิ้วดุจต้นหลิวขึ้น “นั่นเรียกว่าให้เกียรติต่างหาก ไม่ใช่กลัว เจ้านึกว่าใครๆ ก็เหมือนเจ้าหมดอย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงนึกไม่ถึงว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว จึงพูดไม่ออกอยู่บ้าง
ม่ออวี่ปล่อยการจิกกัดไป แล้วว่า “เขาในตอนนี้ วันๆ อยู่บ้านหัดทำกับข้าว เพิ่งหัดดองหัวไชเท้าแบบที่สิบเจ็ดไป ท่าทางมีความสุขมาก”
พอเฉินฉางเซิงเห็นท่าทางนางก็มีความสุขมากเช่นกัน จึงดีใจยิ่ง แต่กลับมีอารมณ์บางอย่างที่…ค่อนข้างซับซ้อน
เขาเหลือบมองจอนผมที่ปลิวไสวของนาง เก็บสายตาคืนกลับ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่ม ก่อนถาม “ช่วงนี้นอนหลับไหม”
ม่ออวี่ตอบอย่างอิ่มเอมใจ “หลับสนิทสิ เจ้ารู้ไหม เจ้าอ้วนตัวเย็นยิ่ง กอดแล้วสบายตัวเอามากๆ”
……
……
ขณะอยู่บนเส้นทางไปแนวหน้า ทุกครั้งที่เฉินฉางเซิงนึกถึงเรื่องในวังหลวงวันนั้น ก็อดที่จะหัวเราะเยาะตนเองไม่ได้
ภาพเช่นนี้ปรากฏขึ้นมากจนเกินไป ทำให้อันหวารู้สึกเครียดอยู่บ้าง แม้ตอนนี้ฝูซินจือกับเฉินฟู่กุ้ยจะกลายเป็นอาจารย์ในสำนักฝึกหลวงแล้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจมากอยู่
เฉินฉางเซินไม่ได้พานักบวชของพระราชวังหลีมามากมาย แต่พาศิษย์ของสำนักไม้เลื้อยมาเป็นจำนวนมาก เพราะต้องใช้งานในนามผู้ตรวจสอบ ส่วนศิษย์ของสำนักไม้เลื้อยกลับมาในนามผู้ฝึกงานแนวหน้า
พอเข้าเมืองเทียนเหลียงได้ไม่นาน ยังไม่ทันถึงเมืองสวินหยาง เฉินฉางเซิงก็พาอันหวาออกจากขบวนก่อน
บันทึกความจริงจากทั่วทุกแห่งหนส่งเข้ามือของเขาไม่หยุดหย่อน และเขาก็เห็นสภาพความเป็นจริงของผู้คนด้วยตาตนเอง เห็นทหารรักษาอาการบาดเจ็บ จากนั้นก็เห็นทุ่งหญ้า
ก่อนเข้าสู่ความจริงในสนามรบ เขานึกถึงคำพูดสุดท้ายที่ม่ออวี่พูดตอนอยู่ในวังหลวงอีกครั้ง
“คนในเมืองหลวงไม่มีเนื้อสัตว์กินมาสองเดือนแล้ว ปีนี้มีเรือขนส่งฝ้ายให้จวนหลูหลิงเพียงสามลำ ถ้าพวกเจ้ารบแพ้ที่แนวหน้า ฤดูหนาวปีนี้ จะปรากฏผู้คนอพยพนับไม่ถ้วน จะเห็นผู้คนหนาวตายบนท้องถนนนับไม่ถ้วน นี่เป็นสงครามระดับชาติ สู้กันด้วยพลังระดับชาติ เช่นนั้นก็ต้องชนะ เพราะถ้าแพ้ ก็อาจสิ้นชาติได้”
ใช่แล้ว นี่เป็นสงครามระดับชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดของตน ต่อสู้กันทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะครั้งสุดท้าย
แต่ก็มีเรื่องบางอย่างที่เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจ ซึ่งเขากับโก่วหานสือเคยโต้เถียงกันหลายครั้งแล้ว ทว่าก็ไม่ได้ข้อสรุปที่เชื่อถือได้สักที
ไม่ว่าจะเป็นช่วงแรกของการทำสงครามหรือช่วงที่สอง ยุทธวิธีที่เผ่ามารใช้รุนแรงเกินกว่าเหตุ แม้บอกว่าเป็นสงครามระดับชาติ ก็ล้วนเห็นชัดว่าทำกันเกินไป
พูดตามหลักแล้ว ช่วงเริ่มทำสงครามไม่มีใครเลือกที่จะเอาหยกไปเผารวมกับหิน หรือเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ แม้เทียบกันแล้ว เผ่ามารค่อนข้างอ่อนแอกว่า ก็ไม่ถึงกับไม่มีความมั่นใจเช่นนี้
อีกทั้งวิธีการแบบนี้ ก็เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจอะไรของมนุษย์ไม่ได้ เช่นนั้นนอกจากทำให้เผ่ามารพ่ายแพ้เร็วขึ้นแล้ว ยังมีประเด็นอะไรอีก
……
……
คนในยากที่จะเห็นเหตุการณ์โดยรวมอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นราชามารหรือผู้คุ้มกฎ
ส่วนคนนอก กลับเห็นปัญหาบางอย่างได้ง่าย สืบเนื่องจากมุมมอง อย่างเวลาเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือรู้สึกว่าจุดนั้นไม่ถูกต้อง ซางสิงโจวกลับสังเกตเห็นแต่แรกแล้ว
คนกลุ่มหนึ่ง เดินทางจากเขาหานซานไปเขาหลีซาน ระหว่างทางแวะพักที่ลั่วหยางหนึ่งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซางสิงโจวก็ออกจากลั่วหยาง ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย ซึ่งเขาก็พาแค่นักพรตน้อยผิวเรียบเนียนดุจหยกไปด้วย
ที่วัดเก่าแก่ในเมืองซีหนิง เขตคุ้มครองสำคัญของราชสำนักตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ทหารยามไหนเลยจะขวางเขาได้
เขาพานักพรตน้อยเข้าไปในวัดเก่าแก่ มองห้องที่ว่างเปล่าห้องหนึ่งเงียบๆ ก่อนกำชับนักพรตน้อยให้ท่องสารานุกรมซีหลิวที่ใต้ต้นไม้ไปเรื่อยๆ ส่วนตนเองออกจากวัดมาที่ข้างลำธาร
น้ำในลำธารยังคงใสเหมือนเช่นเคย ดอกไม้ที่ร่วงหล่นลอยไปตามกระแสน้ำ เมื่อดอกไม้ลอยผ่านตัวเขา ก็รู้สึกสดชื่นยิ่งขึ้น
ภิกษุรูปหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างลำธาร
ลักษณะเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนไม่มีผิด หน้าตาหล่อเหลา ดูอายุไม่ออก สวมจีวรสีดำที่เต็มไปด้วยรอยขาดและฝุ่น
ซางสิงโจวว่า “ท่านอ๋อง ข้าอยากรู้เรื่องบางเรื่อง”
ภิกษุรูปนี้คือบุตรชายของฉู่อ๋อง ถ้านับตามรุ่น ก็คือลูกพี่ลูกน้องกับบิดาของอวี๋เหริน และถ้ายังอยู่ในราช
สำนัก ย่อมเป็นอ๋องท่านหนึ่ง
ถ้าตอนนั้น สวนร้อยหญ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้เขาอาจเป็นจักรพรรดิ
ซึ่งซางสิงโจวไม่ยอมรับอย่างแน่นอน
ภิกษุว่า “เชิญว่ามา”
ซางสิงโจวถาม “ดินแดนเซิ่งกวงคิดจะทำอะไรกันแน่”
ภิกษุเงียบไม่ตอบ
ซางสิงโจวพูดเสียงเรียบ “ท้ายที่สุดท่านก็เป็นคนของเราอยู่ดี”
แววตาเห็นอกเห็นใจของภิกษุเปลี่ยนเป็นอ้างว้าง ก่อนว่า “ก็แค่คนพเนจรไร้บ้าน”
ซางสิงโจวพลันว่า “เทียนไห่ทำให้วิญญาณเทพของท่านบาดเจ็บสาหัส ทำให้ท่านกลับมาไม่ได้ ตอนนี้คิดๆ ดู ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก”
คำพูดนี้เห็นชัดว่า กำลังสงสัยเขากับดินแดนเซิ่งกวงสมรู้ร่วมคิดอะไรกัน
ภิกษุจึงว่า “ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ล้วนเป็นความว่างเปล่า”
ซางสิงโจวตอบ “ขอเพียงคำนึงถึงคนรุ่นหลัง ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายก็คือสายเลือดสกุลเฉิน”
ภิกษุเงียบอยู่นาน ก่อนว่า “นี่คือคำสัญญาของเจ้า?”
“หากข้าตายไป ลูกศิษย์ข้าจะเป็นคนรับพวกท่านกลับมา”
ไม่รู้ว่าซางสิงโจวนึกอะไรขึ้นได้ จึงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วว่า “ถ้าพวกเขาปฏิเสธ ข้าก็จะบอกให้ศิษย์คนนี้รับพวกท่านกลับมา”
ภิกษุมองไปยังนักพรตน้อยใต้ต้นไม้ใหญ่ พลางเผยให้เห็นท่าทางพอใจ “เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร”
ซางสิงโจวว่า “ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าแจ้งข่าวหนึ่ง กับมอบของชิ้นหนึ่ง”
ภิกษุตอบ “ดินแดนเซิ่งกวงอยู่ไกลมาก ต้องใช้เวลานานมาก”
ซางสิงโจวว่า “ก็แค่ทางหนีทีไล่ทางหนึ่ง”
ภิกษุตอบ “ข่าวอะไร”
ซางสิงโจวว่า”บอกซูหลีว่า เกิดเรื่องขึ้นแล้ว”
ภิกษุตอบ “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดินแดนเซิ่งกวง”
ซางสิงโจวว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ข้าคิดว่า เขาน่าจะรู้ว่าที่นี่กำลังเกิดเรื่องขึ้น”
ภิกษุเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนว่า “ของล่ะ”
ซางสิงโจวส่งกระบี่ให้เล่มหนึ่ง
กระบี่มีผ้าห่อไว้อย่างดี ตรงกลางมีวงแหวนหลอมจากสำริด
ภิกษุรับกระบี่มา มือจับเข้าที่วงแหวนสำริด โดยไม่สัมผัสส่วนใดๆ ของกระบี่ ระมัดระวังยิ่ง
“กระบี่ดี”
สายตาภิกษุตกอยู่บนวงแหวนสำริด พลางทอดถอนใจ “ของล้ำค่าเช่นนี้ ที่สุดแล้วก็ถูกท่านส่งผ่านทางอากาศ เลิศหรูอะไรเช่นนี้”
กระบี่บังฟ้าย่อมเป็นกระบี่ดี
ส่วนสำริดก็คือเศษกระจกเฮ่าเทียน