สงครามเข้าสู่ช่วงที่สามแล้ว และเป็นช่วงที่โหดร้ายที่สุด ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ รบกันบ่อยครั้งขึ้น บาดเจ็บล้มตายมากขึ้นทุกวัน
ช่วงนี้กลยุทธ์และยุทธวิธีการรบที่เห็นผลยิ่งมาก็ยิ่งน้อยลง ความมุ่งมั่นและทรัพยากรกลายเป็นที่พึ่งหลัก ขึ้นอยู่กับว่าใครยืนหยัดไม่ไหวก่อนกัน
ทุ่งหญ้าที่อยู่ห่างจากเมืองเสวี่ยเหล่าพันกว่าลี้มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ในภูเขามีบ่อน้ำร้อนมากมาย
เมืองหลวงร้อนมาก แต่อากาศที่นี่กลับเย็นเล็กน้อย ไอน้ำจากบ่อน้ำร้อนปกคลุมไปทั่วภูเขา แลดูสวยดี
เฉินฉางเซิงแช่ตัวในบ่อน้ำอุ่น สายตามองทะลุผ่านไอร้อนและผ้าคลุมรอบด้าน จนถึงธงประจำทหารม้าของสำนักฝึกหลวง ก่อนหยุดอยู่บนทางออกนอกหุบเขา
หลายปีก่อน เขาเตรียมจะใช้เส้นทางนี้ออกจากที่นี่ แต่สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับมา และเห็นซูหลีนอนสลบไสลอยู่
ใช่แล้ว ที่นี่ก็คือบ่อน้ำร้อนในตอนนั้น แต่ตอนนั้น กวาดตามองไปรอบๆ ล้วนเห็นแต่หิมะ ทว่าตอนนี้ในสายตากลับเห็นแต่สีเขียวสุดลูกหูลูกตา เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้ว”
อันหวาพูดขณะนั่งยองๆ อยู่ข้างบ่อน้ำร้อน เสียงนุ่มละมุนมาก คล้ายเกรงว่าจะทำให้เขาตกใจ
เฉินฉางเซิงดึงสติคืนกลับ ลุกขึ้นจากบ่อน้ำอุ่น ปล่อยให้นางหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาคลุมร่างตนไว้ ก่อนเช็ดให้แห้งอย่างระมัดระวัง
อันหวามองดูสีหน้าเขา รู้สึกโล่งใจลง ในใจนึก น้ำอุ่นค่อนข้างมีประโยชน์จริงๆ จึงพยุงเขาออกจากบ่อ ไปพักผ่อนที่ศาลาด้านหน้า
ศาลา รวมทั้งสิ่งก่อสร้างบางอย่างในภูเขาศิลา ล้วนเพิ่งสร้างขึ้นใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน
ในยามศึกสงคราม ยังมีภาพฟุ่มเฟือยอลังการเช่นนี้อีก เฉินฉางเซิงไม่คุ้นเคยยิ่ง คิดว่าเช่นนี้จะทำให้พลทหารจำนวนมากรู้สึกคับแค้นใจ
คิดไม่ถึงว่าแม่ทัพนายกองในทุ่งหญ้าที่ผ่านทางมา และเห็นภาพนี้จากระยะไกล มิได้ไม่พอใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกว่าสมเหตุสมผลแล้ว กระทั่งรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ
เฉินฉางเซิงคิดอยู่เนิ่นนาน ก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
เขานั่งอยู่ในศาลา มองไปยังที่ไกลแสนไกล
ในท้องทุ่งรกร้างที่ไกลออกไป ทหารมากมายกำลังหน้าเดินไปยังทิศที่ตั้งของเมืองเสวี่ยเหล่า
แม้ห่างกันขนาดนี้ เขาก็คล้ายได้ยินเสียงม้าหลงเซียง อืม เหมือนมาจากสนามม้าป่านหยาจริงๆ
เหล่าทหารรู้อยู่แต่ว่าสังฆราชอยู่ในภูเขาศิลา แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาเห็นศาลาแห่งนี้หรือไม่
ข่าวกระจายไปทั่วแนวหน้าแต่แรกแล้ว เวลาเหล่าทหารเดินทางผ่านเขาศิลา ถ้าไม่มีภารกิจเร่งรีบ ทหาร
ม้าก็จะพากันลงจากม้า จูงม้าเดิน ยังมีทหารอีกหลายคนที่ไม่สนใจคำสั่งทางทหาร วิ่งออกจากแถว หันหน้าไปทางภูเขาศิลาแล้วคุกเข่าโขกศีรษะ ค่อยวิ่งกลับมาเข้าแถวอย่างสบายใจ แม้ถูกเบื้องบนลงโทษก็ไม่สนใจ
ซึ่งเฉินฉางเซิงเคยเห็นภาพเช่นนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพลทหารเหล่านี้ถึงได้ศรัทธาตน แต่ในเมื่อพวกเขาอยากเห็นตน ตนก็ยินยอมให้พวกเขาเห็น ดังนั้นหลายวันมานี้ เขาจึงมักมานั่งที่ด้านล่างของศาลา แม้อันหวากับพวกราชันแห่งหลิงไห่มีท่าทีคัดค้านก็ตาม
สายลมเย็นๆ พัดจากท้องทุ่งรกร้างเข้ามาในภูเขาศิลา ยังไม่ทันถูกไอร้อนของน้ำอุ่นทำให้อบอุ่น ก็ปะกับใบหน้าของเฉินฉางเซิงแล้ว
ร่างกายซึ่งร้อนได้ที่จากการแช่ในบ่อน้ำอุ่นค่อยๆ เย็นลง ใบหน้าแดงระเรื่อของเขาค่อยๆ จางหาย เปลี่ยนเป็นซีดขาวดังเดิม ซูบผอมและอิดโรย
ลมหนาวก่อตัวขึ้นอีกครั้ง กระเรียนขาวร่อนลง
จากนั้นมันก็บินไปที่ศาลา ยืนขาเดียวอยู่อย่างนั้น พลางหรี่ตาลง ให้พลทหารในท้องทุ่งรกร้างที่อยู่ห่างไกลเหล่านั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน
สวีโหย่วหรงเดินไปที่ริมผา มองดูตาน้ำพุร้อนที่ราวกับหม้อนึ่งก็มิปาน พลางว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แล้วเจ้ายืนหยัดได้ไม่ถึงวันที่เมืองแตก ก็จะตาย”
นางมิได้หันกายมามองเฉินฉางเซิง ใบหน้าก็ไร้ความรู้สึก ราวกับพูดไปอย่างนั้นเอง มิได้ใส่ใจจริงๆ
อาจเป็นเพราะนางเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ จากเฉินฉางเซิง
หลังจากมาถึงแนวหน้า เฉินฉางเซิงก็ทำการปรุงยาจูซาสองเม็ดไว้ล่วงหน้า
นี่หมายความว่าอะไร ใครๆ ก็รู้
เขาเองย่อมรู้ดีที่สุด แต่แค่เห็นใบหน้าอันอ่อนเยาว์มากมายบิดเบี้ยวอย่างหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย ได้ยินเสียงร้องไห้มากมาย ก็รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอื่น ที่ไม่ให้เขาทำเช่นนี้
และเขาก็บาดเจ็บแล้ว
ที่นี่คือแนวหน้า แม้เขาเป็นสังฆราชและได้รับการคุ้มครองอย่างดี แต่ก็เป็นเป้าหมายหลักที่เผ่ามารต้องการสังหารเช่นกัน
ครั้งที่อันตรายสุด คือครั้งที่ขุนพลมารที่สองนำพาผู้แข็งแกร่งเผ่ามารมากลุ่มหนึ่ง แล้วใช้นกอินทรีดำจู่โจมทางอากาศ ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บไม่เบาจากการนี้
เขามาถึงทุ่งหญ้าแห่งนี้ช่วงกลางฤดูร้อน ตอนนั้นเห็นเมืองเสวี่ยเหล่าตะคุ่มๆ ตอนนี้พอเข้าสู่ช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง ว่ากันว่าทหารกองหน้ามองเห็นกำแพงเมืองเสวี่ยเหล่าได้อย่างชัดเจนแล้ว กระทั่งค่ายเป่ยซานยังเห็นใบหน้าของทหารรักษาการณ์อย่างแจ่มชัดด้วย แต่…ที่สุดแล้ว ยังคงไม่มีใครไปถึงเมืองเสวี่ยเหล่าได้อย่างแท้จริง
ยิ่งเข้าใกล้เมืองเสวี่ยเหล่าเท่าใด ความมุ่งมั่นในการต่อต้านของเผ่ามารก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ไม่กลัวความตายยิ่งขึ้น กระทั่งทำให้แม่ทัพหลายคนรู้สึกว่า นี่คือภารกิจที่ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ
ทั้งๆ ที่เพียงกดดันไปอีกหน่อย ราชามารที่อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่าและนักรบนับแสนหลายชนเผ่าที่รุดมาจากแต่ละพื้นที่ อาจยันไว้ไม่อยู่
แต่ขณะนั้น หลายคนในกองทัพเผ่ามนุษย์กลับยันไม่อยู่แล้ว
คืนวันนั้น แม่ทัพที่ยันไม่อยู่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่บาดเจ็บสาหัส ถูกบีบให้ถอยลงไปทางใต้
เยี่ยเสี่ยวเหลียนนำพาศิษย์จำนวนหนึ่งกับครูฝึกจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้า รวมทั้งขุนนางเทพจากพระราชวังหลีสามท่าน พร้อมใจกันไปส่งคนผู้หนึ่งกลับใต้
ผู้ที่ทำให้นางออกจากที่ที่สำคัญสุดอย่างกระโจมบัญชาการกลาง ผู้ที่อาสาออกศึกใหญ่เช่นนี้ คนผู้นี้คือใครกัน
เซียงอ๋องที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกยึดอำนาจทางทหาร ยังยืดหยัดอยู่แนวหน้า แล้วเหตุใดคนผู้นี้ถึงสำคัญเช่นนี้
เยี่ยเสี่ยวเหลียนคิดอย่างไร ไม่มีใครรู้ แต่สำหรับขุนนางเทพจากพระราชวังหลีกับครูฝึกจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าแล้ว คนผู้นี้ย่อมสำคัญกว่าเซียงอ๋องหลายเท่า
เพราะเขาคือสหายของสังฆราช
……
……
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี วิธีคิดถึงปัญหานี้ง่ายจนเกินไป ใช้คำพูดแบบคนบางคนก็คือ ง่ายที่จะทำให้พูดไม่ออก
ทว่าจากเมืองซีหนิงไปจนถึงเมืองหลวง เขาก็รู้จักสหายมากมาย
แต่ถ้าพูดถึงสหายของเขา ปฏิกิริยาแรกของหลายคนย่อมรู้ว่าคือ ถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วผ่ายผอมจนแก้มตอบลง แต่ยังคงแดงใสเหมือนกุ้งสุก ดวงตาก็ใสกระจ่างยิ่ง ทำให้รู้สึกตกใจอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงนั่งข้างเปลสนามคุยกับเขา “ตอนที่เจ้าคิดจะซื้อร้านอาหารร้านนั้น ข้าก็รู้สึกไม่เหมาะสมแล้ว”
ถังซานสือลิ่วพูดอย่างคนมีไฟแต่ไม่มีแรง “ไม่เหมาะสมตรงไหน”
เฉินฉางเซิงว่า “กินกุ้งมังกรสีน้ำเงินมากเกินไปจะกลายเป็นบาป ดูเจ้าในตอนนี้สิ”
เห็นชัดว่า หลายวันมานี้แม้ถังซานสือลิ่วป่วยหนัก แต่ยังคงส่องกระจก จัดแต่งให้ตนเองดูหล่ออยู่เสมอ จึงเข้าใจความหมายในมุกตลกของเฉินฉางเซิงทันที
เมื่อเข้าใจมุกตลก ย่อมต้องหัวเราะ แต่ถังซานสือลิ่วหัวเราะพลางไอพลาง เห็นแล้วอึดอัดใจยิ่ง
เยี่ยเสี่ยวเหลียนนำผ้าขนหนูเย็นวางลงบนหน้าผากของเขา ก่อนหันไปจ้องเฉินฉางเซิงอย่างดุดัน
พอจ้องเสร็จ นางค่อยเข้าใจว่าตนทำอะไรลงไป จึงลนลานอย่างไม่รู้ตัว ขอโทษติดต่อกัน
เฉินฉางเซิงย่อมไม่ถือสานาง เพียงว่า “โหย่วหรงอยู่ห้องข้างๆ เจ้าไปดูนางหน่อยสิ”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนรับคำเสียงเบา แต่กลับยิ่งรู้สึกเครียด คิดในใจ ตนควรอธิบายกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างไรดี
รอจนเยี่ยเสี่ยวเหลียนจากไป ถังซานสือลิ่วค่อยมองตาเฉินฉางเซิงพลางว่า “ข้าป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่”
เฉินฉางเซิงจึงตอบ “สูญเสียสติสัมปชัญญะอย่างหนัก ลมหนาวเข้าอวัยวะภายใน อาการหนักมาก”
ดวงตาของถังซานสือลิ่วคล้ายลุกเป็นไฟ “ข้ารู้สึกว่าโรคนี้มีปัญหา”