เฉินฉางเซิงหัวเราะ แล้วเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับ แต่ไม่มีอะไรจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยว่า “เจ้าเป็นหมอที่ดีที่สุด ถ้าเจ้ายังรักษาไม่ได้ แล้วข้าจะไปรักษาที่ไหนดี”
เฉินฉางเซิงว่า “ข้าไม่เชี่ยวชาญโรคลมหนาว ยาจูซาก็รักษาโรคนี้ไม่ได้”
ถังซานสือลิ่วยิ้มเย็นชา “ของเล่นพรรค์นั้น ถึงให้กิน ข้าก็ไม่กินหรอก เพราะข้าไม่กินคน”
เฉินฉางเซิงว่า “เจ้าจึงอยากกลับไปรักษาตัวก่อน”
ถังซานสือลิ่วเงียบไปอีกสักพัก แล้วว่า “ยามเฝ้าบ้านของพวกเราแก่ชรามากแล้ว ไม่มีข้าช่วย เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหว”
เฉินฉางเซิงยื่นมือไปตบบ่าเขาเบาๆ “ไว้ข้าหารือกับพวกเขาเอง เจ้าไปก่อน เจ้าสำนักเหมารักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่เขาหานซาน เจ้าก็ไปที่นั่นด้วยสิ”
เช้าวันรุ่งขึ้น ถังซานสือลิ่วจึงจากไป เยี่ยเสี่ยวเหลียนจากตามไปด้วย โดยผ่านการเห็นชอบของสวีโหย่วหรงแล้ว นางมิได้บอกเฉินฉางเซิง เพราะรู้ว่าเรื่องระหว่างชายหญิงแบบนี้ เฉินฉางเซิงมีความรู้สึกช้ามาก หรือไม่รู้เลยสักนิดก็ว่าได้ แต่นางก็รู้ว่า ในด้านอื่นๆ เฉินฉางเซิงรู้ดีทีเดียว อย่างทักษะทางการแพทย์
นางเหลือบมองเขา ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร
เฉินฉางเซิงมองดูธงทหารปลิวไสวที่อยู่ไกลออกไป ท่าทางสงบนิ่งและมุ่งมั่น
เขากำลังมองดูโลกอยู่ด้านล่างของศาลาในภูเขาที่ยุ่งวุ่นวาย
และโลกใบนี้ก็กำลังมองดูเขา
ความสงบนิ่งของเขา สร้างความมั่นใจให้กับแม่ทัพนับไม่ถ้วนที่อยู่แนวหน้า
แต่ความจริงแล้ว น้อยคนนักที่รู้ว่า ในใจของเขาไม่สงบนิ่ง
มีเรื่องมากมายที่ทำให้เขาแบกรับแทบไม่ไหว อย่างความเป็นความตายเหล่านั้น และไข้สูงที่ไม่ลดลงของถังซานสือลิ่ว
ยังดีที่เขามีที่พึ่งพิง
สวีโหย่วหรงยืนอยู่ข้างกายเขาเสมอ มิใช่ในฐานะภรรยา และมิใช่แสดงความเป็นเจ้าของ แต่อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน
ตอนนางไพล่มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แม้แต่พวกราชันแห่งหลิงไห่ก็รู้สึกว่านางสูงส่งกว่าเฉินฉางเซิง
“เช้าวันนี้ได้ข่าวว่า ศิษย์พี่เหลียงเสียชีวิตแล้ว อาวุโสโถงกระบี่ทั้งสองเสียชีวิตในสนามรบพร้อมกัน กวนไป๋ไปสมทบก่อนล่วงหน้าในฐานะกองหนุน ก็เสียชีวิตแล้ว”
สติอารมณ์ของสวีโหย่วหรงสงบนิ่งมาก คล้ายข่าวที่พูดมาเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับนาง
เฉินฉางเซิงหลับตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งค่อยลืมตาขึ้น
“ทุกคนล้วนต้องตาย ขอเพียงที่สุดแล้วสามารถแก้ไขปัญหาได้ การตายก็จะไม่สูญเปล่า แต่มีความหมายและเป็นการอุทิศตนเช่นเดียวกัน”
พูดจบประโยคนี้ นางก็เดินลงเขาไป
ราชันแห่งหลิงไห่และนักบวชเหล่านั้นมองตามนางไป สายตาเต็มไปด้วยความยำเกรงและสงสารอยู่บ้าง
แม่ทัพและผู้ศรัทธาที่อยู่แนวหน้า ต้องการพละกำลังจากความสงบนิ่งของเฉินฉางเซิง
ส่วนเฉินฉางเซิงก็ต้องการพละกำลังจากนาง
แล้วนางจะสามารถพึ่งพาใครได้อีกเล่า
ตอนนี้แม้แต่อันหวา ก็เริ่มเห็นอกเห็นใจนาง และนับถือนางในเวลาต่อมา
……
……
เมืองเสวี่ยเหล่าใหญ่มาก บวกกับป้อมปราการบนเทือกเขาสูงสิบกว่าแห่ง และกระโจมซึ่งสร้างโดยนักรบเผ่าต่างๆ จากทุกแห่งหนที่รุดมาเป็นกองหนุน พื้นที่ครอบครองก็ยิ่งกว้างใหญ่ไพศาล ครั้นตอนใต้ของเมืองเพิ่งรับลมเย็นๆ ที่พัดมาเบาๆ ท้องทุ่งรกร้างตอนเหนือของเมืองก็เริ่มสะสมหิมะ แต่กลับไร้ร่องรอยกองทัพเผ่ามนุษย์เรื่อยมา
เจ๋อซิ่วมั่นใจมากว่า เป็นครั้งแรกที่มนุษย์อย่างตนมาถึงท้องทุ่งรกร้างแห่งนี้…ในกรณีที่ถือว่าเขาเป็นมนุษย์…มิใช่เพราะเขากล้าหาญกว่าพลทหารคนอื่นๆ หรือชอบเสี่ยงอันตราย แต่เป็นเพราะว่า สำหรับกองทัพเผ่ามนุษย์แล้ว การมาถึงท้องทุ่งรกร้างทางเหนือของเมืองเสวี่ยเหล่าในตอนนี้ไม่มีความหมายใดๆ ต่อภาพรวมของสถานการณ์การรบ
แต่มีความหมายต่อสถานการณ์การรบของเขามาก
เมื่อเจ็ดวันก่อน ในซากปรักหักพังของสนามต่อสู้สัตว์ป่ากลางแจ้งห่างจากเมืองเสวี่ยเหล่าไปทางตะวันตกร้อยยี่สิบลี้ เขาได้พบกับชนเผ่ามารกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง
เขาต่อสู้กับชนเผ่ามารมาแต่เด็ก จึงเข้าใจชนเผ่ามารมากกว่าคนทั่วไป รายละเอียดบางอย่างทำให้เขาสังเกตเห็นลักษณะพิเศษของหัวหน้าเผ่ากลุ่มเล็กๆ นี้…หัวหน้าเผ่าผู้นี้ยังหนุ่มมาก และรูปร่างสูงใหญ่มาก ดูจากรูปแบบตราสัญลักษณ์ประจำตระกูล น่าจะเป็นตระกูลที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์มาก และฐานะในตระกูลก็น่าจะสูงส่งมาก
คนหนุ่มที่สูงศักดิ์เช่นนี้ เหตุใดจึงปรากฏตัวขึ้นในสนามรบที่เสี่ยงอันตราย นี่ไม่สอดคล้องกับชนเผ่ามารที่เจ๋อซิ่วรู้จัก ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อพันกว่าปีก่อน เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์เผ่ามารจะรักษาจิตวิญญาณการต่อสู้ไว้ โดยความกล้าหาญและผลงานในการรบคือที่มาของความรุ่งโรจน์ ซึ่งพวกเขาในตอนนี้ เสื่อมถอยมานานแล้ว
เจ๋อซิ่วสะกดรอยตามชนเผ่ามารกลุ่มเล็กๆ นี้ต่อ และสุดท้ายก็ได้บทสรุปอย่างหนึ่ง
หนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้ออกจากเมืองท่ามกลางการคุ้มครองของยอดฝีมือในเผ่า เพราะต้องการสะสมผลงาน
ทางทหาร โดยไม่อยากพบเจอภยันตรายใดๆ ดังนั้นชนเผ่ากลุ่มเล็กจึงหยุดพักที่ซากปรักหักพังของสนามต่อสู้สัตว์ป่ากลางแจ้งอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยออกเดินทางไปเหนือต่อ…ใครๆ ก็ล้วนรู้ว่า ในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไม่มีความ
เป็นได้ที่กองทัพเผ่ามนุษย์จะอ้อมมาถึงทางเหนือของเมืองเสวี่ยเหล่าแล้วทำการโจมตี
ส่วนตอนที่หนุ่มผู้สูงศักดิ์กลับถึงเมืองเสวี่ยเหล่า แล้วแสดงผลงานทางทหารที่เพียงพอให้เห็นได้อย่างไรนั้น…เจ๋อซิ่วเชื่อว่า สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก อาจมีการเตรียมศีรษะนักรบเผ่ามนุษย์หลายสิบคนไว้พร้อม รอให้เขากลับเข้าเมืองมาก่อน ค่อยแสร้งทำเป็นให้อสูรในที่กักกันลากเกวียนเล่มใหญ่เข้ามา
เมืองเสวี่ยเหล่าได้มาถึงช่วงอันตรายสุดจะเปรียบแล้ว แต่เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ยังคิดโกงผลงานทางทหารกันอยู่ ไม่รู้ควรบอกว่าพวกเขาเลอะเลือนหรือโลภมากกันแน่ ทว่าผู้ที่ยังกล้าโกงแบบนี้ในเวลาเช่นนี้ ต้องเป็นบุคคลระดับสูงจริงๆ ในเผ่ามารอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งฐานะของหนุ่มผู้สูงศักดิ์คนนี้น่าจะไม่ธรรมดายิ่ง
ช่วงที่เริ่มสันนิษฐานเรื่องราวเหล่านี้ เจ๋อซิ่วก็เกิดแรงกระตุ้นอันแรงกล้าชนิดหนึ่ง จากนั้นจึงตอบสนองแรงกระตุ้นนี้ ด้วยการวางแผนที่เสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
เขาตัดสินใจแฝงตัวเข้าไปในเมืองเสวี่ยเหล่า
……
……
เมื่อชนเผ่ามารกลุ่มเล็กกลุ่มนั้นถูกอสูรปีศาจที่ไม่รู้มาจากไหนกลุ่มหนึ่งโจมตี ก็ได้ยอดฝีมือในเผ่าปกป้องคุ้มครอง แต่หนุ่มผู้สูงศักดิ์กลับไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเอง ยังมีกะใจมองดูภาพความรุนแรงขณะอสูรปีศาจเหล่านั้นถูกเชือดคอโลหิตฉีดพุ่ง ใบหน้าซีดขาวของเขาแดงก่ำอย่างตื่นเต้น ราวกับถูกเคลือบด้วยโลหิตจริง
อสูรปีศาจถูกสังหารจนเกลี้ยง แต่ชนเผ่ามารกลุ่มเล็กก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปบางส่วน สามนักรบผู้กล้าหาญที่สุดได้รับบาดเจ็บไม่เบา ปัญหาสำคัญคือ หิมะและดินในท้องทุ่งรกร้างถูกเหยียบย่ำเสียเละเทะ ปนเปกันไปจนเปียกแฉะ เดินลำบากยิ่ง ชนเผ่ากลุ่มเล็กจึงกางกระโจมในป่าโต้งๆ พักค้างคืนชั่วคราว ก่อนส่งข่าวบอกโลกภายนอกผ่านพิราบตาแดง
ซึ่งนักรบของชนเผ่ามารกลุ่มเล็กกับหนุ่มสูงศักดิ์นึกไม่ถึงว่า ค่ำคืนนี้จะกลายเป็นค่ำคืนที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตของพวกเขา
กลิ่นคาวโลหิตค่อยๆ กระจายไปในป่า ดินโคลนที่เละเทะคล้ายมีสัตว์ประหลาดอะไรกำลังเคลื่อนไหว โลกสงบเงียบเช่นนี้เอง เมฆในความมืดกระจายตัวออกช้าๆ ทว่าดวงจันทร์ที่เห็นอย่างเด่นชัดกลับไม่สามารถให้ความกล้าหาญกับพวกเขาได้ พวกเขาได้ยินแต่เสียงลมหายใจของกันและกัน รู้สึกแต่ว่าอาวุธในมือเย็นลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จวบจนไร้เสียงลมหายใจ พวกเขาก็ไม่รู้สึกถึงความเย็นของอาวุธในมือแล้ว ด้วยร่างกายของพวกเขากำลังค่อยๆ กลายเป็นน้ำแข็ง ที่แท้ นี่เป็นค่ำคืนสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาเช่นเดียวกัน
เหล่านักรบชนเผ่ากลุ่มเล็กเสียชีวิตลงอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงเตือนภัย ไม่มีเสียงกรีดร้อง ไม่มีการดิ้นรน ยิ่งไม่มีการต่อสู้ กระบวนการทั้งหมดเหมือนละครใบ้อันพิลึกพิลั่น แต่ไม่มีผู้ชม มีเพียงดวงดาวเบาบางยามรุ่งอรุณและดวงจันทร์สีขาวทางทิศใต้เท่านั้นที่ได้เห็นสิ่งนี้ด้วยตาตนเอง
เช้าวันรุ่งขึ้น ทหารม้าจากเมืองเสวี่ยเหล่ากลุ่มหนึ่งเข้ามาในป่าผืนนี้ตามที่ได้นัดหมายไว้
ทหารม้าติดอาวุธครบมือสิบกว่านายนำรถม้ามาส่งสามคัน ในตัวรถมีซากศพทหารเผ่ามนุษย์จากทางใต้ที่พวกเขาเสาะหามาอย่างยากลำบาก ด้วยคิดว่านายน้อยต้องตกรางวัลให้ในภายหลัง ทหารม้าเหล่านี้ยากจะสงวนท่าทีอันสง่างามและเยือกเย็นไว้อีก มุมปากอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มหวานออกมา
แต่หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในป่า ก็ไม่เห็นร่างที่สูงใหญ่อีก กลับเห็นเพียงภาพอเนจอนาถสุดจะเปรียบ
เสียงร้องไห้ไม่หยุดดังขึ้น เหล่าอัศวินเผ่ามารชูอาวุธขึ้นฟ้ากวัดแกว่งไปมา ระบายความกังวลและความหวาดกลัวในใจ บ่งบอกถึงความเศร้าโศก สาบานว่าต้องแก้แค้นให้กับ ‘กู้ไอ’ ให้ได้ ไม่รู้ว่ากู้ไอคือชื่อของหนุ่มผู้สูงศักดิ์ หรือคือคำนำหน้าตระกูล แน่นอน ความหมายของพวกเขาคือ เตือนให้กลับเมืองโดยเร็วที่สุด กองทัพเผ่ามนุษย์มาถึงทางเหนือแล้ว…
ระหว่างทางกลับเมือง เหล่าอัศวินเผ่ามารเกิดข้อพิพาทกันอย่างรุนแรง คร่าวๆ คือจะตอบคำถามของหัวหน้าเผ่าอย่างไร และจะใช้เงินไถ่ถอนความผิดที่จะตามมาอย่างไร สติอารมณ์ของกลุ่มหดหู่ลงเรื่อยๆ ขณะลัดเลาะผ่านป่าสนผืนนั้น ยังลืมเอาเนื้อกวางที่ขามาได้พูดเอาไว้อีก
เมื่อเข้าใกล้เมืองเสวี่ยเหล่ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเห็นสิ่งก่อสร้างผุพังมากขึ้นเรื่อยๆ บ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างจากผ้าสักหลาดและไม้อย่างลวกๆ เห็นชัดว่าไม่แข็งแรงเอามากๆ มีช่องลมเต็มไปหมด ยิ่งไม่มีความสวยงามให้พูดถึง ถ้าไม่ใช่ชนเผ่ามารชั้นล่างที่ทนต่อความหนาวเหน็บและความยากลำบาก เกรงว่าไม่มีทางใช้ชีวิตอยู่ต่อ
พอได้ยินเสียงกีบม้าที่เร่งรีบ ชนเผ่ามารชั้นล่างที่กำลังผ่าฟืนและใช้แรงงานสองข้างทางก็รีบคุกเข่าลง โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสักนิด
ถ้าเป็นยามปกติ อัศวินกลุ่มนี้อาจนึกสนุก หวดแส้ให้ชนเผ่ามารชั้นล่างเหล่านี้รู้สึกถึงความเจ็บปวดสักหน่อย แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีกะใจแบบนี้แล้ว อยากกลับถึงเมืองเสวี่ยเหล่าแทบไม่ทัน แน่นอนว่า ถ้าทำได้ พวกเขายิ่งไม่อยากกลับเมืองเสวี่ยเหล่าตลอดกาล