ตอนที่ 2650

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 2,650 : ‘กับดัก’

 

 

“เอาสิ ไปกัน”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกัฉินอวี่มากมาย แต่ในอดีตเขาก็มีความประทับใจอันดีต่ออีกฝ่ายไม่น้อย

 

จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ก็ออกจากหลุมมังกรซ่อนไปด้วยกัน

 

ฟุ่บ!

 

ภายในหลุมมังกรซ่อนปรากฏร่างหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้ามาฉับไวติดตามต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ หากแต่มันไม่ได้คิดเดินทางออกจากจวนผู้ว่าเหมือนทั้งคู่ แต่เลือกจะไปอีกทาง

 

คนผู้นั้นก็คือ โจวเฟย

 

พอเห็นต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านแล้วจากไปพร้อมฉินอวี่ โจวเฟยก็ออกจากหลุมมังกรซ่อนเพื่อไปหาบิดาบุญธรรม ผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของมณฑลจิ่วโยว โจวทง เพื่อรายงานเรื่องราวทันที

 

“ต้วนหลิงเทียนนั่น…ออกมาแล้วหรือ?”

 

ถึงแม้โจวทงจะเฝ้ารอให้ต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านบ่มเพาะอย่างอดทนมาพักใหญ่ แต่สองตามันยังอดไม่ได้ที่จะส่องสว่างขึ้นมาทันที หลังทราบว่าต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านแล้วจริงๆ ใบหน้าชรายังเผยให้เห็นความตื่นเต้นเล็กน้อย

 

“ท่านพ่อบุญธรรม แล้วเราจะเอาไงต่อดี?”

 

โจวเฟยถาม

 

“ข้าเตรียมการไว้แล้ว…”

 

หลังจากที่โจวทงสงบอารมณ์ลงได้ สองตามันก็หดเล็กลงเผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้น “เจ้าเพียงตามข้าไปชมดูละคร…เท่านั้นก็พอ”

 

ได้ยินวาจามั่นใจของโจวทง โจวเฟยก็รู้สึกมั่นใจตามไปด้วย

 

ส่วนอีกด้าน

 

หลังออกจากหลุมมังกรซ่อนมาพร้อมฉินอวี่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ฉินอวี่เป็นดั่งคนนำเที่ยว พาเขาเดินเล่นไปทั่วเมืองประจำมณฑล

 

ถึงแม้กล่าวไป ต้วนหลิงเทียนจะมาอยู่ในเมืองประจำมณฑลได้ 2 ปีแล้ว แต่เขาไม่เคยออกมาเดินชมเมืองประจำมณฑลสักครั้ง วันนี้เลยนับว่าเป็นครั้งแรกจริงๆ ทำให้ที่ทางค่อนข้างแปลกหูแปลกตาอยู่บ้าง จึงหันมองดูชมอย่างเพลิดเพลิน

 

หลังจากเดินเล่นไปทั่วเมืองทั้งวัน ฉินอวี่ก็พาต้วนหลิงเทียนเข้าไปหาอะไรกินในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง ยังเลือกที่นั่งบริเวณมุมหนึ่งของโถงรวม ฟังเรื่องราวต่างๆจากผู้ที่มาดื่มกิน

 

ต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ก็นั่งรับประทานอาหารลือชื่อของเหลา พลางจิบสุราชั้นดี ฟังเรื่องราวไปเรื่อยเปื่อยอย่างผ่อนคลาย

 

ทว่าทันใดนั้นเอง

 

ความสนใจของต้วนหลิงเทียนก็ได้ถูกบทสนทนาด้วยเสียงกระซิบของโต๊ะหนึ่งดึงดูดไปทันที

 

“เจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือไม่ เห็นว่าอีก 1 ปีหลังจากนี้ พระราชวังฉินจะจัดการประลอง 16 มณฑล…”

 

ผู้ที่มาดื่มกินคนหนึ่งคุยกับสหายร่วมโต๊ะ

 

“การประลอง 16 มณฑลหรือ?”

 

เห็นได้ชัดว่าสหายของมันพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก “มัน…คืออะไรรึ?”

 

“การประลอง 16 มณฑลครานี้น่ะ…”

 

จากนั้นผู้พูดก่อนหน้าก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่มันรู้เกี่ยวกับการประลอง 16 มณฑลออกมา และไม่เพียแต่สหายของมันเท่านั้น กระทั่งผู้ที่ดื่มกินอยู่โต๊ะใกล้เคียงพอได้ยินก็บังเกิดความสนใจ หันมาฟังเรื่องราวการประลอง 16 มณฑลของมันเช่นกัน

 

เพียงมองก็บอกได้ว่าหลายคนพึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก…

 

“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ญาติผู้พี่คนหนึ่งของข้าที่ทำงานในจวนผู้ว่า ได้บอกข้าวาเมื่อเกือบ 3 ปีก่อนท่านผู้ว่าสั่งให้คนสร้างสิ่งทั่เรียกว่า หลุมมังกรซ่อน ขึ้นมาโดยเฉพาะ และทำการรวบรวมจินเซียนอายุไม่ถึง 100 ปีจากทั้งมณฑลเป็นจำนวนทั้งสิ้น 30 คนอย่างฉุกละหุก…ที่แท้ก็เตรียมการไว้สำหรับการประลอง 16 มณฑลนี่เอง!”

 

“หลุมมังกรซ่อน? ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่อนี้จากทหารยามหน้าจวนเช่นกัน…เห็นว่าเมื่อ 2 ปีก่อนนรุ่นเยาว์ที่ถูกคัดเลือกมาจากเมืองเฉวี่ยโยววคนหนึ่ง พอมาถึงหลุมมังกรซ่อนก็ลงมือตัดแขนขาโจวเฟยได้หน้าตาเฉย จนมันอาการหนักไปพักใหญ่…”

 

“สหายท่านนั้น โจวเฟยที่ท่านพูดถึง…ใช้จินเซียนรุ่นเยาว์อายุไม่ถึง 100 ปีที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองประจำมณฑลจิ่วโยวของพวกเรา ลูกชายบุญธรรมของโจวทงคนนั้นหรือไม่?”

 

“ใช่ คนนั้นล่ะ!”

 

“สหายนี่เจ้าล้อเล่นรึเปล่า โจวเฟย อัจฉริยะจินเซียนรุ่นเยาว์ในมณฑลจิ่วโยวเราเนี่ยนะ จะแพ้ให้กับจินเซียนอายุไม่ถึงร้อยปีจากเมืองเฉวี่ยโยว?”

 

“เจ้าไม่รู้อะไรซะแล้ว…อันที่จริงเรื่องนี้มันแพร่ออกมาตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนด้วยซ้ำ แต่เพราะมีคนเอาไปพูดให้คนของผู้พิทักษ์โจวทงได้ยินเลยถูกฆ่าทิ้ง! ภายหลังผู้คนจึงไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงกันอีก”

 

“เอ่อ…พี่ชาย แล้วท่านเอามาพูดแบบนี้ พี่ท่านไม่กลัวดับอนาถบ้างหรือ?”

 

“หึ! อย่างข้าน่ะเหรอ…จะเหลือ กลัวสิ! แต่ข้าคิดว่าข้าคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก…เสี่ยวเอ้อ มาเก็บเงินไวๆ ข้าจะไปแล้ว!!”

 

 

จากนั้นผู้ที่เล่าเรื่องราวเมื่อครู่ก็รีบร้อนจ่ายเงินแล้วจากไปทันที เพราะมันรู้ตัวว่ามันเผลอพูดมากไปแล้ว หากรั้งอยู่เดี๋ยวได้มีปัญหาแน่

 

จากนั้นหลายคนก็เริ่มพูดถึงต้วนหลิงเทียน ยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากเมืองเฉวี่ยโยวกันอย่างออกรส!

 

“ต้วนหลิงเทียน นี่หากพวกมันรู้ว่าเจ้านั่อยู่ตรงนี้…เจ้าว่าพวกมันจะทำหน้ากันยังไง?”

 

ที่มุมหนึ่งของโถงเหลาอาหารฉินอวี่อดไม่ได้ที่จะกระซิบกล่าวด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน

 

“ก็นะ เดิมทีข้าอยากได้ยินเรื่องราวกับสถานการณ์ทั่วไปมากกว่า…แต่ตอนนี้ดูท่าจะพูดถึงเรื่องนี้กันอีกกนาน เรากินหมดนี่แล้วไปกันเถอะ”

 

ต้วนหลิงเทียนยักไหล่เบาๆ ค่อยพูด

 

เหล่าผู้ที่มาดื่มกินในเหลา พอคุยถึงเรื่องต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคึกคัก คาดเดาถามไถ่กันไปเรื่อย หาสาระไม่ได้…

 

อีกทั้งมองแล้วน่าจะพูดคุยกันอยู่แต่เรื่องนี้อีกนาน…สุดท้ายต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ก็ชำระเงินแล้วออกจากเหลาไป

 

หลังออกจากเหลาอาหารแล้ว ฉินอวี่ก็พาต้วนหลิงเทียนไปดูร้านค้าต่างๆในเมืองต่อ จนต้วนหลิงเทียนก็ได้จับจ่ายซื้อหาสิ่งของมาเก็บไว้ใช้บ้าง จากนั้นมื่อไม่รู้จะไปไหนแล้วทั้งคู่ก็คิดเดินทากลับจวน

 

“เจ้าอย่าได้ไปบอกผู้อื่นเล่า…ที่แห่งนั้นเท่าที่ข้ารู้มา ผู้คนที่รู้ก็มีแค่หยิบมือ แม้จะผ่านมาสักพักแล้วแต่หากพวกเรารีบไปตอนนี้ไม่แน่อาจได้ปันน้ำแกงมาดื่มสักถ้วย…”

 

ทันใดนั้นเองมีเสียงดังขึ้นจากตรอกแห่งหนึ่ง

 

ถึงแม้เสียงดังกล่าวจะเป็นเสียงกระซิบที่จงใจเอ่ยให้เบาที่สุด แต่ต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ก็ยังพอได้ยิน

 

ร่างทั้งคู่หยุดลงทันใด พอหันหน้ามามองกันต้วนหลิงเทียนก็ทำท่าให้เงียบไว้ แล้วค่อยๆหลบให้ดีพลางเงี่ยหูฟัง

 

“ที่นั่น…มีวรยุทธ์กับเวทย์พลังระดับลี้ลับจริงหรือ?”

 

อีกเสียงหนึ่งที่จงใจกระซิบกล่าว ดังขึ้นด้วยความไม่เชื่อ

 

“ข้าก็ไม่แน่ใจหรอก…แต่เห็นว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นมรดกของยอดเซียนอมตะย่อมๆ อีกฝ่ายเพราะเจียนตายจึงเร่งทิ้งมรดกสืบทอดเป็นเวทย์พลังกับววรยุทธ์ที่มันคิดค้นโดยไม่จำกัดผู้รับสืบทอด…แล้วมิใช่ว่าวรยุทธ์กับเวทย์พลังที่ตัวตนระดับยอดเซียนอมตะใช้กัน อย่างต่ำสมควรมีระดับลี้ลับหรือไร?”

 

เสียงก่อนหน้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันก็บอกเบาะแสที่ได้รับมาจากสถานที่ๆมียอดเซียนอมตะตกตายออกมา ฟังแล้วคล้ายเป็นเรื่องจริงไม่ได้แปลกปลอมแม้แต่น้อย

 

“ฟังจากที่มันเล่า…สีหน้าท่าทางมันแลดูตื่นเต้นจริงๆ ไม่เหมือนเสแสร้ง”

 

ฉินอวี่หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงเข้ม

 

“อืม”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าหากแต่สองตาทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง ก็จริงที่เขาเองก็บอกได้ว่าที่ทั้งสองคุยกันนั้นไม่ใช่เรื่องเสแสร้งแน่นอน…

 

จากนั้นทั้ง 2 คนในตรอกที่กระซิบคุยกันก็ไปแวะซือหาของตามร้านคล้ายเตรียมตัว ไม่นานพวกมันก็เดินออกจากเมืองประจำมณฑล เหินร่างไปทางทิศเหนือ…

 

บริเวณประตูเมืองทิศเหนือ ต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ที่ซ่อนตัวมิดชิดกำลังมองร่างทั้ง 2 เหินจากไป…

 

“เอาอย่างไรดี พวกเราจะตามพวกมันไปหรือไม่?”

 

ฉินอวี่กล่าวถามต้วนหลิงเทียน

 

หลังจากถามคำถามนั้นแล้ว มันยังกล่าวเสริมออกมาอีกว่า “หากพวกเราเดินทางออกนอกเมืองประจำมณฑล แน่นอนว่าชีวิตของพวกเราก็ตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะไม่มีใครคุ้มกัน…หากเจ้าคิดจะติดตามพวกมันไป ไม่สู้ไปขออาวุโสฝ่ายในจากผู้ว่าให้ติดตามไปคุ้มกันเจ้าสักคน…”

 

ถึงแม้จะมีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าของรางวัลในการประลอง 16 มณฑลคราวนี้จะน่าสนใจ ถึงขั้นผู้ที่ติด 3 อันดับแรก จะทำให้มณฑลต้นสังกัดได้รับโอสถต้าหลัว…

 

อย่างไรก็ตามฉินอวี่ในฐานะที่มาจากเมืองเฉวี่ยโยวเหมือนต้วนหลิงเทียน ก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากอาวุโสฝ่ายในอย่างเจิ้งชิว ตอนที่แวะไปหา

 

ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้ดีว่าผู้ว่าให้ความสำคัญกับต้วนหลิงเทียนมากขนาดไหน

 

ขอเพียงต้วนหลิงเทียนเอ่ยขอคนคุ้มครองออกมาแค่คำเดียว ผู้ว่าต้องยินดีมอบอาวุโสฝ่ายในให้มาติดตามคุ้มครองต้วนหลิงเทียนไปนอกเมืองโดยไม่อิดออดแน่นอน

 

ยิ่งไปกว่านั้นด้วยเกี่ยวพันกับวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังระดับลี้ลับ ไม่แน่ผู้ว่าอาจจะออกมาด้วยตัวเองเลยก็เป็นได้

 

ด้วยความที่ผู้ว่าให้ความสำคัญกับต้วนหลิงเทียน และไม่รู้ความเป็นมาที่แน่ชัดของต้วนหลิงเทียน ใจย่อมคิดนำวรยุทธ์กับเวทย์พลังนั้นมาให้ต้วนหลิงเทียนเช่นกัน เพื่อเป็นการรับประกันชัยชนะในการประลอง 16 มณฑลที่พระราชวังฉิน…!

 

“ตอนนี้ข้าเกรงว่าถ้ามัวแต่ไปขอคนจากผู้ว่าที่จวนก็คงไม่ทัน เพราะพวกเราต้องคลาดกับสองคนนั่นแน่…หากเรื่องที่พวกมันพูดไม่จริง ก็คงไม่คุ้มเสี่ยง แต่ฟังแล้วที่พวกมันพูดดูเหมือนจะไม่ได้โกหก”

 

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายขึ้นวาบหนึ่ง ไม่นานก็ตัดสินใจได้ “ข้าว่าจะลองตามพวกมันไปดู…เจ้ากลับไปที่จวนก่อนก็ได้ หากข้ามีโชคได้รับวรยุทธ์หรือเวทย์พลังอะไรนั่นมาเดี๋ยวข้าจะแบ่งให้เจ้าเอง”

 

“หากข้าไม่ได้ไปกับเจ้า…ถึงเจ้าจะได้ทักษะระดับลี้ลับมา ข้ายังจะมีหน้าขอแบ่งเจ้าได้ลงคอหรือ?”

 

ฉินอวี่ส่ายหัวไปมาและตัดสินใจติดตามไปกับต้วนหลิงเทียน

 

ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนตอนเดินทางจากเมืองเฉวี่ยโยวมาเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว ต้วนหลิงเทียนก็รู้แล้วว่าฉินอวี่เองก็มีนิสัยดื้อรั้นไม่น้อย

 

ลองอีกฝ่ายตัดสินใจไปแล้ว ก็คงยากจะเปลี่ยนแปลง

 

ดังนั้นคราวนี้เขาเลยไม่คิดโน้มน้าวอะไรฉินอวี่ เพียงพยักหน้าเห็นด้วย

 

“งั้นเจ้าไปกับข้า…แต่อย่าได้ออกห่างจากข้าเล่า”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือน

 

“ข้าเข้าใจ”

 

ฉินอวี่พยักหน้า

 

ถึงมันจะไม่รู้ว่าตอนนี้พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ที่รู้ๆคืออีกฝ่ายร้ายกาจกว่ามันแน่นอน!

 

จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับฉินอวี่ก็เหินร่างออกจากเมืองประจำมณฑลจิ่วโยว เหาะไปทางทิศเหนือลอบสะกดรอยตามทั้ง 2 คนที่เหินจากไปก่อนหน้า

 

มองจากความเร็วของทั้งคู่ก่อนหน้า ก็บอกได้ว่าพวกมันอยู่ในขอบเขตจินเซียนตะวันแดง แม้จะไม่ช้า แต่พวกต้วนหลิงเทียนก็เร็วกว่าพวกมันอยู่ดี ไม่ยากที่จะลอบสะกดรอยตามพวกมัน

 

เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงจงใจทิ้งระยะห่างให้อีกฝ่ายไม่อาจสัมผัสถึงพวกเขาได้

 

“ต้วนหลิงเทียน…ข้ารู้สึกว่า…เรื่องราวชักผิดท่าแล้ว”

 

หลังเหินร่างมาไกลจนอยู่เหนือป่าไผ่อันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ฉินอวี่พลันกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสู้ดี เพราะสัญชาตญาณมันร้องเตือน…

 

“อ่า..ข้าเกรงว่าพวกเราจะโดนจัดฉากล่อออกมาแล้วจริงๆ”

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็ตระหนักถึงสถานการณ์กระจ่าง

 

นั่นเพราะสองร่างที่เหินนำพวกเขามานั้น พอมาถึงป่าไผ่แห่งนี้อยู่ๆก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะเดียวกันพวกเขาทั้งคู่ก็ได้แต่บินไปอย่างไร้ทิศทางประหนึ่งแมลงวันไร้หัว 2 ตัว…

 

และแทบจะในเวลาเดียวกันกับที่ฉินอวี่ทักต้วนหลิงเทียนเรื่องสถานการณ์ผิดท่า จนทำให้ต้วนหลิงเทียนยืนยันเรื่องราวได้นั้นเอง…

 

“ต้วนหลิงเทียน!”

 

เสียงคุ้นๆหูหนึ่ง พลันดังลงมาจากฟ้าสูงเข้าหูต้วนหลิงเทียน และดูเหมือนกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

ต้วนหลิงเทียนก็เงยหน้าขึ้นไปมองตามต้นเสียงทันที

 

ปรากฏร่าง 2 ร่างสะท้อนในแววตาเขา

 

เป็นชายชราคนหนึ่งที่เหินร่างนำชายหนุ่มอีกคนมา

 

และคนที่เรียกหาเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นชายหนุ่มด้านหลังนั่นเอง

 

“โจวเฟย!”

 

“โจวทง!”

 

สองตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเล็กน้อย

 

สองคนที่อยู่ในสายตาเขาไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นผู้พิทักษ์อันดับ 1 ของมณฑลจิ่วโยว โจวทง กับลูกบุญธรรมของมัน โจวเฟย…!