เกาฮวนมิได้มองดวงตาคู่นี้ แต่กำลังมองคิ้วของชายชรา
เขาจำได้อย่างแม่นยำว่า ในคิ้วมีไฝเม็ดหนึ่ง
แล้วก็มีจริงๆ
เกาฮวนพลันรู้สึกปวดใจยิ่ง
ปวดใจ
พริบตาที่เห็นไฝเม็ดนั้น เขาก็รู้ว่าตนเองถูกหลอกแล้ว
เมื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้ายังอยู่ การลอบจู่โจมของตนในครั้งนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จ
นี่จึงหมายความว่า การสู้รบในครั้งนี้กำลังจะจบลงด้วยชัยชนะของชนเผ่ามนุษย์
นี่ย่อมเป็นเรื่องควรค่าแก่การปวดใจ โดยเฉพาะสำหรับเขา
“ถังซาน! ถังจิงเทียน!”
เกาฮวนร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง แล้วทะยานร่างขึ้นสู่ท้องฟ้า คิดจะจากไป
เสียงโลหะกระทบกัน โซ่โลหะหลายเส้นทะลวงอากาศ ตรงดิ่งขึ้นไปรัดข้อเท้าของเขาไว้
ขณะเดียวกัน สายพิณหลายเส้นก็ทะลุผ่านเกราะอ่อนที่ทอจากหนามแหลมส่วนหางของอสูรกระทิง
เสนาบดีเว่ยถือพู่กันพิพากษา เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่หลายตัว
ค่ายกลพลันปรากฏบดบังท้องฟ้า
ท่านปู่ถังเหาะขึ้น ปล่อยหมัดหนึ่งใส่ทรวงอกของเกาฮวน
โลหิตไหลทะลัก!
ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเกาฮวนเต็มไปด้วยโลหิตและความคลุ้มคลั่ง เตรียมจะตีโต้ครั้งสุดท้าย
จากนั้น แววตาที่เหลืออยู่ของเขาพลันสังเกตเห็นว่า เปลวไฟบนทุ่งหญ้าเหล่านั้นมอดลงเรื่อยๆ
แสงสีส้มช่วงพลบค่ำเข้มขึ้น กำลังเปลี่ยนเป็นช่วงค่ำคืน ตามหลักแล้ว เปลวไฟเหล่านั้นควรจะสว่างขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดถึงได้จางลงเช่นนี้
หรือดับไปแล้ว เป็นไปไม่ได้!
การเผาเสบียงอาหารกองทัพเผ่ามนุษย์ เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดในแผนของเกาฮวนเสมอมา สำคัญกว่าการสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ได้กี่คนมากมายก่ายกอง
เขานำยอดฝีมือเผ่ามารเหล่านั้นบุกเข้าไปในค่ายกลขบวนรถ เดิมทีต้องการดึงดูดความสนใจจากที่อื่นๆ
วิธีการของเขาประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ก็คือช่วงที่ต่อสู้กันเมื่อครู่ พลหมาป่าได้จุดไฟเผาเสบียงมากมายสำเร็จ
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เกวียนขนเสบียงเหล่านั้นจะทำให้หัวท้ายที่ต่อกันของค่ายกลขบวนรถ มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านทั้งหมด
แล้วเหตุใดเปลวไฟเหล่านั้นถึงดับได้เล่า ต้องรู้ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่พลหมาป่าพกติดตัวมามิใช่น้ำมันธรรมดา แต่เป็นน้ำมันจากสุดแดนทะเลเหนือที่หนาวเย็น ใช้น้ำกับทรายกลบก็ล้วนยากที่จะดับได้!
โลกทั้งโลกค่อยๆ เงียบลง
เกาฮวนยืนอยู่บนทุ่งหญ้ากับความสิ้นหวังที่เหลืออยู่ โดยไม่ทำอะไรอีก
โลหิตสีทองย้อมร่างของเขาทั้งร่าง ภายใต้แสงอัสดงสุดท้ายสาดส่อง แลดูทั้งเศร้าทั้งสง่าเป็นพิเศษ
…ที่แท้ก็เป็นเชื้อพระวงศ์สายเลือดบริสุทธิ์ท่านหนึ่ง
การที่พระบรมวงศานุวงศ์เช่นนี้ได้เป็นหัวหน้าวุฒิสมาชิกของวุฒิสภา หมายความว่าอะไร
มิน่าเล่าราชามารในรัชสมัยก่อนถึงได้เกรงกลัวเขา ขนาดที่ต้องใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดกำจัดเขา โดยไม่สนใจว่าประชาชนและราชสำนักจะสั่นคลอน
สายตานับไม่ถ้วนพุ่งไปที่ร่างของเกาฮวน แล้วย้ายไปที่ร่างของท่านปู่ถัง
สำหรับคนบนโลก ท่านปู่ถังมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นคนที่ลึกลับที่สุดด้วย
โดยสองร้อยปีมานี้ เขาไม่เคยออกจากเวิ่นสุ่ยเลย แม้ม่ออวี่นำพระราชโองการศักดิ์สิทธิ์ของจักพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มาวิงวอนร้องขอก็ตาม
ท่านปู่ถังมองดูเกาฮวน พลางพูดด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “เจ้ารู้จักข้า?”
ตอนนี้หลายคนถึงนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารขั้นอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เห็นท่านปู่ถัง ก็ตะโกนคำนั้นออกมา
“ถังซาน! ถังจิงเทียน!”
เป็นคำธรรมดาๆ คำหนึ่ง แต่เผยให้เห็นความจริงอย่างน้อยสามอย่าง
ชื่อเล่นและลำดับพี่น้องของท่านปู่ถัง อีกทั้งชื่อจริงที่ผู้แข็งแกร่งเผ่ามารผู้นี้รู้จัก
“เราพบกันที่ลั่วหยางเมื่อนานมาแล้ว”
เกาฮวนพูดกับท่านปู่ถัง “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะจดจำได้”
ท่านปู่ถังมองเขานิ่งพลางว่า “ที่แท้ก็เจ้านี่เอง หึๆ มิน่าเล่าถึงได้พูดภาษามนุษย์ได้นิดหน่อย”
ใช่แล้ว ภาษาชนเผ่ามนุษย์ของเกาฮวนคุ้นหูจริงๆ ชนิดนำไปเปรียบกับพวกเชื้อพระวงศ์และผู้สูงศักดิ์ในเมืองเสวี่ยเหล่าที่สนใจภาษาชนเผ่ามนุษย์ไม่ได้ แต่คำพูดนี้ของท่านปู่ถัง เป็นคำพูดสองแง่สองง่ามอย่างเห็นได้ชัด ความเย็นชาและการถากถางที่อยู่ในนั้น ใครๆ ก็ฟังออก
ที่แท้ เขาก็รู้จักฝ่ายตรงข้าม
“เกาฮวน เกาเยี่ยนเฉิน!”
ท่านปู่ถังมองตาเขา พลางว่า “ข้านึกว่าเจ้าตายไปนานแล้ว แต่ข้าคิดว่าตอนนี้ เจ้าน่าจะอยากตายเต็มทีแล้ว”
……
……
เกาฮวน ชื่อเยี่ยนเฉิน
นี่เป็นชื่อในเผ่ามนุษย์ของเขา
เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มีพรสวรรค์ท่านหนึ่ง เป็นเชื้อพระวงศ์เผ่ามารสายเลือดบริสุทธิ์ และเป็นชนเผ่ามารคนสุดท้ายที่ขอมาศึกษากับชนเผ่ามนุษย์
ท่านปู่ถังรู้ว่าเขาเคยเป็นศิษย์ของพรรคฉางเซิง แต่พบเจอเขาตัวเป็นๆ ก็ที่ลั่วหยาง
ตอนลั่วหยางถูกล้อม สถานะของเกาฮวนถูกเปิดเผย แต่กลับไม่มีใครกล้าสังหารเขา เพราะทัพใหญ่เผ่ามารที่อยู่นอกเมืองระบุว่าเขาต้องปลอดภัย
ท่านปู่ถังกับสหายคิดลอบสังหารเขา แต่กลับถูกผู้อาวุโสห้ามไว้
“ถ้าซางรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ต้องดีใจมากแน่ๆ”
ท่านปู่ถังมองเกาฮวนพลางว่า “ตอนนั้นคนที่อยากฆ่าเจ้ามากที่สุดก็คือเขา”
เกาฮวนว่า “ถ้าตอนนั้นพวกเจ้ากล้าลงมือ ข้ายื่นนิ้วๆ เดียวออกไป ก็บิดพวกเจ้าให้ตายได้ในทันที”
ท่านปู่ถังว่า “ถูก เจ้าในตอนนั้นแข็งแกร่งกว่าเรามาก”
เกาฮวนยิ้มเย็นชา “วันนี้ถ้าไม่ใช่ถูกเจ้าลอบกัด ข้าไม่มีทางแพ้แน่”
ท่านปู่ถังส่ายศีรษะ “ผิดแล้ว ต่อให้วันนี้เจ้าชนะ ในที่สุดพวกเจ้าก็ต้องแพ้”
เกาฮวนเลิกคิ้วเล็กน้อย “ทำไม”
ท่านปู่ถังว่า “เพราะเรารอมาหนึ่งพันปีแล้ว ถ้าแบบนี้ยังไม่สามารถเอาชนะได้ นั่นก็ไร้เหตุผลจนเกินไป”
เกาฮวนว่า “ลั่วหยางก็ถูกเราล้อมไว้นานมาก แต่พวกเจ้าก็ไม่ได้แพ้นี่”
“ลั่วหยางไม่ใช่เมืองเสวี่ยเหล่า และสิ่งที่ต่างกันมากก็คือ จวบจนท้ายที่สุด พวกเจ้าก็เข้าเมืองไม่ได้”
ท่านปู่ถังหยุดเล็กน้อย ค่อยว่า “แต่เรากำลังจะเข้าเมืองเสวี่ยเหล่าในไม่ช้า”
ร่างของเกาฮวนเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อเล็กน้อย
ท่านปู่ถังยื่นมือออกไปตบบ่าเขาเบาๆ แล้วว่า “ยอมแพ้เถิด”
อาจเป็นเพราะฝ่ามือของท่านปู่ถังทำให้สะเทือนใจ
น้ำตาหนึ่งหยดจึงหยดลงจากใบหน้าของเกาฮวน
เขายังคงรอยยิ้มไว้ แต่รอยยิ้มช่างดูไม่ได้เอาเสียเลย ใบหน้าอันอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความปวดร้าว
“ถ้าฝ่าบาทยังอยู่ พวกเจ้าล้วนต้องตาย...”
เสียงของเกาฮวนพลันสูงขึ้น ก่อนตะโกนเสียงแหลม “ไม่! ถ้าเขาตายเร็วกว่านั้น ก็ไม่มีทางเป็นแบบนี้!”
ถ้าราชามารผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้นตายเสียแต่แรก เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน เขาจะถูกคุมขังในขุมนรกได้อย่างไร เขาย่อมต้องกลายเป็นบุคคลในตำนานของเผ่ามารแน่
และหนึ่งพันปีที่ผ่านมา เผ่ามารมีอัจฉริยะที่น่าทึ่งอย่างเขาสักกี่คนเชียว ที่เขาถูกทารุณก็เพราะคุกคามสถานะของราชามารเฒ่า แล้วการกวาดล้างที่เกิดขึ้นมากมายในเมืองเสวี่ยเหล่า ได้ทำลายอัจฉริยะที่แท้จริงไปมากน้อยเพียงใด การฆ่าล้างเหล่านั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่อเผ่ามารอย่างไร
ไม่มีคำตอบ ราชามารท่านนั้นได้ตายไปแล้ว
น้ำตาค่อยๆ ไหลลงอาบแก้มที่ซีดขาว เกาฮวนรู้สึกว่าใจของเขาเจ็บยิ่ง มือซ้ายจึงบีบเกราะอ่อนให้กระชับเข้ามาปิดทรวงอก ทำให้หายใจลำบากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้าย เขาก็ค่อยๆ ล้มลงกับพื้น หยุดหายใจไป
ท่านปู่ถังมองดูศพเขา แล้วเงียบงันอยู่นาน นึกถึงเรื่องเก่าๆ มากมาย
นั่นคือเรื่องเก่าแก่อย่างแท้จริง เพราะผ่านมาเกือบพันปีแล้ว
บนพื้นดินที่ใบหลิวร่วงหล่น ทัพใหญ่เผ่ามารดุจกระแสน้ำสีดำ
ในปากหมาป่ายักษ์กระหายโลหิต มักพบเห็นชิ้นส่วนมนุษย์
เมืองลั่วหยางถูกล้อมเป็นเวลานานหลายเดือน ประตูเมืองเปิดเพียงสามครั้ง
ครั้งแรกสุด ทัพใหญ่เผ่ามารขอให้ชนเผ่ามนุษย์มอบตัวเกาฮวนออกมา
ประตูเมืองลั่วหยางกำลังเปิดออก แสงอาทิตย์สาดเข้ามาจากทางนั้น ทำให้เห็นเงาร่างของอัจฉริยะหนุ่มเผ่ามารยาวมาก
เกาฮวนเดินออกไปนอกเมือง ฝีเท้าของเขามั่นคงยิ่ง เสียงหัวเราะก็ทระนงยิ่ง
น้ำตาสองหยด หยดลงจากใบหน้าของท่านปู่ถัง
ผู้คนสะดุ้งตกใจ
แม่นางน้อยขายเครื่องประทินโฉม และแม่ทัพของขบวนขนส่งเสบียงรีบรุดเข้ามา คิดพูดปลอบโยน
ที่ท่านปู่ถังร้องไห้ต่อหน้าศพของเกาฮวน หลายคนคิดว่าน่าจะเป็นการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันระหว่างบุคคลที่น่าทึ่งเช่นเดียวกัน
เสนาบดีเว่ยกับอาจารย์พิณตาบอดกลับรู้ว่ามิใช่เช่นนั้น
นั่นคือน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ สิ่งที่ต้องการที่สุดคือสุราเฉลิมฉลองจอกหนึ่ง มิใช่การปลอบโยน
“มีความสุขนัก! ข้ามีความสุขมากนัก!”
ท่านปู่ถังร้องไห้ไปตะโกนไป “รีบไปเมืองเสวี่ยเหล่า ข้าอยากมีความสุขยิ่งกว่านี้!”