พอได้ยินคำนี้ ผู้คนก็อึ้งไปสักพัก ค่อยเข้าใจว่าที่แท้ท่านปู่ถังมีความสุขมากจริงๆ จึงรีบแยกย้ายกันไปทำงานของตน
“ท่านพ่อ ขอท่านตรึกตรองให้ถ้วนถี่!”
ท่านลุงถังก็อยู่ในขบวนรถขนส่งเสบียงด้วย เขาพยายามปรามพลางพยุงแขนของท่านปู่ถัง
ขบวนขนส่งเสบียงที่ยาวเหยียดเช่นนี้ ถ้าต้องเคลื่อนผ่านยอดเขานั่วรื่อหลั่งตลอดทั้งคืน แล้วยังต้องไปช่องเขาซิงซิงต่อ ในมุมมองทางทหารแล้ว ค่อนข้างเสี่ยงอันตรายจริงๆ
พอท่านปู่ถังได้ยิน ก็ไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่าผ่านไปสักพัก ก็หันหลังกลับ
เขามองท้องทุ่งรกร้างและเทือกเขาที่อยู่ด้านหน้า ราวกับเห็นเมืองเสวี่ยเหล่าที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ พลางน้ำตาไหล
“ก็จริง รอมาหนึ่งพันปีแล้ว รออีกสักวันจะเป็นไรไป”
……
……
ยิ่งรอนาน ก็ยิ่งร้อนใจ แต่ถ้ากินเวลานานถึงพันปีจริงๆ เช่นนั้นความอดทนของผู้คนก็เพิ่มมากขึ้น
กองทัพเผ่ามนุษย์ในตอนนี้ ดูไปแล้วมีความอดทนมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการถอยทัพอย่างฉับพลันของกองทัพเผ่ามาร หรือนักรบต่างชนเผ่านับแสนจู่โจมอย่างกะทันหัน ก็ล้วนไม่มีทางทำให้แนวรบของกองทัพเผ่ามนุษย์สั่นคลอนแม้แต่น้อย และดูเหมือนไม่มีเจตนาที่จะบุกโจมตีเมืองเสวี่ยเหล่า
“พอเห็นเกาฮวนตาย ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองก็อาจตายได้ จึงต้องระวังให้ดี”
ท่านปู่ถังมองไปทางเมืองเสวี่ยเหล่าที่อยู่ไกลออกไปพลางว่า “ข้าต้องเห็นภาพเมืองแตกกับตาให้ได้ จึงไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดใดๆ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “มีคนมากมายที่อยากเห็นภาพนี้กับตา”
ท่านปู่ถังรับชาร้อนมา แล้วพยักหน้าชมเชยสวีโหย่วหรง
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ชงชาด้วยตัวเอง มองไปในโลกนี้ น่าจะมีเพียงท่านปู่ถังที่ได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้
สวีโหย่วหรงรู้ว่าเฉินฉางเซิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สะดวกหูกับท่านปู่ถัง จึงยิ้มน้อยๆ แล้วออกจากกระโจมไป
ในกระโจมเงียบสงบยิ่ง และคงความเงียบไปอีกพักใหญ่ กระทั่งควันของชาร้อนในถ้วยค่อยๆ หมดไป
“ถังซานสือลิ่วไม่ได้ป่วย แต่ถูกพิษ”
เฉินฉางเซิงมองตาท่านปู่ถังพลางว่า “ใต้เท้าสังฆราชสายตาแหลมคม ย่อมดูไม่ผิด พิษนั้นมีผลไม่มาก เพียงทำให้เขาไข้ขึ้นสูงไม่ลด”
ท่านปู่ถังไม่มีเจตนาปิดบังอะไร ยอมรับความจริงหน้าตาเฉย “บ้านสกุลถังจำเป็นต้องให้เขามีชีวิตอยู่”
ที่เขายอมรับ เพราะเฉินฉางเซิงเดาความจริงในเรื่องนี้ถูก แต่ไม่ได้พูดออกมาทันที และหมายความว่าจะไม่พูดตลอดไป
ท่านปู่ถังออกจากกระโจม เดินไปทางทิศที่ตั้งของภูเขาลูกเล็กที่อยู่ห่างออกไป
สวีโหย่วหรงกลับเข้าไปในกระโจม
วันนั้นนางไม่ได้ถาม วันนี้ก็ไม่มีทางถาม ทว่าเฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตนเองควรพูดอะไรบ้าง แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
“ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเสียสละ”
สวีโหย่วหรงสรุปเรื่องนี้ด้วยคำพูดที่คลุมเครือเช่นนี้
……
……
ชนเผ่ามารในเมืองเสวี่ยเหล่าน่าจะรู้ชะตากรรมของกองกำลังโดดเดี่ยวที่นำโดยเกาฮวนแล้ว จึงเริ่มถอยออกจากแนวรบอย่างรวดเร็ว พลหมาป่าเผ่ามารที่เข้าร่วมเป็นกำลังรบภายใต้การคุ้มครองของกองทัพ สลัดหลุดจากการปะทะกับทหารม้าเกราะดำอาวุธหนักและกลับเข้าเมืองไปได้ นักรบต่างชนเผ่าสองแสนกว่าคน ส่วนน้อยถูกรับกลับเข้าเมือง ส่วนใหญ่ยังเหลืออยู่นอกเมือง
สถานการณ์วุ่นวายค่อยๆ สงบลง กองทัพเผ่ามนุษย์มิได้ไล่ตาม ศึกชี้ชะตาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้มองเห็นฉากจบแล้ว นักรบต่างชนเผ่ายืนอยู่ระหว่างประตูเมืองที่ปิดสนิทกับกองทัพเผ่ามนุษย์ที่พร้อมรบเต็มที่
แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกท้อแท้ ท่ามกลางกระโจมที่ไม่เป็นระเบียบ อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสิ้นหวัง
ขวัญและกำลังใจของกองทัพเผ่ามารตกต่ำลงไปมาก แต่อสูรที่ถูกกักบริเวณยังคงต่อสู้กันอยู่ ซึ่งฝั่งมนุษย์รออีกสักระยะก็ยังได้ เชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์จะดีขึ้น โดยเฉพาะนักรบต่างชนเผ่าที่อยู่นอกเมืองเหล่านั้น กระทั่งอาจไม่รบและล่าถอยไป
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากได้รับรายงานชิ้นหนึ่งที่นกอินทรีแดงส่งมา ขุนพลเทพเฮ่อหมิงก็ใช้เวลาหนึ่งมื้ออาหารขบคิด ก่อนออกคำสั่งให้เพิ่มความแข็งแกร่งในการบุกโจมตีต่อ โดยกองทัพเส้นกลางให้เริ่มกวาดล้างนักรบต่างชนเผ่าที่มีอยู่ทั่วทั้งภูเขา ส่วนกองทัพเส้นตะวันออกกับกองทัพเส้นตะวันตกถูกขอให้รีบขยับเข้ามาใกล้
แม่ทัพนายกองกับพลทหารหลายนายล้วนไม่เข้าใจคำสั่งทางทหารนี้ แต่ก็ปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว เพราะก่อนคำสั่งจะถูกประกาศออกมา ขุนพลเทพเฮ่อหมิงได้ไปที่กระโจมของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง และได้รับเสียงสนับสนุนจากพวกเขา อีกทั้งซางสิงโจวซึ่งอยู่บนภูเขาลูกเล็ก ก็เงียบมาตลอด
……
……
ทุกคนมีความทรงจำของตนเอง คนนับแสนก็มีความทรงจำนับแสน สำหรับความทรงจำในเรื่องเดียวกัน เค้าโครงคร่าวๆ อาจเหมือนกัน แต่รายละเอียดมักมีความคลาดเคลื่อน
โดยกวนเฟยไป๋นึกมาตลอดว่า นั่นเป็นวันหนึ่งช่วงกลางเดือนเก้า เขานอนอยู่ในกระโจม กำลังรับการรักษาจากขุนนางเทพของพระราชวังหลี จากนั้นก็ได้ยินเสียงกำแพงเมืองถูกระเบิดห่างออกไปหลายสิบลี้ พอเลิกม่านขึ้นดู ก็เห็นใบไม้บนต้นไม้ตรงเนินเขาด้านหน้า เป็นสีแดงเหมือนมีโลหิตซึมออกมาอย่างไรอย่างนั้น แต่ไป๋ไช่ก็ยืนยันว่า นั่นเป็นวันหนึ่งช่วงต้นเดือนเก้า ป่าไม้นอกเมืองเสวี่ยเหล่ายังเหลือความเขียวสุดท้ายให้เห็น ส่วนใบไม้สีแดงที่กวนเฟยไป๋เห็นเหล่านั้น เพราะตัวเขาเองสังหารชนเผ่ามารมากจนเกินไป จนเลือดเข้าตาต่างหาก
ถ้าไม่สนใจความคลาดเคลื่อนของรายละเอียดในความทรงจำเหล่านี้ สรุปก็คือ ในวันหนึ่งขณะย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง กองทัพเผ่ามนุษย์ได้เปิดฉากเผด็จศึกเมืองเสวี่ยเหล่าอย่างดุเดือด
โดยยิงศรแสงศักดิ์สิทธิ์สุดท้ายเข้าไปในเมืองเสวี่ยเหล่าดุจห่าฝน
พลหมาป่ากองหนึ่งเตรียมออกนอกเมืองไปรับนักรบต่างชนเผ่า แต่กลับโชคร้ายสุดๆ เมื่อถูกฝนลูกธนูห่านี้ยิงใส่ บาดเจ็บล้มตายอย่างน่าอนาถ
เครื่องยิงหินประหนึ่งยักษ์ เคลื่อนที่มาถึงท้องทุ่งรกร้างหน้าเมืองเสวี่ยเหล่า ชนเผ่ามารในเมืองเหมือนเห็นวิญญาณบรรพบุรุษสกุลกู้ไอที่สูงใหญ่ สีหน้าจึงซีดขาว กองหินผสมดินประสิวดุจภูเขาเลากา ลอยแหวกอากาศเสียงดังหวีดหวิว วาดโค้งสูงมาก แต่ไม่ได้ตกเข้าไปในเมือง ได้ยินเสียงทึบตัน ก้อนหินหลายก้อนตกลงบนกำแพงเมืองเสวี่ยเหล่า ไม่สามารถสร้างความเสียหายโดยตรง แต่ได้กระจายเป็นฝนหินเต็มท้องฟ้า ตกลงบนพื้นดิน ทำเอานักรบต่างชนเผ่าเหล่านั้นหัวร้างข้างแตกเลือดอาบไปตามๆ กัน
เมื่อการสู้รบดำเนินถึงช่วงดุเดือดสุด พลันมีกองกำลังของชนเผ่าปีศาจสองกองบุกเข้าสังหารชนเผ่ามารจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ…เป็นชนเผ่าปีศาจจากค่ายผิงเป่ย ซึ่งหลังออกจากชงโจว ก็เคลื่อนไหวอยู่รอบบริเวณท้องทุ่งรกร้างมาตลอด ที่แท้นั่นเป็นเพียงการพรางตัวของกำลังเสริมจากเผ่าปีศาจจริงๆ โดยอ้อมไปทางทุ่งหญ้าของชนเผ่าซิ่วหลิง ลัดเลาะผ่านเทือกเขาตะวันตกชั้นแล้วชั้นเล่า ก่อนเข้าใกล้เมืองเสวี่ยเหล่าอย่างไร้สุ้มเสียงภายใต้การคุ้มครองของกองทัพเส้นตะวันตก เพียงเพื่อจู่โจมให้ชนเผ่ามารถึงแก่ชีวิตในช่วงเวลาที่สำคัญสุด
พอกองทัพเผ่ามารเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งอีก ขวัญและกำลังใจก็พังทลายลง ชนเผ่ามารต่างๆ ยิ่งมาก็ยิ่งแตกกระจาย หนีตายไปทุกทิศทุกทาง
อาทิตย์อัสดงย้อมทั่วทั้งทุ่งหญ้าจนแดงฉาน เนื่องจากต้องการกู้คลื่นแห่งความวุ่นวายให้คืนกลับ ผู้คุมกฎเผ่ามารถึงกับเสี่ยงอันตราย แฝงตัวเข้าไปในค่ายใหญ่ของกองทัพ เป้าหมายคือ สังหารบุคคลสำคัญอย่างเฉินฉางเซิง เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ในสนามรบ หรือพูดได้ว่า ชะลอความพ่ายแพ้ของชนเผ่ามารลงชั่วคราว
ด้านใต้ของเมืองมีหนองน้ำแห่งหนึ่ง หมอกหนาชนิดลมพัดไม่กระจาย แสงสีแดงสดของอาทิตย์อัสดงไม่สามารถลอดผ่าน หวังผ้อรอผู้คุมกฎเผ่ามารอยู่ที่นี่มานานหลายวันแล้ว
ผู้คุมกฎเผ่ามารกะฉวยโอกาสช่วงที่พลหมาป่านับร้อยบุกแบบฆ่าตัวตายเข้าไป แฝงตัวเข้าไปในค่ายใหญ่ขณะพื้นดินเต็มไปด้วยโลหิตและซากศพ แต่ก่อนที่เขาจะทำเช่นนี้ หวังผ้อก็ชักดาบออกมา
แสงอันเจิดจ้าของดาบฟันหมอกหนาบนหนองน้ำกระจาย ส่องสว่างทั่วฟ้าและดิน
หวังผ้อมิได้ลอบกัด กระทำการอย่างสง่าผ่าเผย
ผู้คุมกฎเผ่ามารมองดูค่ายใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แววตาแสดงความรู้สึกเสียดายออกมา
กองทัพเผ่ามนุษย์กำลังเคลื่อนพลมุ่งหน้าไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า ตำแหน่งที่ตั้งของค่ายใหญ่ก็เคลื่อนไปข้างหน้านับสิบลี้
เห็นร่างของเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงได้อย่างชัดเจน
“อ๊ากกก!”
ผู้คุมกฎเผ่ามารส่งเสียงร้องอย่างโกรธแค้นและไม่ยินยอม
ซากศพพลทหารเผ่ามนุษย์และเผ่ามารที่อยู่รอบๆ ทยอยกันระเบิดออก ฝนโลหิตตกลงมาห่าหนึ่ง
โลหิตไหลออกจากชุดเกราะของเขา ย้อมสีเขียวของสนิมสำริดและอัญมณีที่วาววับ เปล่งความโหดร้ายและบ้าคลั่งออกมา
เขาหันกาย หยิบดาบเล่มใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มออกจากแผ่นหลัง รับแสงอันเจิดจ้าของดาบเล่มนั้น
เสียงดัง เปรี๊ยะ บนทุ่งหญ้าปรากฏรอยแตกยาวหลายลี้ ในนั้นคลับคล้ายมีน้ำพุใต้ดินและหินหลอมเหลว
ร่างของผู้คุมกฎเผ่ามารโงนเงนเล็กน้อย ก่อนยืนมั่นได้อย่างรวดเร็ว
ร่างเล็กของเขา สูงใหญ่สุดจะเปรียบในสายตาผู้คน
เขาถือดาบยาว พุ่งเข้าหาหนองน้ำนั่น
พื้นดินสั่นสะเทือน ลมหนาวกระจาย หมอกหนาถูกตัดขาด
ดาบที่แข็งแกร่งสุดในโลกสองเล่มปะทะกันอีกครั้ง
เจตจำนงที่น่ากลัวของดาบทำให้หมอกหนาปั่นป่วน ราวกับพายุหมุน พริบตาเดียวก็ปลิวออกไปจนหมดเกลี้ยง
ผู้คนนับแสนบนท้องทุ่งรกร้างล้วนเห็นภาพของหนองน้ำอย่างชัดเจน
หนองน้ำสีดำเฉอะแฉะอ่อนนิ่มไร้ที่เปรียบ ร่างทั้งสองเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จนมองเห็นไม่ชัด
แสงสว่างจากดาบทั้งสองเล่มส่องสว่างฟ้าดินเป็นระยะ โคลนสีดำปลิวว่อนท้องฟ้า
ความจริงในหนองน้ำที่ถูกปกปิดมานานหลายปี ค่อยๆ ปรากฏขึ้น ในนั้นมีกระดูกขาวมากมาย มีหีบสมบัติสะสมเหรียญทองคำ ยังมีห้องลับหลายห้อง
เหล่านี้น่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม เหล่านี้น่าจะเป็นอดีตที่กลายเป็นเรื่องราวในหนังสือ ซึ่งถูกดาบที่แข็งแกร่งทั้งสองเล่มฟันจนขาดวิ่น
ขณะสุดยอดพลังอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนเป็นไร้ซึ่งความหมาย
เสียง ตูม ดังสนั่น ดาบโลหะของหวังผ้อกับดาบใหญ่ของผู้คุมกฎเผ่ามารปะทะกันซึ่งๆ หน้า
น้ำทั้งหมดในหนองน้ำถูกกระแทกจนกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นฝนโคลน ดินดำที่เฉอะแฉะอ่อนนิ่มก็ถูกยกตัวขึ้น แล้วตกลงบนพื้นดินในรัศมีหลายสิบลี้ ไม่ว่าจะเป็นพลทหารเผ่ามาร หรือพลทหารเผ่ามนุษย์ ล้วนถูกน้ำและโคลนรดเต็มใบหน้าและศีรษะ โชยกลิ่นเหม็นไปทั่ว
บนทุ่งหญ้าปรากฏร่องลึกยาวสิบกว่าลี้
หวังผ้อยืนอยู่ตรงหัวร่อง ครึ่งร่างฝังอยู่ในดิน
ใบหน้าเขาซีดขาว มุมปากมีโลหิตไหลออกเป็นสองสาย มือที่จับดาบโลหะสั่นน้อยๆ ตัวดาบมีรอยบิ่นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรอย
ผู้คุมกฎเผ่ามารก็ไม่ได้มีสภาพที่ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ บนท้องฟ้าเกิดเส้นสีขาวขึ้นเส้นหนึ่ง เขาชนเข้ากับกำแพงเมืองเสวี่ยเหล่าอย่างจัง
พลทหารเผ่ามารทั้งหมดบนกำแพงเมืองล้วนได้ยินเสียงดังลั่น และรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน
ผู้คุมกฎเผ่ามารกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ชีพจรดีขึ้นเล็กน้อย ขณะจะเหาะกลับขึ้นด้านบนกำแพงเมือง เงาร่างสายหนึ่งพลันทาบลงบนใบหน้าเขา
เงาร่างสายนี้มาจากว่าวยักษ์ตัวหนึ่ง
ภายใต้แสงอาทิตย์ในแนวเฉียง ว่าวตัวนั้นคล้ายกำลังไหม้ไฟ
ซึ่งเข้ากันได้ดีกับรูปในภาพที่แขวนอยู่ใต้ว่าวตัวนั้น
นอกจากภาพที่ชื่อว่า ไฟไหม้วัดมหายานแล้ว ด้านล่างของว่าวยังมีคนผู้หนึ่งผูกติดอยู่
ลมพัดกระดาษสีขาวเสียงดังพึ่บพั่บ
เซียวจางกำลังจะกระโดดลงบนกำแพงเมือง ในมือจับทวนน้ำค้างเทพ ปากก็ส่งเสียงแปลกๆ ออกมา
“ย๊ากกก”