เซียงอ๋องมิได้ก่อกบฏแล้วหนีเข้าไปในเมืองเสวี่ยเหล่า
ต่อให้เขาคิดทำเช่นนี้ ก็ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดไล่ล่าเขา
ดังนั้น พูดให้ถูกต้องก็คือ เขามิได้ก่อกบฏ แต่ทำการต่อต้าน
เขานำทัพใหญ่กำลังพลสองหมื่นนาย จ่อเข้าเมืองหลวง โดยเตรียมพร้อมรบที่ด่านยงเสวี่ย เรียกร้องให้องค์จักรพรรดิสละราชสมบัติ
ข่าวนี้ทำให้ค่ายทหารเกิดความโกลาหล ม้าเร็วจำนวนมากปรากฏขึ้นบนทุ่งหญ้า สายตาหลายสายพุ่งเป้าไปยังกระโจมๆ หนึ่งในกองทัพเส้นตะวันตก
เซียงอ๋องมิได้พักรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสอยู่หรือ เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ปรากฏตัวในเมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ได้
เย็นวันนั้น แม่ทัพนายกองทั้งหมดของกองทัพเผ่ามนุษย์ บุคคลสำคัญของนิกายหลวง และตัวแทนจากสำนักและพรรคบำเพ็ญเพียร มารวมตัวกันในกระโจมทหาร เว้นเสียแต่จะมีคำสั่งจากกองทหารม้าที่กำลังเฝ้าดูเมืองเสวี่ยเหล่า
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงยืนอยู่หน้ากระบะทราย ใบหน้าสะท้อนแสงจากตะเกียง เงามืดสว่างบางส่วนไม่นิ่ง
เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงนั่งอยู่ด้านหลัง ไม่พูดไม่จา
ในกระโจมเงียบผิดปกติ บรรยากาศกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนด้านนอกมีเสียงดังเข้ามา
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยถูกคุมตัวเข้ามา เป็นเซียงอ๋อง
กลุ่มคนประหลาดใจมาก หลังจากมองดูให้ถ้วนถี่ ก็พบว่าคนๆ นี้ทั้งรูปร่าง หน้าตา และท่าทาง ล้วนคล้ายเซียงอ๋องมาก แต่เขาเป็นเพียงตัวตายตัวแทน
เซียงอ๋องเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่อ้วนและตลกขบขัน ย่อมมีพลังของผู้แข็งแกร่งซ่อนไว้ ไม่ปล่อยออกมา แต่ตัวตายตัวแทนคนนี้ไม่มี
“คนหลอกลวง!”
เสียงก่นด่าอย่างเกลียดชังไม่รู้ดังมาจากไหน
จากพริบตาที่แน่ใจว่าเซียงอ๋องเป็นตัวตายตัวแทน กลุ่มคนก็แน่ใจแล้วว่า ข่าวกบฏทางใต้เป็นความจริง
ตอนนี้หลายคนถึงนึกขึ้นได้ว่า การต่อสู้ทางทิศเหนือของช่องเขาซิงซิงเมื่อหลายวันก่อน จงซานอ๋องออกรบอย่างหาญกล้า และโชคร้ายบาดเจ็บสาหัส ถูกส่งตัวกลับทางใต้เช่นกัน
คนในกระโจมหันมาสบตากัน คิดระบุให้ได้ว่านอกจากเซียงอ๋องกับจงซานอ๋องแล้ว ยังมีใครจากไป และใครหลงเหลืออยู่อีก
มีท่านอ๋องสกุลเฉินสามท่านอยู่ในกระโจม สีหน้าของพวกเขาซีดขาว มิใช่วิตกว่าตนจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่มั่นใจแล้วว่าตนถูกเซียงอ๋องทอดทิ้ง
สีหน้าของพวกเผิงสือไห่ก็ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง พวกเขากับเซียงอ๋องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน กระทั่งสนิทสนมกันก็ว่าได้ ใครจะคิดเล่าว่า แม้แต่พวกเขาเซียงอ๋องก็ยังปิดบัง
ตนนำทหารหลั่งโลหิตสู้ตายอยู่แนวหน้า แต่พวกเซียงอ๋องนั่นกลับนำทหารกบฏเตรียมบุกเมืองหลวง เมื่อเปรียบเทียบกันเช่นนี้ จะไม่ทำให้โกรธแค้นได้อย่างไรเล่า
“พวกเขาคิดจะทำอะไร นึกว่าการเปลี่ยนรัชสมัยเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนี้หรือ”
สายตาของนักพรตซือหยวนล้ำลึกยิ่ง มองเผิงสือไห่ราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
เผิงสือไห่แค่นเสียงเย็นชาออกมาคำหนึ่ง คิดจะพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไร
“เหตุใดเมืองสวินหยางถึงไม่มีจดหมายมา”
มีคนพลันนึกถึงปัญหานี้
เมืองสวินหยางเป็นฐานที่มั่นขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของการโจมตีเผ่ามารในครั้งนี้ ที่นี่เป็นกำลังเสริมให้กับกองทัพ เป็นต้นทางในการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหาร ตลอดจนพลทหาร สถานที่ตั้งจึงสำคัญมาก ก่อนรบได้ผ่านการพิจารณาจากหลายฝ่าย สุดท้ายได้ตัดสินใจให้ผู้แข็งแกร่งซึ่งเป็นที่เชื่อถือของทุกฝ่าย เฉาอวิ๋นผิง รักษาการณ์ด้วยตัวเอง
เซียงอ๋องแสร้งทำเป็นบาดเจ็บ แล้วแอบแฝงตัวกลับด่านยงเสวี่ยรวบรวมกองทัพกบฏ สำหรับเขาแล้วการทำเช่นนี้มิใช่เรื่องยากจนเกินไป แต่การที่ทหารกบฏคิดจะเดินทัพไปถึงเมืองหลวง ต้องผ่านเมืองสวินหยาง จากความสามารถตามขั้นบำเพ็ญเพียรของเฉาอวิ๋นผิง บวกกับทหารรักษาการณ์เมืองสวินหยาง ต่อให้ไม่สามารถกำจัดพวกกบฏ อย่างน้อยก็สามารถถ่วงเวลาฝ่ายตรงข้ามได้ระยะหนึ่ง โดยไม่ถึงกับขนาดสัญญาณเตือนก็ส่งไม่ทันอย่างแน่นอน
การก่อกบฏน่าจะเกิดขึ้นได้ระยะหนึ่งแล้ว ความเงียบของเมืองสวินหยาง จึงมีความเป็นไปได้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก
“มีคนเห็นเฉาอวิ๋นผิงกับเซียงอ๋องอยู่ด้วยกันกับตา”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงยังคงก้มหน้ามองกระบะทราย เหมือนพูดไปเช่นนั้นเอง “อยู่นอกเมืองหลวง”
พอได้ยินคำพูดนี้ ในกระโจมก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง
กองทัพทั้งหมดของราชสำนักต้าโจวล้วนอยู่หน้าเมืองเสวี่ยเหล่า ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดก็อยู่ที่นี่ ถ้าเฉาอวิ๋นผิงสวามิภักดิ์ให้เซียงอ๋อง เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งพวกกบฏได้
เมืองหลวงไม่มีกำแพงเมือง
ถ้าคิดกำจัดกบฏ คิดช่วยชีวิตองค์จักรพรรดิ การถอนทหารกลับไป ก็เป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียว
อย่างไรก็ตาม เมืองเสวี่ยเหล่าอยู่ตรงหน้าแล้ว ประตูเมืองแตกแล้ว กำลังจะได้เห็นชนเผ่ามารถูกล้างบางตรงหน้า ถ้ากองทัพเผ่ามนุษย์ถอยทัพ ให้เผ่ามารมีโอกาสหายใจ ใครจะเล่ารู้ว่า ประวัติศาสตร์จะพัฒนาไปอย่างไร
ใครกล้าแบกรักความรับผิดชอบเช่นนี้
ต้องบอกว่า จังหวะการก่อกบฏของเซียงอ๋อง ดีเอามากๆ หรือแย่เอามากๆ จริงๆ
“เขาอยากจะเป็นคนบาปแห่งยุคสมัย?”
เสียงผู้เฒ่าดังขึ้น พร้อมๆ กับเสียงล้อรถบดหินกรวดดังอยู่นอกม่าน
ท่านปู่ถังก้าวเข้ามาในกระโจม มองตัวตายตัวแทนของเซียงอ๋องด้วยสายตาไม่ยี่หระ ราวกับมองดูคนตายคนหนึ่ง
ทุกคนล้วนรู้ว่า ไม่ว่าท้ายที่สุด เรื่องนี้จะจบลงเช่นไร คนผู้นี้ไม่มีทางรอดชีวิตแน่
ตัวตายตัวแทนของเซียงอ๋องลุกขึ้นยืน จัดแจงเสื้อผ้า จากนั้นก็มองดูท่านปู่ถังพลางหัวเราะ “ท่านพูดผิดแล้ว”
เขาย่อมเตรียมตัวมาตายแต่แรก ทว่าสามารถแสดงท่าทีสงบนิ่งได้เช่นนี้ ต้องบอกว่าค่อนข้างใจเย็นทีเดียว
“ท่านอ๋องย่อมไม่ยอมให้เรื่องของตนเองกระทบรากฐานนับพันปีของมนุษย์อย่างแน่นอน”
ตัวตายตัวแทนเซียงอ๋องมองไปรอบๆ พลางว่า “เขาฝากให้ข้ามาบอกกับทุกท่านว่า ก่อนที่ทุกท่านจะเข้าเมืองเสวี่ยเหล่า เผาพระราชวังมารนั้น ทัพใหญ่จะไม่เหยียบเข้าเมืองหลวงแม้แต่ก้าวเดียว”
เผิงสือไห่พูดเสียงสูง “แล้วถ้าเรารีบกลับใต้ล่ะ หรือเขาจะทำเรื่องใหญ่ที่ชั่วร้าย เพื่อใช้ข่มขู่เรา”
ตัวตายตัวแทนเซียงอ๋องตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ผิดอีก! ท่านอ๋องบอกว่า ถ้าทุกท่านเลือกกลับใต้ เขาก็จะเข้ามอบตัว เพียงแต่ นึกดูแคลนพวกท่าน”
ได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆ ประปรายในกระโจม แต่แล้วก็หยุดอย่างรวดเร็ว เพราะนี่ไม่ใช่เวลาหัวเราะ และถ้าคิดให้ดีๆ คำพูดนี้แฝงความนัย
“หรือท่านอ๋องคิดว่าตนเองจะประสบความสำเร็จจริงๆ”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงเงยหน้าขึ้น จ้องมองตัวตายตัวแทนผู้นั้นพลางว่า “หรือเจ้าก็เชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จ”
ตัวตายตัวแทนผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “ช่วงแรก ข้าก็รู้สึกว่านี่เป็นคำพูดเพ้อเจ้อของคนบ้า แต่ต่อมาท่านอ๋องได้พูดโน้มน้าวใจข้า”
ตอนนี้พลังทั้งหมดของราชวงศ์ต้าโจวล้วนอยู่ที่เมืองเสวี่ยเหล่า ถ้าเป้าหมายของเซียงอ๋องเป็นเพียงการบุกเข้าเมืองหลวง ยึดครองพระราชวัง บีบให้องค์จักรพรรดิสละบัลลังก์ เช่นนั้นก็ง่ายที่จะประสบความสำเร็จจริงๆ ปัญหาอยู่ที่ หลังจากนั้น เขาจะได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากน้อยแค่ไหน
เฉินฉางเซิงต้องนำพานิกายหลวงเปิดฉากตอบโต้แน่ และเขาก็มีทั้งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ อีกพรรคกระบี่หลีซาน เป็นตัวแทนของสำนักและพรรคบำเพ็ญเพียร มีบ้านสกุลถังเป็นตัวแทนของตระกูลใหญ่หนุนหลัง ต่อให้เซียงอ๋องไม่ต้องกังวลชั่วคราว เรื่องความสัมพันธ์แบบศิษย์อาจารย์ระหว่างเขากับราชินีเผ่าปีศาจในอนาคต เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ก็ยากต้านทานเช่นกัน
แล้วเหตุใดเซียงอ๋องถึงได้กล้าเปิดฉากก่อการกบฏล่ะ เว้นเสียแต่เขามั่นใจว่า เฉินฉางเซิงกับพระราชวังหลี อีกทั้งขุมอำนาจเหล่านั้น จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบใดๆ กับเขา
ความมั่นใจของเขา มาจากไหนกันแน่
ไม่ว่าจะมองมุมไหน เงื่อนไขแรกก็คือ ซางสิงโจวมีวี่แววยืนอยู่ฝั่งเขา
สายตาหลายสายจึงพุ่งเป้าไปที่รถคันเล็กนอกกระโจมนั่น
ตัวตายตัวแทนเซียงอ๋องยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “ท่านอ๋องขอให้ท่านนักพรตวางใจ เขาต้องให้ความสำคัญกับใต้หล้า ไม่ทำอะไรสะเปะสะปะเป็นอันขาด”
เห็นทีเซียงอ๋องได้ฝากความหวังไว้กับซางสิงโจวจริงๆ แล้ว
ซึ่งอันที่จริง ในภายภาคหน้า ก็มีเพียงซางสิงโจวที่ทำให้เฉินฉางเซิงหวั่นไหวได้ ไม่ว่าในสถานะอาจารย์ หรือสถานะผู้อาวุโสในนิกายหลวง
อีกทั้งผู้คนทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้ว่า ซางสิงโจวไม่ชอบเฉินฉางเซิง
ขอเพียงเผ่ามนุษย์สามารถปกครองใต้หล้า ขอเพียงบัลลังก์ยังคงเป็นของลูกหลานไท่จง ดูเหมือนว่า ใครจะเป็นจักรพรรดิก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
อวี๋เหรินตายไป เช่นนั้นเซียงอ๋องก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ผู้คนทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ล้วนรู้ว่า ซางสิงโจวชอบอวี๋เหริน
เซียงอ๋องอาศัยอะไรเดิมพันว่าซางสิงโจวจะหนุนหลังตนเอง
ในกระโจมเงียบสนิท ทุกคนล้วนมองไปทางทิศที่ตั้งของรถคันเล็ก รอการตัดสินใจของซางสิงโจว
ท่านปู่ถังพลันออกจากกระโจมไป เพราะรู้ว่าซางสิงโจวจะทำอย่างไร ซึ่งถ้าเปลี่ยนเป็นเขาเอง ก็ต้องเลือกทำเช่นนั้นเช่นกัน
นักพรตน้อยเลิกผ้าม่านขึ้น กระโดดลงจากรถ มองดูแม่ทัพนายกองและผู้แข็งแกร่งในกระโจม ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงใสๆ โทนเสียงไม่สม่ำเสมอ “ท่านปู่บอกว่า เมืองแตกอยู่ตรงหน้า เรื่องเล็กๆ ที่ไม่สำคัญเหล่านั้น ค่อยว่ากันภายหลัง”
ในกระโจมที่เงียบสนิท เสียงสูดหายใจเอาอากาศเย็นเข้าไปหลายเสียงดังมา
ทุกคนตกตะลึงยิ่ง
ศิษย์สุดที่รักกำลังจะตายท่ามกลางการก่อกบฏที่ไร้ยางอาย แต่เขากลับไม่แยแสสนใจเช่นนี้…
ในสายตาของท่านนักพรต การทำลายล้างเผ่ามารย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าทุกๆ เรื่อง
การให้ความเคารพเป็นเรื่องหนึ่ง การศิโรราบเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใช่ว่าทุกคนล้วนเชื่อฟังความคิดเห็นของซางสิงโจว แม่ทัพนายกองหลายคนหันไปมองขุนพลเทพเฮ่อหมิง
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่องค์จักรพรรดิทรงแต่งตั้งเองกับมือ การที่เขาจะเลือกอย่างไรนั้น หลายคนคลับคล้ายเดาออก
“ฝ่าบาทเคยตรัสด้วยองค์เองว่า แม่ทัพอยู่นอกเมือง ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งองค์จักรพรรดิทั้งหมด ทรงไม่สามารถสั่งสุ่มสี่สุ่มห้าได้”
ขุนพลเทพเฮ่อหมิงพูดต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น เมืองหลวงก็ไม่มีราชโองการศักดิ์สิทธิ์มา”
ในกระโจมโกลาหลกันใหญ่ ไม่มีใครคิดว่า เขาจะมีท่าทีเช่นนี้
เขาบนหน้าผากของเซวียเหอค่อยๆ งอกออกมา เห็นชัดว่าโกรธแค้นถึงขีดสุด
สีหน้าราชันแห่งหลิงไห่ก็ยิ่งเคร่งขรึม มือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อสั่นน้อยๆ พร้อมจะลงมือ
มีคนหันไปมองมุมหนึ่ง หวังผ้อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นมาตลอด เจ้าบ้านสกุลอู๋และผู้อาวุโสโถงกระบี่หลีซานก็อยู่ไม่ไกลกัน
พวกเขาเงียบมาตลอด และไม่แม้แต่จะมองเฉินฉางเซิง แต่ใครๆ ก็รู้ว่า พวกเขากับเฉินฉางเซิงต้องยืนอยู่ด้วยกัน อาจเป็นเพราะพวกเขากับสวีโหย่วหรงยืนอยู่ด้วยกัน
เฉินฉางเซิงไม่ได้มองสวีโหย่วหรง แต่มองนักพรตน้อยที่อยู่ข้างรถเงียบๆ ไม่รู้กำลังนึกถึงอะไร ดูใจลอยอยู่บ้าง
มีคนไอออกมาทีหนึ่ง
เขาจึงค่อยดึงสติคืนกลับ แล้วว่า “เช่นนั้นก็ตามนี้”