เช่นนั้นก็ตามนี้
ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นแบบเพลงจบต่างคนต่างแยกย้ายหรือไม่ ก็ต้องทำเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้ดีก่อน
เช่นเดียวกับที่ซางสิงโจวพูด สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลุ่มคนก็คือเมืองเสวี่ยเหล่า
ยิ่งใกล้มือเสวี่ยเหล่า ระยะห่างระหว่างเฉินฉางเซิงกับรถคันเล็กคันนั้นก็ยิ่งเข้าใกล้กัน ตอนนี้ห่างกันเพียงสิบกว่าลี้ จึงสามารถมองเห็นฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน
ยังคงเป็นเนินเขาเล็กๆ
บนเนินมีต้นไม้ที่เหลือแต่ก้านต้นหนึ่ง บนนั้นมีนกกาคอเทาเกาะอยู่สองสามตัว ดวงตาของพวกมันไม่มีสีแดง น่าจะไม่เคยกินเนื้อมนุษย์มาก่อน
รถคันเล็กจอดอยู่ใต้ต้นไม้ นักพรตน้อยนั่งยองๆ อยู่บนพื้นดิน กำลังขุดอะไรบางอย่าง
เฉินฉางเซิงพลันพูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่ากระเรียนขาวหลอกเจ้า”
สวีโหย่วหรงในชุดเสื้อคลุม กำลังยืนกอดอก จึงหันมอง “หลอกข้าเรื่องอะไร”
เฉินฉางเซิงลังเลสักพัก ค่อยว่า “ตอนเป็นเด็ก ข้าไม่ได้ดูดีขนาดนั้น”
สวีโหย่วหรงยิ้มน้อยๆ แล้วว่า “หึงละสิ”
เฉินฉางเซิงมองดูเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไป พลางส่งเสียงอืมเบาๆ
สวีโหย่วหรงพูดต่อ “เจ้าตอนเป็นเด็กหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น น่าจะมีแต่ศิษย์พี่ของเจ้ากับท่านท่านนั้นที่จำได้ มีโอกาสลองไปถามดูก็ดีนะ”
นึกไม่ถึงว่า โอกาสจะมาถึงอย่างรวดเร็ว
เย็นวันนั้น ซางสิงโจวเรียกให้เฉินฉางเซิงเข้าพบ
ศิษย์อาจารย์รับประทานมะละกอปิ้งสองสามลูก ซึ่งนักพรตน้อยปิ้งด้วยมือตนเอง นับได้ว่ารับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายเรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มสนทนากัน
ช่วงเริ่มต้นสนทนา พวกเขามิได้พูดถึงเมืองเสวี่ยเหล่าที่อยู่ตรงหน้า และมิได้พูดถึงเรื่องในเมืองหลวงที่อยู่ถัดไป ยิ่งมิได้ถามถึงอดีตชีวิตในวัดเก่าแก่ที่เมืองซีหนิง
รูปแบบการสนทนาในครั้งนี้ คล้ายกับท่าทีที่ซางสิงโจวมีต่อโลกใบนี้มาก และบางส่วนก็มีกลิ่นอายวิถีกระบี่ของเฉินฉางเซิง โดยเบื้องหลังซ่อนความรู้สึกดูหมิ่นอยู่ลึกๆ
“จักรพรรดิขาวเคยพูดว่า ในดินแดนต้าลู่ ไม่มีใครเชื่อถือข้า นี่ก็คือสิ่งที่ข้าสู้ท่านไม่ได้”
ซางสิงโจวพูดต่อ “นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ายังเยาว์วัย ยังมีความสามารถไร้ที่สิ้นสุด แต่ข้าแก่แล้ว”
ตรงกลางระหว่างสองประโยคหัวท้าย ดูเหมือนจะไม่เชื่อมต่อกันในเชิงตรรกะ
เฉินฉางเซิงฟังอย่างสงบนิ่ง
“ความตาย สิ่งที่น่ากลัวที่สุด รออยู่ตรงหน้า ทุกคนล้วนยากสลัดหลุด”
ซางสิงโจวพูดต่อ “ด้านนี้ ข้าไปไกลกว่าเจ้า ข้ากังวลมาก ดังนั้นหลายปีมานี้ มีหลายเรื่องที่ข้าต้องรีบทำ”
เฉินฉางเซิงแน่ใจว่าตนเข้าใจแล้ว
ที่แท้เบื้องหลังของความรู้สึกดูหมิ่น ซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่างไว้
และนี่ก็คือคำอธิบาย กระทั่งสามารถเข้าใจได้ว่าขอโทษ สรุปก็คือ เป็นสิ่งที่ซางสิงโจวไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ
คนชราก็เป็นเช่นนี้
เฉินฉางเซิงพลันรู้สึกเศร้าอยู่บ้าง จึงไม่อยากพูดหัวข้อนี้ต่อ
“ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
ซางสิงโจวมิได้กังวลกับการก่อกบฏที่เมืองหลวงเลย เฉินฉางเซิงก็ใช่ว่าจะกังวลมาก สิ่งที่ต้องกังวลจริงๆ ยังคงเป็นเมืองเสวี่ยเหล่า
ชนเผ่ามารพ่ายเร็วเกินไป
ไม่เพียงแต่พวกเขาศิษย์อาจารย์จะเห็นพ้องต้องกันในความเห็นนี้ ทั้งราชสำนักและผู้คนก็รู้สึกเช่นนี้
เริ่มแรกตามแผนการนั้น ชนเผ่ามนุษย์เตรียมพร้อมที่จะทำศึกยาวนานถึงสามปี แต่แล้วขณะนี้ ยังไม่ถึงครึ่งปีก็แก้ปัญหาแล้วเสร็จ
นี่ทำให้เฉินฉางเซิงค่อนข้างวิตก
“คนชุดดำอาจคิดทำอะไร แต่นางไม่มีวันทำสำเร็จตลอดกาล ผู้ที่คุ้นเคยกับศาสตร์ลับ ไม่มีทางรู้ว่า กลยุทธ์ที่แท้จริงคืออะไร สุดท้ายก็ได้แต่ตายในรังหนูของศาสตร์ลับ เมื่อสามร้อยปีก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะหวังจือเช่อเข้าขวาง ข้ากับอาจารย์อาเจ้าคงสังหารนางไปแต่แรกแล้ว คนผู้นี้ไม่คู่ควรที่จะกล่าวถึง”
ซางสิงโจววิจารณ์กุนซือเผ่ามารผู้มีชื่อเสียงโด่งดังท่านนั้นอย่างไม่ไว้หน้า โดยไม่เพียงแต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณสมบัติของฝ่ายตรงข้ามในด้านของกลยุทธ์และศาสตร์มืด ยังเป็นเพราะเขากับคนชุดดำสู้กันและคลับคล้ายเรียกร้องซึ่งกันและกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ต่างคนต่างจึงรู้จักกันเป็นอย่างดี
เขาหยิบขวดกระเบื้องเคลือบขวดหนึ่งให้เฉินฉางเซิง แล้วว่า “สรรพคุณของยาชนิดนี้ไม่ได้ดีเท่ายาจูซาก็จริง แต่ปรุงง่าย วัตถุดิบหลักคือไฟวิญญาณบรรพบุรุษใต้เมืองไป๋ตี้”
เฉินฉางเซิงฟังแล้วก็อึ้งเล็กน้อย เปิดขวดกระเบื้องเคลือบดมดู ไม่แน่ใจอยู่บ้าง “ขอบเส้นสีทองในอารามฉางชุน”
ซางสิงโจวตอบ “ไม่ผิด”
เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจจึงถาม “ตอนแรกข้าคิดใช้ยาชนิดนี้ควบคุมความแรงของยาจริงๆ แต่ว่า…”
ซางสิงโจวพูด “วิชาแพทย์ของเจ้า ข้าเป็นคนสอน หรือเจ้ายังจะเก่งกว่าข้าอีก”
เฉินฉางเซิงฟังแล้วก็พูดไม่ออก จากนั้นสักพักก็ดีใจขึ้นมา ในใจคิด มิน่าเล่าครั้งนี้จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายในกองทัพถึงได้ลดลงไปมาก
ซางสิงโจวว่า “ต่อไปไม่ต้องปรุงยาจูซาแล้ว และก็ไม่ใช่สตรี ที่เลือดไหลทุกๆ เดือนแล้วไม่เป็นไร”
เฉินฉางเซิงพูดไม่ออกอีกครั้ง อ้าปากเล็กน้อย ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
พอซางสิงโจวเห็นท่าทางของเขา ไม่รู้ทำไมถึงได้ฉุนเฉียวขึ้นมา “ไม่มีอะไรแล้ว ไปเถอะ”
ยังคงเกรี้ยวกราดเหมือนเดิม บางครั้งก็เฉยชายิ่ง
เฉินฉางเซิงพลันนึกถึงตอนเป็นเด็ก ขณะอยู่ในวัดเก่าแก่ที่เมืองซีหนิง ความรู้สึกที่อาจารย์มีต่อตนเองมักจะแกว่งไปมาระหว่างความเฉยชาและความเกรี้ยวกราด เหมือนการสนทนาในวันนี้ไม่มีผิด
เกรี้ยวกราดดีกว่าเฉยชามาก
ที่ซางสิงโจวเฉยชากับเฉินฉางเซิงในวัยเด็ก เพราะกลัวว่าตนเองจะเอ็นดูนักพรตน้อยที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่มากับมือ ด้วยรู้ว่าตนเองกำลังหลอกใช้เฉินฉางเซิง
ต่อมาที่เขาเกลียดชังเฉินฉางเซิงเช่นนี้ ก็เพราะรังเกียจความสัมพันธ์ส่วนที่ตนเกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง
เหล่านี้ ศิษย์อาจารย์ทั้งสองต่างรู้ดี ตอนอยู่ที่สุสานเทียนซูในสำนักฝึกหลวงก็เคยคุยกันแล้ว ตอนนี้จึงไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก
ซึ่งซางสิงโจวในตอนนี้ควรมีความสุขมาก เพราะเขาไม่ต้องกังวลใจว่าจะเอ็นดูนักพรตน้อยที่ตนเองเลี้ยงดูจนเติบใหญ่อีก
ขณะมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่ถูกรมควันจนดำของนักพรตน้อย เฉินฉางเซิงก็คิดในใจ เจ้าก็มีความสุขเช่นกัน
ก่อนจากไป ที่สุดแล้วเขาก็อดใจไม่ไหว ถามคำถามนั้นออกมา
“อาจารย์ ตอนข้าเป็นเด็ก หน้าตาไม่ได้เรื่องใช่ไหม”
ซางสิงโจวคิดๆ ก่อนว่า “นับว่าไม่เลวนะ”
……
……
“ลูกศิษย์ทั้งสองของเจ้าคอยปรนนิบัติเจ้า ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
หลังจากเฉินฉางเซิงไปจากเนินเขาของภูเขาลูกเล็ก ท่านปู่ถังก็เดินอ้อมหลังเขากลับมา
หลายวันก่อน ตั้งแต่มาถึงแนวหน้า ท่านปู่ถังก็ไม่ได้อยู่กับคนที่บ้าน วันๆ ขลุกอยู่แต่กับซางสิงโจว
ซางสิงโจวว่า “เมื่อสิบปีก่อน สองโจรน้อยข่มเหงข้าอย่างไร ใช่ว่าเจ้าไม่รู้”
ท่านปู่ถังทอดถอนใจ แล้วว่า “ก็ยังกตัญญูกว่าหลานแท้ๆ ของข้าเยอะ เจ้าเดียรัจฉานน้อยนั่นเกือบจะพังห้องบูชาบรรพบุรุษของบ้านตัวเองด้วยซ้ำ”
ซางสิงโจวเหลือบมองเขา ก่อนว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่”
ท่านปู่ถังมองหน้าเขา พลางถามอย่างจริงจัง “เจ้ายังดีอยู่หรือเปล่า”
ซางสิงโจวเงียบไปสักพัก ค่อยว่า “ไม่ค่อยดีนัก”
ท่านปู่ถังมองไปยังเมืองเสวี่ยเหล่าใต้แสงดาว แล้วว่า “ไหนๆ ก็ได้เวลาแล้ว เจ้าต้องทนรออีกหน่อย”
ซางสิงโจวว่า “ยังไม่เห็นคนที่ส่งออกไปกับมือเหล่านั้น ข้าย่อมต้องเห็นให้ได้”
……
……
กองทัพเผ่ามนุษย์มิได้ถอยทัพลงใต้ เตรียมบุกครั้งสุดท้ายต่อ กองทัพเส้นตะวันตกกับกองทัพเส้นตะวันออกแยกออกจากกันเป็นรูปพัด ทำความสะอาดฐานทัพและหมู่บ้านทหารที่อยู่นอกเมือง แต่ข่าวการก่อกบฏอย่างไรก็ไม่มีทางปิดมิด แถมยังกระจายไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศในค่ายทหารจึงตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าราชามารในเมืองเสวี่ยเหล่ารู้ข่าวเรื่องความวุ่นวายในชนเผ่ามนุษย์หรือยัง อุตส่าห์จัดพลหมาป่าให้ดำเนินการตอบโต้หลายครั้ง ก็ล้วนถูกกองทัพเผ่ามนุษย์ตีกลับอย่างเฉียบขาด แต่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจก็คือ จนถึงตอนนี้ ชนเผ่ามารชั้นสูงก็ยังคงไม่มีวี่แววจะทิ้งเมืองเสวี่ยเหล่า และไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรกันอยู่
เช้าวันหนึ่ง ราวตีห้า เฉินฉางเซิงลืมตาตื่น ทำสมาธิด้วยการกำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อใส่รองเท้าโดยมีอันหวาคอยรับใช้ ล้างหน้าแปรงฟัน ค่อยเดินออกจากกระโจม เดินไปตามเนินสูงต่ำที่ล้อมรอบกระโจมบัญชาการกลางอยู่หลายรอบ จากนั้นก็มองเมืองเสวี่ยเหล่าในหมอกที่บางเบา ก่อนยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
หลังจากเขาท้าลิขิตพลิกโชคชะตาที่สุสานเทียนซู ชีวิตของเขาก็ยังคงเรียบง่ายและแข็งแรง แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และบากบั่นบำเพ็ญเพียรเหมือนที่เคยทำมาตลอดสิบปี
ความจริง นานมากแล้ว ที่เขาไม่ได้ตื่นเช้าแบบนี้
หกโมง สวีโหย่วหรงก็ตื่น ทั้งสองทานอาหารเช้าร่วมกัน
พอทานโจ๊กข้าวสาลีสีเหลืองหมดไปสองชาม สวีโหย่วหรงก็ตัดสินใจนอนต่ออีกหน่อย ส่วนเฉินฉางเซิงรู้สึกเบื่อๆ จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นสักพัก
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้น หมอกบางค่อยๆ จางลง
สร้อยข้อมือของเขาสั่นน้อยๆ ในนั้นก็มีเสียงลั่วลั่วดังมา
เฉินฉางเซิงเหลือบมองเมืองเสวี่ยเหล่าที่ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง แล้วจึงเดินไปที่เนินเขาเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้
เขายืนอยู่หน้ารถ พลางว่า “ได้เวลาแล้ว”
ซางสิงโจวเงียบไปพักหนึ่ง แล้วว่า “เข้าเมือง”