อวิ๋นชิ่งไป๋หยิ่งทะนงเกินไปแล้ว เขาไม่อาจทนเห็นตนถูกมรรคกระบี่ต้านยามต่อสู้ด้วยมรรคกระบี่
ด้วยเหตุนี้ในช่วงสุดท้ายจึงต้องการเอาคืน ใช้พลังพรสวรรค์ที่แย่งชิงไปจากหลินสวินมาเป็นต้นกำเนิด พลีชีพสังเวยกระบี่ หมายจะกำจัดอีกฝ่าย
น่าเสียดาย เขาคิดผิดแล้ว!
เกรงว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ก็คงคาดไม่ถึงว่ายามที่หลินสวินหลอมกายจนพลังเลื่อนขั้นสู่ระดับราชัน ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ก่อให้เกิดอภินิหารพรสวรรค์ที่แท้จริง…
หุบเหวกลืนกิน!
นี่คือชื่อของชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด แต่ก็เป็นชื่อของอภินิหารประหลาดที่พลังพรสวรรค์นี้สรรสร้างออกมาเช่นกัน
แต่ถ้าอวิ๋นชิ่งไป๋จะผิดก็ผิดที่เขาคิดเอาเองว่าพรสวรรค์ของหลินสวินที่ชิงมาได้ สามารถนำมาเสาะหามรรคกระบี่อันสมบูรณ์แบบ แต่แน่นอนว่าเขาไม่อาจทำให้อภินิหารพรสวรรค์ตื่นขึ้นมาได้
เพราะท้ายที่สุดหุบเหวกลืนกินก็ไม่ใช่ของเขา
ก็เหมือนวังวนกระบี่ตรงหน้านี้ ต่อให้มีพลังกลืนกินที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่ในสายตาหลินสวินนี่ก็เหมือนสอนจระเข้ว่ายน้ำ!
ครืน…
ปราณกระบี่ราวกระแสน้ำบุกจู่โจมเข้ามา พลังนั้นพอที่จะสังหารบุคคลระดับนายเหนือหัวแห่งยุคบางส่วนในปัจจุบันได้อย่างง่ายดาย
แต่กลับไม่อาจเปื้อนโดนหลินสวินแม้แต่น้อย
ภาพนี้ทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋หน้าคล้ำเขียวยิ่งกว่าเดิม จิตมรรคที่เดิมมั่นคงหาใดเปรียบเวลานี้เกิดสั่นคลอน
เขาไม่เชื่อ!
และไม่ยินยอมด้วย!
“นี่เป็นไปไม่ได้!”
อวิ๋นชิ่งไป๋ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับคลุ้มคลั่ง
ฝึกปราณหลายสิบปีมาถึงตอนนี้ กระบี่ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งชีวิตกลับทำลายแม้แต่ขนเส้นเดียวของอีกฝ่ายไม่ได้ สำหรับอวิ๋นชิ่งไป๋นี่คือการจู่โจมหนักถึงขั้นที่ไม่อาจย่ำแย่ไปมากกว่านี้ได้อีกแล้วจริงๆ!
“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัว พลังของเจ้าท้ายที่สุดก็ไม่ใช่ของเจ้า แค่ถูกเจ้าปักใจเชื่อมาตลอดเท่านั้น”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบยิ่งกว่าเดิม
“เป็นไปไม่ได้!”
อวิ๋นชิ่งไป๋คำราม เขาในตอนนี้ไม่มีมาดสง่างามของผู้ฝึกกระบี่แห่งยุคอีก อารมณ์ดูปั่นป่วน สภาวะจิตไม่มั่นคง
“เป็นไปไม่ได้รึ เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าอะไรที่เรียกว่าหุบเหวกลืนกินที่แท้จริง!”
ทันใดนั้นร่างกายของหลินสวินส่องประกาย หุบเหวหนึ่งปรากฏขึ้นมาทันที ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต ลึกล้ำไร้สิ้นสุด มีลักษณ์ประหลาดที่เวิ้งฟ้าทรุดตัวผลุบโผล่คลุมเครืออยู่ภายใน
ดวงดาวเหลือคณานับดับสลายอยู่ในนั้น!
เพียงพริบตาวังวนกระบี่นั่นราวกับหยุดชะงัก พลิกตลบอย่างรุนแรง มีสัญญาณว่าจะพังทลาย ส่งเสียงคร่ำครวญไม่หยุด
“เจ้าดู พลังที่ถูกเจ้าชิงไปก็ทำได้แค่ก้มหัวศิโรราบต่อหน้าข้า เจ้าคิดว่ายังเป็นของเจ้าอยู่ไหม”
ผมดำของหลินสวินพลิ้วไหว วาจาราบเรียบ แต่ทุกคำกลับเหมือนค้อนหนักฟาดใส่จิตมรรคของอวิ๋นชิ่งไป๋
สีหน้าเขาปรวนแปรเด่นชัด ขุ่นเคืองและไม่ยินยอม มุมปากกำลังหลั่งเลือด ดวงตาจ้องมองหลินสวินเขม็ง ยังคงยากจะยอมรับ
ฝึกปราณมาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับไม่ใช่ของตัวเอง ความรู้สึกนั้นก็เหมือนสิ่งที่เสาะหามาชั่วชีวิตล้วนเป็นได้แค่บุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามพังทลาย!
พรูด!
ในที่สุดอวิ๋นชิ่งไป๋ก็กระอักเลือดคำโต สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดสลัว
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ตอนนี้ยังทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งชีวิตหลอมรวมเข้าไปในกระบี่จนสิ้น
เวลานี้ยังถูกโจมตีเช่นนี้อีก ทำให้ทั้งตัวเขามีสัญญาณที่จวนจะพังทลายอย่างหนึ่ง
แต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินผิดคาดคือ เพียงชั่วขณะสีหน้าอวิ๋นชิ่งไป๋เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบใหม่อีกครั้ง!
“บางทีนี่ก็คือกรรมตามสนอง”
เขาสูดหายใจลึก แผ่นหลังยังคงตรงดุจกระบี่ เหมือนความหยิ่งทะนงของเขา
“ไม่ นี่ไม่ใช่กรรมสนอง แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยเชื่อเรื่องกรรมตามสนอง”
หลินสวินกล่าวหนักแน่น “หากกรรมตามสนองมีจริง หลังจากที่เจ้าอวิ๋นชิ่งไป๋สังหารตระกูลหลินสายตรงของข้าทั้งหมดแล้ว ก็ควรได้รับกรรมสนองจนตาย แต่สุดท้าย… เจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังอยู่อย่างเจิดจรัสกว่าใครๆ ตั้งแต่นั้นมาข้าก็รู้ว่าบนโลกนี้กรรมตามสนองไม่มีจริง ดังนั้นข้าจึงเชื่อแต่ตัวเอง!”
อวิ๋นชิ่งไป๋อึ้งงัน ครู่ใหญ่จึงกล่าว “บางทีที่เจ้าพูดก็คงถูก คำว่ากรรมตามสนองไม่เคยมีแต่แรก…”
เขาเองไม่รู้ว่านึกถึงเรื่องในอดีตอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด เผยความคั่งแค้นที่พาให้ผู้คนหนาวเยือกในใจ
“ถูกต้อง ไม่มีคำว่ากรรมตามสนอง…”
ผ่านไปครู่ใหญ่อวิ๋นชิ่งไป๋พึมพำ เขาพลันยกมือแทงเข้าไปในอกตัวเองดังฟึ่บ ผิวปริเนื้อแตก เลือดสดสาดกระจายราวน้ำพุ
เมื่อเขาดึงมือกลับ ชีพจรปราณวิญญาณแวววาวเปล่งประกายสายหนึ่งที่ถูกชโลมอยู่ในน้ำเลือดแดงสดก็ติดออกมาด้วย
“เจ้าคิดว่าข้าละโมบอยากได้พรสวรรค์ของเจ้าหรือ…” อวิ๋นชิ่งไป๋ก้มหน้า มองฝ่ามือและหน้าอกที่ถูกตนทลายออกจากกัน แต่เขากลับราวไม่รับรู้อะไร
มีเพียงนัยน์ตาที่ฉายแววเจ็บปวดหาใดเปรียบ
ติ๋ง! ติ๋ง!
เลือดสดๆ มากมายร่วงหล่นจากหน้าอกและง่ามนิ้วของเขา ภาพเหตุการณ์นั้นดูนองเลือดและชวนขนพองสยองเกล้าเป็นพิเศษ ทำให้หลินสวินเองยังอดมุ่นคิ้วไม่ได้
“น่าเสียดาย สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ใช่ข้า ย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา ข้าอวิ๋นชิ่งไป๋ เดิมทีตอนแรกก็ไม่เคยคิดจะก้าวสู่หนทางฝึกปราณมาก่อน!”
อวิ๋นชิ่งไป๋พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงพลันเปลี่ยนเป็นเร่งเร้าและคลุ้มคลั่งหาใดเปรียบในชั่วขณะเดียว เหมือนกำลังระบายความรู้สึกที่กดอัดอยู่ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ
หลินสวินสีหน้าเฉยชา
เขาไม่มีทางเห็นใจศัตรู แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคย
ตึง!
อวิ๋นชิ่งไป๋ราวกับหมดแรง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวทรุดตัวนั่งลงกลางอากาศ มีเพียงแผ่นหลังที่ยังตรงอยู่เหมือนเดิม
เขาเงยหน้า ไม่สนบาดแผลตรงหน้าอกที่เลือดหลั่งชโลมแม้แต่น้อย สายตามองไปยังหลินสวิน สีหน้าเองก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนหาใดเปรียบ เหมือนได้หลุดพ้นและเหมือนยิ้มเยาะตัวเอง “ข้าไม่เคยเสียอาการเช่นนี้มานานแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาเป็นต่อหน้าเจ้า”
“เสียใจภายหลังรึ” หลินสวินกล่าว
อวิ๋นชิ่งไป๋ส่ายหัว “ชั่วชีวิตนี้ของข้าไม่มีคำว่าเสียใจภายหลัง แม้แต่ตอนนี้ก็เหมือนกัน”
พูดถึงตรงนี้เขาพลันกล่าวอย่างจริงจัง “ความจริงพวกเราล้วนเป็นคนแบบเดียวกัน เพียงแต่เจ้าเลือกได้ ส่วนข้า… เลือกไม่ได้…”
พูดถึงตอนท้ายสุดสีหน้าเขาเลื่อนลอย นั่งอึ้งอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องในอดีตของตน
“ข้าคืนให้เจ้า”
ครู่ใหญ่อวิ๋นชิ่งไป๋จึงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก แบมือเผยชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดที่ขาวกระจ่างแวววาวเส้นนั้นให้เห็น
หลินสวินเอื้อมมือไปรับสิ่งนี้มา แต่กลับไม่เหลือบมองแม้แต่น้อย เขาส่งแรงผ่านฝ่ามือ บดมันจนละเอียดกลายเป็นละอองแสงลอยล่อง
อวิ๋นชิ่งไป๋ชะงัก “เจ้าสังหารข้า ไม่ใช่เพื่อแย่งสิ่งนี้คืนรึ”
“ในสายตาเจ้าสิ่งนี้เปรียบดั่งมหามรรคของเจ้า สำคัญเหลือจะเอ่ย แต่สำหรับข้าต่อให้ไม่มีแล้วก็ทำอะไรมรรคาของข้าไม่ได้!”
หลินสวินกล่าวราบเรียบ “ตั้งแต่ตัดสินใจแก้แค้น ข้ามีแค่ความคิดเดียว เจ้าอวิ๋นชิ่งไป๋… ต้องตาย!”
อวิ๋นชิ่งไป๋หลุดหัวเราะออกมา คล้ายยิ้มเยาะตัวเอง
“ขอบใจมากที่เจ้ายังทนรอมาถึงตอนนี้ ก่อนที่ข้าจะตาย ยอมรับคำขอเล็กน้อยของข้าข้อหนึ่งได้หรือไม่” เขาเงยหน้ามองหลินสวิน
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าว “ว่ามา”
อวิ๋นชิ่งไป๋คล้ายปลื้มใจยิ่ง จากนั้นสีหน้าเขาก็ฉายแววหยิ่งผยอง ทะนงตนและฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก
ท่ามกลางความเลือนราง เขาประหนึ่งฟื้นคืนท่าทางของผู้ฝึกกระบี่แห่งยุค กล่าวเน้นทีละคำ “ข้าหวังเพียง ตายด้วยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า!”
หลินสวินพลันเลิกคิ้ว คาดไม่ถึงอยู่บ้าง
“ได้!”
เขารับปากแล้ว
ตูม!
หุบเหวหนึ่งปรากฏออกมา แผ่ขยายกลางอากาศ มีกลิ่นอายของมหามรรคนานัปการผลุบโผล่คลุมเครืออยู่ภายใน มีพลังต่อสู้ที่ไร้ใดเปรียบรวบรวมอยู่ในนั้น
มีเจตจำนงที่เป็นของหลินสวินประทับอยู่ภายใน!
อวิ๋นชิ่งไป๋เงยหน้ามองภาพนี้ ในแววตาปรากฏความหลงใหลและชื่นชม ริมฝีปากเอ่ยคำทอดถอนใจ
หากตายด้วยมรรคานี้ก็ถือว่าตายตาหลับแล้ว!
ตูม!
หุบเหวนั่นสามารถกลืนกินแผ่นฟ้ากว้าง ทำให้ธารดาราจมดิ่ง
แต่ตอนนี้กลับฝังกลบอวิ๋นชิ่งไป๋คนเดียวอยู่ในนั้น
ก่อนตาย ในหัวอวิ๋นชิ่งไป๋ปรากฏภาพต่างๆ ในปีนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่…
…
นั่นคือช่วงฤดูหนาว หิมะตกหนัก
เด็กบ้านนอกวัยสี่ขวบก้าวกะเผลกย่ำหิมะ มุ่งหน้ากลับบ้าน
อากาศหนาวเกินไปแล้ว เด็กชายที่สวมแค่เสื้อนวมเก่าขาดซอมซ่อหนาวจนแก้มเริ่มเขียว ฟันกระทบกึกๆ เขารีบเร่งฝีเท้า
เพราะอีกเดี๋ยวก็จะถึงบ้านแล้ว
ท่านแม่ต้องเคี่ยวโจ๊กเสร็จแล้วแน่ ท่านพ่อล่ะ น่าจะยังกลุ้มอยู่กระมัง ถึงอย่างไรก็อยากให้เขาเข้าเรียน คงต้องการค่าใช้จ่ายไม่น้อย
ที่บ้านยากจนมาก เด็กชายรู้มาตั้งแต่เล็ก แต่ต่อให้จนแค่ไหนท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่เคยให้เขาลำบาก นี่ทำให้เขารู้ความและเชื่อฟังมากตั้งแต่เด็ก ด้วยไม่อยากให้บิดามารดาต้องเป็นห่วงตน
เพียงแต่เมื่อถึงบ้าน เด็กชายกลับอึ้งงัน
ในลานบ้านปกคลุมด้วยหิมะสีขาวชั้นหนาๆ แต่กลับมีร่างไร้วิญญาณหลั่งเลือดสองศพนอนนิ่งอยู่บนพื้นหิมะ เป็นชายหญิงคู่หนึ่ง
ฝ่ายชายหน้าเหลืองซูบซีด ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งลมฝน เป็นนายพรานในชนบท ฝ่ายหญิงหน้าตาอ่อนโยน เป็นหญิงชาวไร่ยากจนที่บากบั่นคนหนึ่ง
ในเตาไฟโจ๊กหม้อหนึ่งต้มเดือดแล้ว ส่งกลิ่นหอมยวนใจออกมา แต่กลับกลบกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นในลานบ้านนั้นไม่อยู่
บนท้องฟ้าหิมะกำลังโปรยปราย เด็กชายรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าฤดูหนาวนั้นหนาวสะท้านเช่นนี้
‘เป็นอัจฉริยะมรรคกระบี่ที่มีกระดูกกระบี่แต่กำเนิดและยากจะได้เห็นในรอบหมื่นปีดังคาด!’
ชายชุดเทาคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเด็กชายแล้วกอดเขา มือใหญ่ที่โอบล้อมลูบไล้บนตัวเขา หน้าตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
‘ไปกับข้า ข้าจะพาเจ้าไปฝึกปราณ!’
ชายชุดเทาอุ้มเด็กชายขึ้นมาแล้วก้าวไปข้างหน้า เด็กชายหน้าตาเหม่อลอย ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เอ่ยวาจา มีเพียงดวงตาที่จ้องเขม็งไปยังลานบ้านที่ค่อยๆ ห่างออกไป
ในลานบ้านหิมะหนาดั่งเงินยวง น้ำเลือดดุจเพลิงผลาญ
พ่อแม่ของเขานอนอยู่ที่นั่นชั่วกาลนาน…
…
เมื่ออายุเก้าปี เด็กชายได้กลายเป็นเด็กอัจฉริยะมรรคกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า การฝึกปราณเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ใหญ่บางคนต่างละอายที่สู้ไม่ได้
‘เสี่ยวเชวี่ยล่ะ เสี่ยวเชวี่ยของข้า ใครเห็นมันบ้าง’
วันนี้เด็กชายราวกับเป็นบ้า กำลังหาเสี่ยวเชวี่ย มันคือนกกระจอกตัวหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้ ไม่มีอะไรพิเศษเหมือนกับเขาตอนสี่ขวบ
‘ก็แค่สัตว์หน้าขนตัวหนึ่ง อย่าให้สิ่งนอกกายมีอิทธิพลต่อจิตกระบี่ของเจ้า’
ชายชุดเทานั่นปรากฏตัวอีกครั้ง บอกกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา ในมือเขาหิ้วซากนกกระจอกตัวหนึ่งแกว่งไปมาต่อหน้าเด็กชาย
เด็กชายอึ้งงันไปชั่วขณะ นัยน์ตาฉายแววคั่งแค้นอย่างไม่อาจปกปิด
…
เมื่ออายุสิบสามปี
เด็กชายเติบโตเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เผยคมประกายไร้เทียมทานทำให้ผู้คนอัศจรรย์ใจ
‘หวงอิง พกกระบี่ไปด้วย พวกเราไปฆ่าอสูรมารกัน’
เด็กหนุ่มคิดจะออกไปข้างนอกเหมือนทุกวัน สั่งกำชับสาวใช้
แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้ยินเสียงสาวใช้หวงอิงอยู่นาน
เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ไม่นานเขาก็เงียบไป เขาเห็นร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งถูกห้อยแขวนอยู่ในลานบ้าน
เด็กหนุ่มไม่เอ่ยวาจา จ้องมองเขม็ง นึกถึงเสี่ยวเชวี่ยที่ถูกฆ่าตายตอนเก้าขวบ นึกถึงบิดามารดาที่นอนอยู่บนพื้นหิมะแอ่งโลหิตในวันที่หิมะตกหนักตอนอายุได้สี่ปี
หลังจากวันนั้นเด็กหนุ่มก็พบว่าทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้า ใครก็ตามที่เจอหน้าตนล้วนไม่กล้าติดต่อกับตนอีก
หลบหน้าเขาเหมือนหลบตัวซวย
…………