ตอนที่ 1322 ทั่วทั้งลานต่างเงียบสงัด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

นับวันเด็กหนุ่มยิ่งเปลี่ยนเป็นคนเงียบขรึม แต่ละวันล้วนฝึกกระบี่เหมือนผู้บำเพ็ญทุกรกิริยา เวลาทั้งหมดถูกเขาใช้ไปกับการฝึกปราณจนสิ้น

ความเจ็บปวด เคียดแค้นชิงชัง ไม่พอใจและดิ้นรนภายในใจ… ไม่มีใครรู้

มีเพียงการฝึกปราณที่กลายเป็นสิ่งค้ำจุนจิตใจเดียวของเขา

ผ่านไปหลายปี

ชายชุดเทานั่นปรากฏตัวอีกครั้ง พาเขาออกจากสำนักกระบี่เทียมฟ้าไปสู่จักรวรรดิจื่อเย่าที่โลกชั้นล่างด้วยกัน

‘กระดูกกระบี่แต่กำเนิดของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ ที่นั่นมีทารกเพิ่งคลอดซึ่งมีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดแต่เกิดคนหนึ่ง เจ้าจงไปแย่งชิงมันมา’

วันนั้นชายชุดเทาพาเด็กหนุ่มมายังตระกูลหลินแล้วออกคำสั่งเช่นนี้

‘ไม่!’

เด็กหนุ่มเลือกที่จะปฏิเสธเป็นครั้งแรก

เขานึกถึงตอนสี่ขวบ ประสบการณ์นองเลือดของครอบครัวเขาราวกับฝันร้ายที่ไม่อาจลบเลือน ทรมานเขามาถึงตอนนี้

เขาไม่อยากให้เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นในครอบครัวที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแห่งนี้

ทั้งยังจะใช้เขาเป็นมือสังหาร นี่ทำให้เขาที่หยิ่งทะนงโต้แย้งและต่อต้านจากก้นบึ้งหัวใจ

เพี๊ยะ!

สิ่งที่เด็กหนุ่มได้กลับมาคือการตบหน้าและวาจาเยียบเย็นไร้น้ำใจประโยคหนึ่ง ‘หากเจ้าไม่ไป ข้าจะช่วงชิงปลิดกระดูกกระบี่ของเจ้าไปให้เด็กทารกคนนั้น แล้วมองเขาเป็นผู้สืบทอด ส่วนเจ้าก็ต้องตาย’

คืนวันนั้น คนตระกูลหลินสายตรงถูกสังหารหมู่จนราบคาบ เลือดหลั่งย้อมภูเขาชำระจิต

‘ทำไมต้องทำเช่นนี้ แค่ชิงชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดมาก็พอไม่ใช่หรือ เหตุใดต้องฆ่าคนด้วย’

เด็กหนุ่มเดือดดาลหาใดเปรียบ

‘ไร้เดียงสา’

สิ่งที่ตอบเขามีเพียงคำพูดแผ่วเบานี้ ไม่ได้ใส่ใจความเดือดดาลในใจของเด็กหนุ่มโดยสิ้นเชิง

‘ข้าสาบาน สักวันหนึ่งจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ แน่นอน!’

ปีนั้นเมื่อเด็กหนุ่มกลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติที่อายุน้อยที่สุดของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เขากลับเอ่ยคำสาปแช่งเช่นนี้ออกมา

ทั้งยังมุ่งมั่นหาใดเปรียบ เหมือนจิตกระบี่ของเขา

ในวันนั้นชายชุดเทามาหาเขาอีกครั้งแล้วกล่าววาจามากมาย

‘ผู้ฝึกกระบี่ต้องตัดอารมณ์และความปรารถนา สังหารบิดามารดาเจ้าเพื่อตัดความกังวลทางสายเลือดของเจ้า ฆ่านกกระจอกที่เจ้าเลี้ยงเพื่อตัดความโอบอ้อมอารีในใจเจ้า สังหารสาวใช้เจ้าเพื่อตัดน้ำใจของเจ้า’

‘แต่หากไม่มีข้า เจ้าก็ไม่มีทางมีวันนี้ ข้าคือผู้นำทางของเจ้าและเป็นอาจารย์เจ้า แน่นอนว่าเป็นคนที่เจ้าแค้นที่สุดด้วย’

‘หากมีวันหนึ่งที่เจ้าสังหารข้าได้จริง ก็หมายความว่าเจ้าหยั่งถึงมรรคแห่งความไร้น้ำใจสิ้นปรารถนาอย่างแท้จริงแล้ว กลับกลายเป็นว่าจะทำให้ข้าภูมิใจ’

‘เจ้าจงจำไว้ มรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกอยู่ที่คำว่าไร้ปรานีเท่านั้น ไม่ได้สักแต่ว่าพูด’

วันนั้นเด็กหนุ่มตกอยู่ในความเจ็บปวดสาหัส เจ็ดวันเจ็ดคืนที่ใจทรมานและทุกข์ทน

เขาตัดสินใจปิดด่าน

ปิดด่านครั้งหนึ่งก็สิบปี

ผ่านไปสิบปี ในใจของเด็กหนุ่มมีเพียงมรรคกระบี่

ภาพจำต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวอวิ๋นชิ่งไป๋เหมือนภาพวาดที่แตกเป็นเสี่ยงๆ เห็นชัดว่าใกล้ตาย แต่กลับพบว่าความทรงจำในอดีตยังชัดเจนไม่เคยเปลี่ยน

‘ตั้งแต่ต้นข้าก็เลือกไม่ได้…’

อวิ๋นชิ่งไป๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ภายในใจ

กระดูกกระบี่แต่กำเนิด ใต้หล้าต่างตระหนก บุกตะลุยทั่วดินแดนรกร้างโบราณ ถูกมองเป็นผู้ฝึกกระบี่อันดับหนึ่งแห่งยุค เปล่งประกายเจิดจรัสระดับใด

แต่ใครจะรู้ว่าเขาถูกบีบบังคับมาตลอด

นึกเสียใจภายหลังรึ

ไม่นึกเสียใจ มีเพียงความแค้น!

แค้นที่ไม่อาจลิขิตชะตาตัวเอง จึงใช้กระบี่ตัดความแค้นทั้งมวล!

“น่าเสียดาย…”

เวลานี้อวิ๋นชิ่งไป๋หลับตาลง ร่างกายและพลังจิตกลายเป็นละอองแสงลอยล่อง

หลินสวินเห็นภาพนี้ด้วยตาตนเอง สีหน้าราบเรียบไร้คลื่นลม

มีเพียงในใจที่รู้สึกผ่อนคลายหาใดเปรียบ เสมือนได้ปลดหินยักษ์ที่แบกมาหลายปีลง ไม่ถึงขั้นปิติยินดี แต่กลับทำให้เขาสะใจ

สะใจหาใดเปรียบ!

ความแค้นใหญ่หลวงสิ้นสุดในวันนี้!

หวนนึกถึงปีนั้นที่ยังอยู่ในจักรวรรดิโลกชั้นล่าง ยามได้ยินเรื่องหนี้เลือดของตระกูลหลินในปีนั้น หลินสวินสัมผัสได้ถึงความรู้สึกโกรธจนแทบระเบิดเป็นครั้งแรก

เพื่อแก้แค้น หลายปีมานี้เขาได้ผ่านความยากลำบากของความเป็นตายเพื่อให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อฆ่ามือสังหารที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนคนนั้น

เขารอวันนี้มานานเกินไปแล้ว!

ในที่สุดตอนนี้ก็ได้สะสางบุญคุณความแค้นนี่ ในใจหลินสวินมีหรือจะไม่สะใจ

“ยังมีบางคนต้องถูกฝังไปพร้อมเจ้าด้วย…”

หลินสวินนึกขึ้นมาได้ ปีนั้นเหมิงหรงมารดาขององค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจินที่แพร่งพรายความลับแก่อวิ๋นชิ่งไป๋ รวมถึงบิดาของนางเหมิงชิวจิ้ง ผู้อาวุโสสายในคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า

หลายปีก่อนหลินสวินก็สืบข่าวได้แล้วว่า หากเหมิงหรงและเหมิงชิวจิ้งไม่แจ้งข่าวให้อวิ๋นชิ่งไป๋ ฝ่ายหลังคงไม่มีทางรู้แน่ว่าในโลกชั้นล่างมีทารกเพิ่งคลอดคนหนึ่งที่มีชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดติดตัวอยู่

ยามนี้ตัวการอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋ตายแล้ว เรื่องราวยังไม่ถือว่าจบ ผู้สมรู้ร่วมคิดพวกนี้ก็ปล่อยเอาไว้ไม่ได้!

‘นายท่าน นี่คือความทรงจำที่เหลือในจิตใต้สำนึกก่อนที่เขาจะตาย น่าเสียดายที่แหลกละเอียดเกินไป จึงรวบรวมมาได้แค่เศษเล็กเศษน้อยขอรับ’

ทันใดนั้นเสียงของเสี่ยวอิ๋นดังขึ้น หนอนกินเทพยึดกุมพรสวรรค์จิตวิญญาณ สามารถฉวยความทรงจำบางส่วนของอวิ๋นชิ่งไป๋ก่อนตายได้ ไม่ใช่เรื่องยาก

เสี่ยวอิ๋นยื่นแสงงามตระการสายหนึ่งออกมา “ท่านลองดูเถอะ อวิ๋นชิ่งไป๋นี่…”

เสี่ยวอิ๋นลังเลครู่หนึ่งแต่ยังคงกล่าวว่า “ความจริงเป็นคนที่น่าสงสารหาใดเปรียบคนหนึ่ง”

หลินสวินชะงัก ใช้จิตรับรู้เข้าไปดูในกลุ่มแสงนั่น

จากนั้นเขาก็เห็นซากความทรงจำต่างๆ ที่เกี่ยวกับอวิ๋นชิ่งไป๋

วันหิมะตกหนักยามอายุได้สี่ปี เด็กชายมองบิดามารดาที่นอนอยู่บนพื้นหิมะแอ่งโลหิตอย่างเหม่อลอย ไม่เอ่ยวาจา ถูกคนพาตัวไป…

ยามนั้นในเตาไฟมีโจ๊กที่บิดามารดาเคี่ยวให้เขาจนสุกแล้ว แต่บิดามารดากลับไม่อยู่แล้ว ลานบ้านอาบไปด้วยเลือด

ยามอายุได้เก้าปี นกกระจอกธรรมดาตัวหนึ่งที่เด็กชายฟูมฟักมอบความอารีในใจให้ ถูกขยำตายอย่างไร้เยื่อใย

ยามอายุได้สิบสามปี…

ภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นในหัวของหลินสวิน

“มิน่าเขาถึงพูดว่าเขาเลือกไม่ได้ ตั้งแต่ต้นก็ไม่เคยคิดจะฝึกกระบี่มาก่อน…”

นานพอควรหลินสวินสีหน้าวูบไหว ในใจซับซ้อนอยู่บ้าง เมื่อรู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังก็ทำให้หลินสวินอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้

นี่คือบุคคลแห่งยุคที่น่าเวทนาคนหนึ่ง

เขานึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้อวิ๋นชิ่งไป๋เคยเสียอาการราวกับใกล้คลุ้มคลั่ง เผยความคั่งแค้นหาใดเปรียบ และเคยเลื่อนลอย มีความไม่ยินยอมที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง

ตอนนี้หลินสวินถึงได้เข้าใจ สิ่งที่อวิ๋นชิ่งไป๋เกลียดชังคือใครอีกคน ซึ่งก็คือคนผู้นั้น คนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของอวิ๋นชิ่งไป๋ และทำลายทุกอย่างที่เขาเคยมี

‘นายท่าน ท่านนึกเสียใจใช่หรือไม่’

เสี่ยวอิ๋นถาม

หลินสวินส่ายศีรษะ “ต่อให้รู้เรื่องพวกนี้มาก่อน ข้ากับเขาก็ยังเป็นศัตรูที่ไม่ตายไม่เลิกรา ฉากจบจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง”

เสี่ยวอิ๋นกล่าว ‘แต่ข้ารู้สึกว่าคนที่น่าชังที่สุดคือชายชุดเทาคนนั้นที่พาตัวอวิ๋นชิ่งไป๋ไปในปีนั้น คนผู้นี้ช่างเย็นชาไร้น้ำใจ สู้ไม่ได้แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน!’

ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเดือดดาล

อวิ๋นชิ่งไป๋ เด็กบ้านนอกในป่าเขาคนหนึ่ง ฐานะทางบ้านแม้จะยากจนข้นแค้น แต่กลับมีบิดามารดาที่น้ำใจงามและบากบั่น มองเขาเป็นดั่งสมบัติ แต่ด้วยการที่เขาครองกระดูกกระบี่จึงพาหายนะแห่งการล้างตระกูลมาให้!

และด้วยกระดูกกระบี่นี้เองที่ทำให้ชีวิตของเขาปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่งที่ไม่อาจขับไล่ออกไปได้

สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดที่สุดคือ คนที่สังหารบิดามารดาของเขากลับกลายเป็นอาจารย์ คนนำทางและผู้ประสาทวิชาของเขา…

ตั้งแต่ช่วงที่อวิ๋นชิ่งไป๋เริ่มฝึกปราณ ก็แบกรับความโชคร้ายอย่างใหญ่หลวง!

เขา… เลือกไม่ได้จริงๆ

ดังนั้นเสี่ยวอิ๋นจึงเห็นว่าตัวการที่ก่อให้เกิดเรื่องทุกอย่างนี้คือชายชุดเทานั่น

หลินสวินกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง แววตาไหววูบกล่าวว่า “คนผู้นี้สมควรฆ่าจริงๆ!”

เขาไม่ได้จะทวงความยุติธรรมให้อวิ๋นชิ่งไป๋ หากแต่เพิ่งรู้ว่าในบรรดามือสังหารที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นองเลือดของตระกูลหลินสายตรงในปีนั้น นอกจากอวิ๋นชิ่งไป๋แล้วยังมีอีกคน!

คนผู้นี้ก็คือคนที่เปลี่ยนชะตาของอวิ๋นชิ่งไป๋ ติดตามหนทางฝึกปราณของอวิ๋นชิ่งไป๋ราวกับเงามืด

“เสี่ยวอิ๋น เจ้ารู้ฐานะของชายชุดเทานี่ไหม”

หลินสวินเอ่ยถาม

‘ความทรงจำของอวิ๋นชิ่งไป๋แหลกละเอียดเกินไป อีกทั้งเขายังเกลียดชังชายชุดเทานี่อย่างลึกล้ำ ต่อต้านและอาฆาตหาใดเปรียบ ในความทรงจำของเขารูปพรรณสัณฐานของคนผู้นี้เลือนรางมาตลอด’

เสี่ยวอิ๋นส่ายหัว

หลินสวินก็ค้นพบจุดนี้เช่นกัน พูดด้วยเสียงต่ำลึกว่า “ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อคนผู้นี้สามารถเข้าออกสำนักกระบี่เทียมฟ้าได้ตามใจชอบ ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่เทียมฟ้าแน่”

เสี่ยวอิ๋นก็รู้สึกเช่นนั้น ‘นายท่าน ท่านยังจำคำพูดที่คนผู้นี้กล่าวได้ไหมขอรับ มรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกอยู่ที่คำว่าไร้ปรานีเท่านั้น เห็นได้ว่ามรรคกระบี่ที่คนผู้นี้ยึดครองตัดอารมณ์สิ้นปรารถนา เกี่ยวข้องกับความไร้ปรานี ขอแค่จดจำจุดนี้ได้ ภายหน้าหากพบพานก็ต้องแยกแยะได้แน่’

หลินสวินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม “เสี่ยวอิ๋น ความทรงจำที่อวิ๋นชิ่งไป๋ไปโลกชั้นล่างแล้วบุกสังหารตระกูลหลินของข้า สามารถรวบรวมเบาะแสอื่นได้อีกหรือไม่”

ปีนั้นแม้เขาที่ยังแบเบาะจะถูกชิงพลังพรสวรรค์ไปแต่ก็ไม่ตาย หากแต่ถูกท่านลู่ ลู่ป๋อหยาช่วยไว้

อีกทั้งในอดีตที่ผ่านมาเขาไม่รู้ว่าปีนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้ดำเนินการคนเดียว นี่ทำให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ ในการเข่นฆ่าปีนั้นยังมีเงื่อนงำมากมายซ่อนอยู่

ถึงอย่างไรด้วยความแข็งแกร่งของจักรวรรดิจื่อเย่า ทั้งมีบุคคลสำคัญอย่างจักรพรรดิและจักรพรรดินีนั่งบัญชา มีหรือจะลืมตาปริบๆ มองดูเหตุการณ์นองเลือดนี้เกิดขึ้น

ในนั้นต้องมีความจริงที่ตนไม่อาจรู้ได้อยู่แน่!

‘ไม่ไหวขอรับ จิตวิญญาณของเขาดับสูญไปแล้ว ไม่อาจรวบรวมความทรงจำได้สิ้นเชิง’

เสี่ยวอิ๋นส่ายหัว

หลินสวินพลันทอดถอนใจ รู้ว่าหากต้องการคลายปมปริศนาในปีนั้น ภายหน้าจำเป็นต้องกลับไปยังโลกชั้นล่างใหม่อีกครั้ง

ตูม!

เวลานี้วังวนมหึมาที่สร้างจากกระบี่เทียมฟ้านี่พลันพังทลาย กลายเป็นละอองแสงพร่างพราวทั่วฟ้า งามแปลกตาดุจสายฝน

“นี่คือ?”

โลกภายนอก พวกองค์ชายเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ใจกระตุกวูบทันที

ตามมาด้วยพวกเย่หมัวเฮอ หวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน ชื่อหลิงเซียวที่แข็งทื่อกันไปทั้งตัว สูดหายใจเย็นเยียบ

สุดท้ายแม้แต่พวกเจ้าคางคกก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง

“ตัดสินผลแพ้ชนะแล้วหรือ”

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นที่อยู่ห่างออกไปต่างเบิกตากว้าง ด้วยอยากจะเห็นภาพนี้อย่างชัดเจน

ก็เห็นว่าหลังจากที่วังวนกระบี่พินาศย่อยยับ ใต้เวิ้งฟ้านั่นก็ปรากฏภาพอัศจรรย์หนึ่ง

เงาร่างสูงสง่า เสื้อผ้าอาบเลือดสายหนึ่งยืนอยู่ในละอองแสงงามตระการที่สาดส่องทั่วฟ้านั่นประหนึ่งภาพฝันลวงตา ราวกับคงอยู่มาแต่โบราณ

กระทั่งละอองแสงดับมอด ฟ้าดินคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครั้งก็ไม่เห็นเงาร่างของอวิ๋นชิ่งไป๋

มีเพียงกระบี่เทียมฟ้าเก่าแก่สลัวรางที่เดิมเป็นของอวิ๋นชิ่งไป๋เล่มนั้น วางอยู่กลางฝ่ามือของเงาร่างสูงสง่านั่น

ทั่วทั้งฟ้าดินล้วนเงียบกริบ

วันนี้ ห่างจากการปิดม่านของแดนมกุฎไม่ไกลแล้ว

เทพมารหลินเอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ฝึกกระบี่ระดับตำนานแห่งยุคเหนือสังเวียนพิฆาตมาร และช่วงชิงกระบี่ของเขา!

เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่จับตามองจากทั่วหล้า เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้แห่งยุคที่นับแต่โบราณมายากจะได้เห็น และปิดฉากลงด้วยชัยชนะของเทพมารหลิน

ทั่วทั้งลานต่างเงียบสงัด

…………..