ตอนที่ 2017 หลันเทียนอวี่

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 2017 หลันเทียนอวี่

 

หลันรั่วจ่อเผยรอยยิ้มพึงพอใจ นางมั่นใจมากว่าเสน่ห์ของนางนั้นมากล้นอย่างไม่มีใครเทียบซึ่งต่อให้เป็นหลิงฮันก็ไม่มีทางต้านทานได้

 

ความมั่นใจของนางช่างเป็นกบในกะลาอย่างแท้จริง

 

บนเกาะแห่งนี้มีคนอยู่กี่คนกัน? นางมีรูปลักษณ์งดงามและเสน่ห์อันล้นพ้น การที่จะได้เป็นดอกไม้อันแสนวิเศษของที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากนางออกไปยังดินแดนแห่งเซียนภายนอกแม้นางจะยังพอกล่าวได้ว่าเป็นสตรีที่งดงาม แต่ก็ยังห่างชั้นกับความงามที่แท้จริงอยู่ดี

 

แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นางไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามหาใครเปรียบของจริงกันล่ะ?

 

“ถ้างั้นข้าจะนําทางนายน้อยหลิงไปเดินชมรอบๆ เอง” นางกล่าวชวน

 

หลิงฮันพยักหน้า เขาไม่ปฏิเสธเพราะอยากจะรู้ข้อมูลเกาะแห่งนี้แห่งมากขึ้น

 

ทั้งสองเริ่มเดินวนไปรอบปราสาท ประตูทางเดินต่างๆ ที่เคยถูกห้ามไม่ได้ผ่านเข้าไป ตอนนี้เมื่อมีบุตรสาวของเจ้าของเกาะเป็นคนนําทาง หลิงฮันจึงสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย

 

“ประตูนั่นคือทางเข้าไปยังที่ใดกัน?” หลิงฮันชี้ไปยังประตูหินบานหนึ่ง

 

ก่อนหน้านี้เมื่อใดที่เจอประตูที่ปิดอยู่ หลันรั่วจือจะเปิดประตูนําทางเขาเข้าไปชมทันที แต่เมื่อเห็นประตูหินบานนี้ นางกลับเมินเฉยไม่เปิดเข้าไป

 

หลิงฮันมองตรวจสอบและพบมีบนบานประตูมีรูปแบบอาคมสลักเอาไว้ มันคือรูปแบบอาคมที่ถ้าหากไม่สามารถแก้รูปแบบอาคมเปิดประตูได้ในทันที รูปแบบอาคมจะไม่ทําการโจมตีแต่จะส่งเสียงเตือนออกมาแทน

 

หลันรั่วจ่อยิ้มและกล่าว “เรื่องนี้ต้องรอให้นายน้อยหลิงเป็นคนของพวกเราก่อน ถึงจะมีคุณสมบัติได้รับรู้”

 

“มันลึกลับเช่นนั้นเลยรึ?” หลิงฮันรู้สึกสงสัย

 

“ฮิๆๆ หลันรั่วจือปิดปากแน่นไม่หลุดพูดอะไรออกมา และพาหลิงฮันเดินไปจากประตูหินบานนี้

 

หลังจากนั้นหลิงฮันได้นําหัวข้อนี้กลับมาพูดอยู่หลายครั้ง แต่หลันรั่วจ่อก็เอาแต่พูดประโยคเดิมๆว่าต้องเป็นคนของฝั่งนางอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รู้

ทั้งสองเดินชมรอบปราสาทอย่างรวดเร็ว

 

“หืม?” จู่ๆ หลิงฮันก็ขมวดคิ้ว เขาสัมสัมผัสได้ถึงออร่าอันแปลกประหลาด

 

“มีอะไรงั้นรึ?” หลันรั่วจ่อไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

 

“ฮ่าๆๆ สมกับเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ไม่คาดคิดว่าจะพบข้าได้รวดเร็วขนาดนี้” เสียงหัวเราะลากยาวดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มร่างผอมได้ก้าวเดินออกมาจากเสาหินแห่งหนึ่ง

 

“อาสี่!” เมื่อหลันรั่วจื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินออกมา นางก็รีบคารวะทักทายอย่างสุภาพ

 

หลิงฮันมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า คนผู้นี้มีรูปลักษณ์เยาว์วัยและหล่อเหลาเป็นอย่างมากประเด็นสําคัญคือชายหนุ่มผู้นี้มีกลิ่นอายอันทรงพลัง ที่ทําให้หลิงฮันรู้สึกอึดอัดได้

 

“ข้าได้ยินมาว่าที่ใครบางคนเซียวจชิ้นได้ ข้าเลยอยากมาดูด้วยตาตัวเองเสียหน่อย” ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าว ในดินแดนแห่งเซียนนั้น รูปลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่บ่งชี้ถึงอายุของจอมยุทธเพราะบางที่ชายชราผมขาวโพลน ก็อาจจะชายหนุ่มว่าบรรพบุรุษ

 

“คนผู้นี้คือหลิงฮัน” หลันรั่วจื่อกล่าวแนะนํา “ส่วนคนผู้นี้คือท่านอาสี่ของข้า หลันเทียนอวี่” 

 

หลิงฮันผสานมือเข้าหากันและโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อทักทาย “ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสหลัน”

 

หลันเทียนอวชี้นิ้วออกมา “พรึบ” แหวนบนนิ้วของเขา ปลดปล่อยคลื่นพลังปกคลุมร่างของทั้ง

 

สามคนเอาไว้

 

ในมุมมองของหลิงฮัน จู่ๆ ทิวทัศน์รอบข้างก็ขยายใหญ่ขึ้นสุดลูกหูลูกตา แต่หากมองจากมุมนอก จะเห็นว่าเป็นร่างของพวกหลิงฮันทั้งสามคนต่างหากที่มีขนาดเล็กน้อย

 

แหวนวงนั้นคืออุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ แต่มันไม่ใช่ประเภทที่เอาไว้ให้คนเข้าไปด้านใน แต่เป็นอุปกรณ์มิติ ที่จะส่งผลต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบแทน

 

ตราบใดที่หลิงฮันทะยานร่างออกจากรัศมีอํานาจของแหวนมิติ เขาก็จะสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ในทันที

 

หลิงฮันไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ถึงแม้เขาจะไม่หวาดกลัวต่อการท้าทาย แต่การดึงคนอื่นลงสู่สนามประลองโดยไม่ถามความสมัครใจฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ เป็นการกระทําที่เขารังเกียจเป็นอย่างมาก

 

“เข้ามา ขอข้าประลองชี้แนะด้วยหน่อย” หลันเทียนอวี่พุ่งทะยานโจมตีใส่หลิงฮัน

 

แน่นอนว่าทักษะบ่มเพาะของเขาคือรูปแบบบ่มเพาะที่แตกต่าง บนฝ่ามือของเขาไม่มีคลื่นผันผวนของอํานาจแห่งเต๋ หรือแสงของอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ สิ่งเดียวที่ปกคลุมอยู่รอบฝ่ามือของเขาคือคลื่นแสงสีดําที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายและทรงพลัง

 

หลิงฮันกําหมัดและโจมตีตอบโต้

 

ตูม” ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด และแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันหลายสิบกระบวนท่าในพริบตา

 

หลันเทียนอวี่จ้องมองด้วยแววตาตกตะลึง ถึงแม้นางจะมีพลังอยู่ในระดับจักรพรรดิเหมือนกันแต่ก็ยังมองการต่อสู้ตรงหน้าไม่ทัน

 

ทั้งสองคนแข็งแกร่งเกินไป

 

หลันเทียนอวี่มีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนนั้นนางรู้อยู่แล้ว แต่ที่ทําให้นางตกตะลึงก็คือ การที่หลิงฮันสามารถตอบโต้การโจมตีของหลันเทียนอวีได้

 

ต้องรู้ก่อนว่าหลันเทียนอวนั้นมีระดับพลังสูงกว่าเซียวจนเสียอีก!

 

ปัง! ปัง! ปัง!

 

หลิงฮันกับหลันเทียนอวี่เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง บางครั้งพวกเขาก็โจมตีอย่างรวดเร็วโดยกระหน่ําจู่โจมหลายสิบครั้งออกไปในพริบตา แต่บางครั้งพวกเขาก็โจมตีอย่างเชื่องช้าโดยการเว้นระยะสามถึงสี่ลมหายใจ ก่อนจะโจมตีออกไปหนึ่งครั้ง

 

แน่นอนว่าคนที่มีสิทธิ์จะพ่ายแพ้มากกว่าก็คือหลันเทียนอวี่ เนื่องจากกายหยาบของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งเกินไป ในระดับแบ่งแยกวิญญาณไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงฮันไม่ต้องการเผยข้อมูลในเรื่องนี้ เขาคงใช้ร่างกายเข้าปะทะเพื่อสร้างบาดแผลให้แก่อีกฝ่ายแล้ว

 

หลันเทียนอวนั้นแข็งแกร่งกว่าเซียวจขึ้นจริงๆ แถมยังไม่ได้เหนือกว่าเพียงครึ่งขั้นด้วยซ้ํา เพiาะงั้นหลิงฮันจึงถูกกดดันอย่างหนักหน่วง จากการคาดการณ์ของหลิงฮัน พลังที่แท้จริงของคนผู้นี้สมควรอยู่ในระดับตัดวิญญาณปฐพีขั้นสูงสุด โดยที่หลังจากหยิบยืมพลังจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าดวงวิญญาณนิรันดร์ แล้ว พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายจะพุ่งทะยานขึ้นไปถึงระดับตัดวิญญาณสวรรค์ขั้นต้นหรืออาจจะขึ้นไปถึงขั้นกลาง

 

ซึ่งพลังต่อสู้ในระดับนี้เพียงพอเป็นอย่างมาก ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันหรืออาจจะเหนือกว่า

 

นี่คือเหตุผลที่ว่าทําไมบนเกราะนี้ถึงมีจักรพรรดิ หรือราชาในหมู่ราชาอยู่มากมาย พลังต่อสู้ที่พวกเขาแสดงออกมานั้นไม่ใช่พลังของตนเอง

 

“อาสี่ ข้าว่าพอได้แล้วรึเปล่า?” หลันรั่วจ่อเอ่ยแทรกขึ้นมาจากด้านข้าง

 

“ก็ได้!” หลันเทียนอวีหยุดมือและเผยรอยยิ้มหยิ่งทะนง ถึงแม้การต่อสู้จะยังยากที่จะตัดสินว่าใครเป็นฝ่ายชนะ แต่เขาก็มั่นใจว่าหากสู้ต่อไปอีกไม่กี่กระบวนท่า เขาจะต้องขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบแน่นอน

 

ซึ่งเขาก็เชื่อด้วยว่าหลิงฮันเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ได้

 

ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเหนือกว่าแล้ว จึงไม่มีความจําเป็นต้องสู้ต่อ เนื่องจากเหตุผลที่เขามาท้าประลองหลิงฮันในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะต้องการสังหาร แต่เพื่อทําให้หลิงฮันรับรู้ว่า ที่นี่ยังมีคนที่สามารถเหนือกว่าอยู่

 

หลิงฮันเองก็ยิ้มเล็กน้อย ในด้านของพลังต่อสู้ หลั่นเทียนอวี่เหนือกว่าเขาส่วนหนึ่งจริงๆแต่ไม่ว่าอย่างไรพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ก็ยังต่ําอยู่ การวัดกันด้วยพลังต่อสู้ที่แท้จริงล่ะก็ เขาสามารถรับมือกับอีกฝ่ายได้ด้วยหนึ่งมืออย่างแน่นอน

 

อีกอย่างถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะสามารถหยิบยืมพลังภายนอกมาใช้ได้ แต่เจ้าจะสามารถหยิบยีมมาใช้ไปได้ตลอดเวลา หรือทุกๆ ที่ในดินแดนแห่งเซียนงั้นรึ? แล้วเจ้ามั่นใจรึเปล่าว่าหลังจากบรรลุระดับราชานิรันดร์ไปแล้ว จะยังหยิบยืมพลังที่ว่ามาใช้ได้?

 

หลิงฮันไม่เชื่อว่าเรื่องเช่นนั้นจะเป็นไปได้

 

พลังที่คนเหล่านี้หยิบยืมมานั้น ไม่ใช่พลังจากสวรรค์และปฐพี แต่เป็นพลังจากตัวตนที่ทรงอํานาจอย่างราชานิรันดร์ระดับเก้า เพียงแต่ราชานิรันดร์ระดับเก้าก็ใช่ว่าจะทําได้ทุกอย่างยกตัวอย่างถ้าหากมีราชานิรันดร์ระดับเก้าเหมือนกัน ต้องการหยิบยืมพลังล่ะ คิดว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้นรึ?

 

เมื่อเทียบกันแล้ว หลิงฮันจึงเชื่อมั่นใจพลังของตนเองมากกว่า