บทที่ 1414 บุตรสาวที่ถูกลืม

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,414 บุตรสาวที่ถูกลืม

เจี๋ยนเซียวเหยาสามารถเอาชนะเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ได้จริง ๆ หรือ?

ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว

เด็กหนุ่มกำลังจะเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง

กลุ่มเทพเจ้าระดับสูงต่างก็รู้สึกว่าตำแหน่งของตนเองไม่มั่นคง แม้จะรู้สึกอึดอัดขัดเคือง แต่ก็จนใจที่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว

และผู้คนจำนวนมากก็ต้องตกตะลึงในความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเจี๋ยนเซียวเหยา

จากสถานะผู้เข้าแข่งขันนิรนามสู่การเป็นหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า เจี๋ยนเซียวเหยาใช้เวลาทั้งหมดนานเท่าไหร่กัน?

ไม่น่าจะเกินสองเดือน

นี่ต้องเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว

ต่อให้เป็นท่านมหาเทพ ก็ไม่ควรมีความรวดเร็วระดับนี้ด้วยซ้ำ

ในที่สุด ความขัดแย้งระหว่างเจี๋ยนเซียวเหยากับเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ก็ยุติลง โดยที่มีใต้เท้าเหลียนเป็นคนกลางคอยเจรจาไกล่เกลี่ยให้เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่มอบสิ่งของบรรณาการให้แก่เจี๋ยนเซียวเหยาจนเขาพอใจ

เจี๋ยนเซียวเหยาได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อการต่อสู้ครั้งนี้จบลง สถานะของเจี๋ยนเซียวเหยาในดินแดนทวยเทพก็พุ่งสูงมากกว่าเดิม

ทุกฝ่ายต่างก็ไม่กล้าลงมือต่อสำนักโอสถเป่ยเฉินและยิ่งไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับชิงเล่ย กอปรกับเทพเจ้าระดับสูงบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก สำนักโอสถเป่ยเฉินจึงกลายเป็นสำนักที่ผู้ใดก็แตะต้องไม่ได้อีกแล้ว

คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน

เอี๊ยดอ๊าด

ในห้องนอนของหลินเป่ยเฉิน เตียงไม้สั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่ต่างจากเรือลำน้อยกำลังเผชิญหน้ากระแสน้ำที่เชี่ยวกรากและเสียงเอี๊ยดอ๊าดนี้ก็ดังขึ้นตลอดยามบ่าย

เหตุไฉนเทพเจ้าพานเอินจึงไม่สร้างเตียงที่มันแข็งแรงมากกว่านี้หน่อยเล่า?

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของชิงเล่ย หลินเป่ยเฉินจึงอธิบายว่าเตียงไม้แบบนี้มันได้บรรยากาศมากกว่า

จนกระทั่งเตียงไม้พังถล่มลงมา

หลินเป่ยเฉินจึงได้คลานออกมาจากใต้กองเศษไม้พร้อมกับสบถด่าไปด้วย

“บัดซบที่สุด ตาเฒ่านั่นเป็นหนึ่งในนักสร้างศาสตราวุธชั้นนำของเผ่าเทพอัคคีได้อย่างไร แม้แต่เตียงไม้ธรรมดายังทำให้ดีไม่ได้… คิดจะมาประจบเอาใจข้าอย่างนั้นหรือ อย่าได้ฝันอีกเลย”

เมื่อวานนี้ พานเอินผู้ติดตามคนสนิทของเทพอัคคีได้อาสามาสร้างกระบี่เล่มใหม่ให้แก่หลินเป่ยเฉินถึงหน้าที่พักของเขา

หลินเป่ยเฉินระแวงสงสัยว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะคิดไม่ซื่อ ดังนั้นเขาจึงให้พานเอินทดสอบด้วยการลองสร้างเตียงขึ้นมาก่อนหนึ่งหลัง

เทพเจ้าพานเอินผู้น่าสงสาร ตลอดชีวิตเขาเคยสร้างแต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูง บัดนี้ กลับต้องมาสร้างเตียงไม้ธรรมดาเพื่อพิสูจน์ตนเองว่ามีความสามารถเหนือกว่าเทพเจ้าพานหยาง

พานเอินไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับคำสั่งแต่โดยดี

แต่ใครจะไปคิดเลยว่าเตียงโลหะที่หลอมขึ้นมาจากแร่เหล็กระดับสูงกลับถูกใต้เท้าเจี๋ยนปฏิเสธ

นี่คือความเศร้าของนักหลอมศาสตราวุธ

ชิงเล่ยใช้ผ้าห่มพันตัวและคลานออกมาจากใต้กองเศษไม้เช่นกัน

ช่วงไหล่ขาวเนียน เส้นผมที่เปียกชื้นแนบติดกับลำคอขาวผ่อง ใบหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อด้วยความพึงพอใจถึงขีดสุด…

“เปลี่ยนเตียงใหม่แล้วฝึกกันต่อไหมเจ้าคะ?”

นางหอบหายใจเล็กน้อย

ไม่รู้เพราะเหตุใด ชิงเล่ยจึงรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอย่างประหลาด

ดังนั้น นางจึงอยากจะทำให้สุดที่รักของตนเองพึงพอใจมากที่สุด

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดเอวและพูดด้วยเสียงที่แหบแห้งว่า “อ้อ ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้พอดี… เราฝึกมาถึงขีดจำกัดกันแล้ว… บัดนี้ รีบแต่งตัวแล้วออกไปหาอันอันกันเถอะ”

อันอันยังคงอยู่ในวิหารของใต้เท้ากั้ว

หลังจากที่หลินเป่ยเฉินได้แต่งตั้งเป็นหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่ เขาพยายามเจรจามาแล้วหลายครั้ง

แต่ไม่ว่าจะยื่นข้อเสนอไปอย่างไร ใต้เท้ากั้วก็ยังไม่ยอมคืนเด็กหญิงกลับมา บัดนี้ อันอันกำลังฝึกวิชาอยู่ร่วมกับเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายสิบคน

ชิงเล่ยจะเดินทางไปพบบุตรสาวของตนเองทุก ๆ สามวัน

“ได้เลยเจ้าค่ะ”

ชิงเล่ยยิ้มอย่างอ่อนหวานและลุกขึ้นยืนด้วยผ้าห่มที่พันกายอย่างหมิ่นเหม่

เขายังคงนึกถึงบุตรสาวของนาง นี่คือสิ่งที่ทำให้ชิงเล่ยมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

สายลมโชยพัด เส้นผมยาวสลวยของชิงเล่ยปลิวไสว

ร่างระหงรัดพันอยู่ภายใต้ผืนผ้าห่มบางเบา เอวคอดกิ่ว ช่วงแขนขาวผ่อง ช่วงขาเรียวยาว หน้าอกอวบอิ่ม…

หลินเป่ยเฉินมองแล้วก็อดนวดเอวตนเองอีกครั้งไม่ได้

ให้ตายเถอะ

คิดไม่ถึงเลยว่าร่างกายของเขาที่อยู่ในขั้นกระบี่กระดูกเพชร สามารถทนทานอาวุธได้แทบทุกชนิด มีพลังมหาศาลสามารถต่อสู้ได้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่กลับต้องมาตายน้ำตื้นด้วยเรื่องเช่นนี้เอง…

ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็ให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เขามีความสัมพันธ์ชิดใกล้กับชิงเล่ยนับครั้งไม่ถ้วน เหตุไฉนจึงไม่มีวี่แววว่านางจะตั้งครรภ์เลย?

ก่อนหน้านี้ ตอนที่หลินเป่ยเฉินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเทพีกระบี่ในร่างของเยว่เว่ยหยาง เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ว่าการให้กำเนิดเลือดผสมระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้านั้นน่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ในเมื่อชิงเล่ยมีสถานะเป็นเพียงบุคคลธรรมดาในดินแดนทวยเทพ นางก็น่าจะตั้งครรภ์ได้ไม่มีปัญหานี่นา?

หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่ตัวเขาเองนะ?

ไม่นานหลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินกับชิงเล่ยก็เปลี่ยนเสื้อผ้า

และชิงเล่ยก็นำทางไปสู่วิหารของใต้เท้ากั้ว

นักเวทชราอู่จิวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก แต่สุดท้าย เขาก็พาบุรุษหนุ่มและหญิงสาวไปพบเจอกับอันอัน

“ท่านพ่อ”

เมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน อันอันก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ นางรีบวิ่งมาสู่อ้อมอกของหลินเป่ยเฉินและโอบแขนกอดรอบคอของเขาแนบแน่น ก่อนที่จะหอมแก้มเขาด้วยความคิดถึง

“อันอันเด็กดี”

หลินเป่ยเฉินกอดเด็กหญิงตัวน้อย หัวใจรู้สึกอบอุ่น ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาสลายหายไปสิ้น

เขานำของขวัญที่เตรียมเอาไว้ออกมามอบให้แก่เด็กหญิง

ทั้งหมดล้วนแต่เป็นขนม เสื้อผ้าที่สวยงาม และของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เด็กหญิงน่าจะชอบ

“ขอบคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ”

อันอันพลันหอมแก้มหลินเป่ยเฉินเสียงดัง ‘ม้วฟ’ อีกครั้ง

และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาของเด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นฉินเฉียนเซวียนผู้มีอายุไม่ถึงสิบขวบและนางก็กำลังยืนอยู่ด้านข้างอย่างไร้ตัวตน

เด็กหญิงไม่ต่างจากเด็กกำพร้าที่ถูกลืมเลือน นางเฝ้ามองหลินเป่ยเฉินกับอันอันด้วยความอิจฉาริษยา แต่ในแววตาก็ยังคงแฝงความเศร้าเสียใจและเจือไปด้วยความหวังอยู่อีกหลายส่วน และเมื่อสังเกตเห็นสายตาของหลินเป่ยเฉิน ฉินเฉียนเซวียนก็สะดุ้งโหยงไม่ต่างจากกระรอกน้อยผู้ตื่นกลัว ร่างกายของเด็กหญิงสั่นเทา นางทำได้เพียงก้มหน้ามองปลายเท้าของตนเองเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างไม่มีเหตุผล

อันที่จริง เขาเป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว

โดยเฉพาะกับเด็กน้อยเช่นนี้

“เฉียนเซวียนน้อย มานี่สิ พ่อของเจ้าให้อานำของขวัญมาฝาก…” หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกด้วยรอยยิ้ม

“จริงหรือเจ้าคะ?”

ทันใดนั้น ดวงตาของฉินเฉียนเซวียนก็เป็นประกายสดใส แต่แล้วนางก็ถามออกมาด้วยความลังเลใจว่า “เหตุไฉนบิดาถึงไม่มาหาข้าน้อยด้วยตนเองล่ะเจ้าคะ?”

“เพราะบิดาของเจ้างานยุ่งมาก เขากำลังจัดการเรื่องใหญ่อยู่น่ะ”

หลินเป่ยเฉินต้องโกหกเพื่อปลอบใจเด็กหญิง

เขานำของขวัญที่เตรียมเอาไว้ออกมามอบให้แก่ฉินเฉียนเซวียน

ฉิวโซวผู้เป็นบิดาของเด็กหญิงนั้น นับตั้งแต่ถูกไล่ออกจากตระกูลฉินเพราะไปลวนลามอนุภรรยาของบิดาตนเอง เขาก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ไม่มีผู้ใดพบเห็นเบาะแสอีก

และฉินโซวก็ไม่เคยมาหาบุตรสาวเลยสักครั้ง

หลังจากที่ฉู่ฮันหลานผู้เป็นภรรยาเสียชีวิตไป ก็ดูเหมือนฉินโซวจะลืมไปเสียสนิทเลยว่าตนเองยังคงมีลูกสาวอยู่อีกทั้งคน

แม้จะดูถูกดูแคลนฉินโซวมากเพียงใด แต่หลินเป่ยเฉินก็ทำเป็นเย็นชากับเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์อย่างฉินเฉียนเซวียนไม่ลงจริง ๆ ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงได้เตรียมของขวัญเอาไว้ให้แก่นางล่วงหน้า

เมื่อเด็กหญิงได้รับฟังเหตุผล นางก็ดูจะโล่งใจมากขึ้น

และบัดนี้ นางก็กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

เพราะของขวัญที่ฉินเฉียนเซวียนได้รับ ไม่ได้แตกต่างไปจากของขวัญที่อันอันได้รับ

“ท่านอาเจี๋ยนพอจะทราบไหมเจ้าคะ ว่าบิดาของข้าน้อยจะเสร็จงานและมาหาข้าน้อยได้เมื่อไหร่?” ฉินเฉียนเซวียนกอดของขวัญแนบอก เงยหน้าขึ้นจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาคาดหวัง อยากจะรับฟังคำตอบที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

“เดี๋ยวบิดาของเจ้าเสร็จงาน เขาก็มาหาเจ้าเองนั่นแหละ”

หลินเป่ยเฉินลูบศีรษะฉินเฉียนเซวียนอย่างอ่อนโยน “อย่าได้กังวลไปเลย เขาจะต้องมาหาเจ้าอย่างแน่นอน”

“รับทราบแล้วเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็จะเป็นเด็กดี เชื่อฟังผู้ใหญ่ ไม่ดื้อไม่ซน ไม่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง” ฉินเฉียนเซวียนพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ฝากท่านอาเจี๋ยนไปบอกบิดาของข้าน้อยด้วยว่า ข้าน้อยคิดถึงบิดามาก เช่นเดียวกับที่ข้าน้อยคิดถึงท่านปู่ ท่านย่า ท่านตา ท่านยาย”

เมื่อชิงเล่ยผู้ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้น นางก็ต้องหันหน้ามองไปทางอื่น เพราะกลัวว่าตนเองจะร้องไห้ออกมาให้เด็กหญิงพบเห็น