ตอนที่ 2077 ม้ามืด

Alchemy Emperor of the Divine Dao

ตอนที่ 2077 ม้ามืด

 

เหตุการณ์ที่สุดยอดจักรพรรดิอย่างพวกเทียนชิงเย่ถูกสังหารนั้นยังคงเป็นที่พูดถึงไม่พัก แต่เนื่องจากดินแดนแห่งเซียนนั้นกว้างใหญ่เกินไป ขุมอํานาจที่อยู่เบื้องหลังทั้งสี่คนจึงไม่ยังลงมือทําอะไรในตอนนี้ บางทีกว่าพวกเขาจะเคลื่อนไหวก็คงเป็นหลังจากการประลองศาสตร์ปรุงยาสิ้นสุดลง

 

การประลองศาสตร์ปรุงยาจะเริ่มขึ้นทันทีหลังจากเขตแดนลี้ลับร้อยมังกร เพราะงั้นวันทดสอบจึงถูกกําหนดเอาไว้เป็นอีกสิบวันหลังจากนี้

 

หลิงฮันทําการเก็บตัวฝึกฝนเล็กๆน้อยๆ

 

ภายใต้ต้นสังสารวัฏ การรู้แจ้งเพียงสิบวันก็สามารถกลายเป็นระยะเวลาที่ยาวนานได้

ในด้านของศาสตร์ปรุงยาตอนนี้หลิงฮันพบเจอกับคอขวดแล้ว ประตูสู่การเป็นนักปรุงยาสีดาวของเขายังไม่เปิดออก แถมทักษะห้วงจิตปรับแต่งก็ยังติดอยู่ที่ระดับสี่ที่ห่างจากระดับห้าอยู่เล็กน้อย

 

ถึงแม้ระยะเวลาสิบวันจะไม่สามารถทําให้อะไรเปลี่ยนแปลงได้ แต่การลับคมหอกเอาไว้ก่อนออกศึกก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหาย

 

พริบตาเดียวสิบวันก็ผ่านพ้นไป และวันเปิดม่านการประลองศาสตร์ปรุงยาก็มาถึง

 

นักปรุงยาที่มาเข้าร่วมการแข่งขันนั้นมีจํานวนหลายล้านคน ด้วยจํานวนที่มากมายขนาดนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะทําการทดสอบหลอมเม็ดยาพร้อมกัน

 

ดังนั้นในส่วนแรกของการประลอง จึงต้องมีทดสอบความเข้าใจในศาสตร์ปรุงยาเสียก่อน

 

ในส่วนนี้นักปรุงยากว่าเก่าในสิบส่วนจะถูกตัดสิทธิ์ และจะเหลือเพียงนักปรุงยาที่มากความสามารถเท่านั้น

 

แล้วจะทําการทดสอบอย่างไรล่ะ?

 

นั่นก็ไม่มีอะไรซับซ้อน… ในเมืองร้อยมังกรจะมีหินวิถีโอสถที่ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์นักปรุงยาที่ยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ หลังจากที่นักปรุงยาชี้นําสัมผัสสวรรค์ของตนเองเข้าไปภายในหิน จิตวิญญาณจะถูกส่งเข้าไปยังโลกจําลองเพื่อทําการทดสอบ

 

การทดสอบจะถูกแบ่งออกเป็นหลายระดับ ยิ่งผ่านระดับสูงที่สูงขึ้นแต้มที่ได้รับก็จะดีตามไปด้วย

 

หินวิถีโอสถนั้นมีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก ความสูงของมันมากถึงร้อยฟุตและมีรัศมีความกว้างเกินกว่าห้าสิบฟุต เมื่อใครบางคนทําสอบเสร็จสิ้นผลลัพธ์ก็จะปรากฏขึ้นบนแท่งหิน ซึ่งนักปรุงยาคนใดที่ทําแต้มได้สูงสุดติดสิบอันดับแรกของประวัติศาสตร์ อันดับก็จะปรากฏอยู่บนแท่งหินไปตลอดกาล

 

“อู๋จื่อซวีกับเซี่ยเล่อจางเริ่มทดสอบกันไปรึยัง?” ใครบางคนเอ่ยถาม

 

“ยัง” ใครบางคนส่ายหัว

 

“ดูนั้น มีใครบางคนผ่านระดับที่เจ็ดแล้ว!” ใครอีกคนอุทานออกมาและชี้นิ้วไปยังหินวิถีโอสถ

 

หลิงฮันเบนสายตามองตาม และพบว่าคลื่นแสงเจ็ดสายบนหินวิถีโอสถได้ส่องสว่างขึ้นมา แต่ก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

 

“นี่น่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้สินะ?”

 

“น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นอัจฉริยะคนไหนกันแน่?”

 

ทุกคนกวาดสายตามอง แต่ว่านักปรุงยาที่กําลังเอื้อมมือไปสัมผัสกับหินวิดีโอสถนั้นมีจํานวนอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้อยคน ซึ่งพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครที่เป็นคนผ่านการทดสอบระดับเจ็ด?

 

แต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คนผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและหัวเราะด้วยท่าทางภาคภูมิใจ

 

“พี่ชายกัง ท่านผ่านระดับที่เท่าไหร่?” ใครบางคนด้านข้างเอ่ยถาม

 

“ฮ่าๆๆ เป็นระดับที่สูงมาก!” ชายคนเดิมหัวเราะ

 

“หรือว่าจะเป็นพี่ชายทั้งที่ผ่านการทดสอบระดับเจ็ด?” คนในตอนแรกถามต่อ

 

“ว่าไงนะ!” รอยยิ้มของชายที่ถูกเรียกว่าพี่ชายกังแข็งข้างทันที ความยากของการทดสอบที่เขาผ่านได้คือระดับสี่เท่านั้น ความยากระดับนี้คือผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขาแล้ว เพราะงั้นเขาจึงหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ

 

แต่กลับมีใครบางคนผ่านระดับเจ็ดได้งั้นรึ?

 

“พรวด! ฮ่าๆๆๆ!” ผู้คนรอบข้างระดับเสียงหัวเราะออกมา กลายเป็นว่าคนผู้นี้ปล่อยไก่ทําให้ตัวเองอับอายเองเสียได้

 

คนที่ถูกเรียกว่าพี่ชายกังรู้สึกขายหน้าจนแทบจะมุดดินหนี

 

ใครบางคนก้าวเดินเข้ามาใกล้ ด้วยการที่คนผู้นี้คือคนของหอโอสถบรรพกาล ทําให้ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงผู้ช่วยนักปรุงยา ก็ไม่มีใครกล้าเสียมารยาทต่อเขาและขยับตัวเปิดทางให้

 

คนผู้นั้นเดินมาหา พี่ชายกัง และกล่าว “เจ้าผ่านความยากระดับ และมีชื่อว่ากังผิงถูกต้องสินะ?”

 

“ใช่แล้ว” พี่ชายกังกล่าวด้วยน้ําเสียงไร้เรี่ยวแรง

 

“อืม” ผู้ช่วยนักปรุงยาจดบันทึกลงบนกระดาษและหันหลังเดินจากไป

 

หลังจากนั้นเมื่อมีใครบางคนทําการทดสอบเสร็จ ผู้ช่วยนักปรุงยาก็จะเดินกลับมาและจดบันทึกผลลัพธ์ของผู้เข้าทดสอบแต่ละคน

 

ผลการทดสอบไม่สามารถหลอกลวงได้ เพราะหอวิดีโอสถมีการประทับของสัมผัสสวรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนเอาไว้ เมื่อนํามาเทียบก็จะรู้ได้ว่าใครพูดโกหกหรือไม่ และใครก็ตามที่โกหกก็จะถูกลงโทษสถานหนักโดยหอโอสถบรรพกาล

 

ทันใดนั้นเองๆเสียงเอะอะดังขึ้น เพราะมีใครบางคนเพิ่งแจ้งผลทดสอบออกไปว่าตนเองคือคนที่ผ่านการทดสอบระดับเจ็ดได้

 

“หลินหย่งชาง”

 

“คนผู้นั้นคือหลินหย่งชาง”

 

“ผลการทดสอบของเขาสมควรเป็นอันดับหนึ่งในตอนนี้ หรือต่อให้นําไปเทียบกับการประลองในครั้งก่อนๆ เขาก็ยังคือว่าอยู่ในสิบอันดับแรก”

 

“เขาคือใครกัน ทําไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนเลย?”

 

“น่าจะเป็นม้ามืดในการประลองครั้งนี้เป็นแน่”

 

ทุกคนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น แต่ละคนต่างตกตะลึงกับอัจฉริยะนักปรุงยาหน้าใหม่ผู้นี้

หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ก้าวเดินออกมาจากหินวิถีโอสถ ซึ่งทุกคนที่อยู่รอบข้างเขาต่างเผยสีหน้าย่าเกรง ราวกับคนผู้นี้เป็นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่

 

“คนผู้นี้น่ะรีหลินหย่งชาง” ใครบางคนกระซิบกระซาบ

 

หลินหย่งชางมีสีหน้าเย็นชา เขาเดินผ่านผู้คนไปด้วยใบหน้าแน่นิ่งไร้รอยยิ้ม ราวกับไม่เห็นหัวใครอื่นแม้แต่น้อย

 

“มีใครรู้พื้นเพของเขาบ้าง?”

 

ทุกคนส่ายหัวด้วยสีหน้าว่างเปล่า

 

“ดูนั่น เซี่ยเล่อจางมาแล้ว!” ใครบางคนตะโกนขึ้นมา และชี้นิ้วไปยังทางเข้า

 

หลิงฮันมองตามสายตาของทุกคนไป ก่อนจะพบเห็นชายร่างสมส่วน ที่มีใบหน้าหล่อเหลาผมสีดํา ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่มีร่างสูงโปร่ง แต่กลิ่นอายของเขากลับดูสูงส่งเป็นอย่างมาก

 

ชายคนนี้คือเซี่ยเล่อจาง นักปรุงยาสามดาวที่บรรลุทักษะห้วงจิตระดับสี่แล้ว เขาอยู่ห่างจากนักปรุงยาสีดาวอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น

 

เซี่ยเล่อจางไม่หยิ่งทะนง เขาพยักหน้าตอบรับผู้คนตลอดทาง และเดินผ่านหลินหย่งช่างไป

 

หนึ่งคนมีนิสัยหยิ่งยโส ในขณะที่อีกคนมีนิสัยนอบน้อม ทั้งสองคนเป็นคู่ขนานที่ขัดแย้งกันมาก

 

หลินหย่งชางหยุดฝีเท้าชั่วครู่และใช้หางตามองเซียเล่อจาง แม้เขาจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ดวงตาของเขาก็แสดงออกแล้วว่ากําลังดูถูกอีกฝ่ายอยู่

 

เซี่ยเล่อจางไม่มีทางที่สนใจใดๆราวกับไม่เห็นหลินหย่งชางอยู่ในสายตา เขาเดินมายืนข้างหินวิถีโอสถด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหาตําแหน่งที่ไม่มีใครและเอื้อมมือออกไปสัมผัส

 

“เซี่ยเล่อจางจะผ่านการทดสอบระดับหกสําเร็จหรือไม่?”

 

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว เขาคือนักปรุงยาที่มีโอกาสบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวมากที่สุด เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับหลินหย่งชาง?”

 

“นั่นก็ไม่เสมอไป หลินหย่งชางคือม้ามืดที่โดดเด่นมาก”

 

ระหว่างที่ผู้คนกําลังถกเถียงกัน คลื่นแสงบนหินวิถีโอสถก็ส่องประกายขึ้นมาหนึ่งแถว แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน คลื่นแสงแถวที่สองก็ส่องสว่างตามมาติดๆ

 

“นั่นน่าจะเป็นผลลัพธ์ของเซี่ยเล่อจางสินะ?”

 

“สมกับเป็นนักปรุงยาอัจฉริยะ เพียงแค่หนึ่งชั่วโมงก็ผ่านการทดสอบไปแล้วถึงสองระดับ”

 

หลังจากระยะเวลาสองชั่วโมงผ่านไป คลื่นแสงแห่งที่สามก็ส่องสว่างขึ้นมา