หลังจากเรื่องราวคราวนั้นมาคนทั้งหลายก็ทำตามสั่งอย่างเชื่อฟังขึ้นมาก
เพื่อจะแย่งชิงโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับเก้าขั้นสุดนั้นแล้วเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ในหอโอสถนั้นต่างฝึกฝนกันอย่างบ้าคลั่ง
แน่นอนว่ามันย่อมมิใช่การฝึกฝนที่ไร้ทิศทาง
เย่หยวนนั้นได้พัฒนาแผนการฝึกฝนของตนเองจนฝึกฝนไปถึงระดับเก้าขั้นสุดได้
เขานั้นย่อมจะเอาแผนการฝึกฝนของเขานี้ไปให้หลินหลานใช้ต่อ
และเพราะฉะนั้นคนที่กำลังรับหน้าที่สอนเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ทั้งหลายอยู่ก็คือหลินหลาน
แน่นอนว่าคนที่บรรลุขึ้นมาถึงระดับเก้าได้เป็นคนแรกนั้นมันย่อมจะเป็นเหวินจิงซวน
นางนั้นกลับฝึกฝนขึ้นมาได้รวดเร็วกว่านักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามอย่างหวู่เฉิงเฉา!
นางนั้นใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีพัฒนาจากระดับเจ็ดขึ้นมาถึงระดับเก้า!
แน่นอนว่าเหวินจิงซวนนั้นย่อมจะไม่ต้องการโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับเก้าขั้นสุดใดๆ อีกต่อไปแล้วเพราะค่าความเข้ากันได้ของนางนั้นมันพัฒนาไปจนถึงที่สุดแล้ว
สุดท้ายนางนั้นก็มีค่าความเข้ากันได้แค่ราวเกือบๆ หกสิบสองเท่านั้น
แต่แค่นี้มันก็มากพอจะชี้ชัดแล้วว่านางมากพรสวรรค์แค่ไหน
คนที่บรรลุขึ้นมาได้เป็นคนที่สองนั้นย่อมจะเป็นหวู่เฉิงเฉา
ด้วยความเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามคนเดียวนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมจะเก่งกาจที่สุดแล้วในหมู่ผู้คน
เดิมทีแล้วตัวเขาก็หลอมโอสถสวรรค์ปรับฐานได้ถึงระดับแปดขั้นสูงเป็นทุน แน่นอนว่าการจะบรรลุขึ้นระดับเก้ามันย่อมจะไม่ไกลเกินเอื้อม
แต่ว่าหลังจากบรรลุขึ้นมาถึงระดับเก้าได้แล้วเขานั้นก็ได้พบว่าเวลาที่เขาหลอมโอสถสวรรค์อื่นๆ มันกลับดูง่ายขึ้นมา!
แม้จะเป็นตอนที่หลอมโอสถสวรรค์ระดับสามเองมันก็ยังได้โอสถที่คุณภาพดีขึ้นกว่าเก่า
แม้ว่ามันจะแค่เล็กน้อยแต่มันก็พัฒนาขึ้นจริง!
ส่วนโอสถสวรรค์ระดับสองและหนึ่งนั้นมันยิ่งปรากฏให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนกว่า
การค้นพบนี้มันทำให้หวู่เฉิงเฉาแทบจะคลั่ง!
เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจถึงความพยายามที่ผ่านๆ มาของเย่หยวน
“ผู้อาวุโสเย่ช่างเก่งกาจนัก! พวกเจ้าทั้งหลายวันหน้าก็ต้องพยายามให้หนักเข้า! ใครที่กล้าอู้เฒ่าผู้นี้จะหักขามันให้ดูเอง!” หวู่เฉิงเฉาร้องสั่นขึ้นมา
ในเวลานี้เขาได้เปลี่ยนความคิดจากที่เคยไม่เชื่อเย่หยวนกลายเป็นผู้ติดตามเย่หยวนสุดตัว
แต่เขาก็รู้ดีว่าการขึ้นมาถึงระดับเก้าของเขานี้มันเป็นแค่การเปิดเส้นทางใหม่ออกเท่านั้น!
เพราะการพัฒนาในวิชาการโอสถนั้นมันต้องใช้เวลาและความพยายามที่มหาศาล
แม้แต่ยอดอัจฉริยะอย่างเหวินจิงซวนนั้นเองก็ยังแทบไม่อาจจะพัฒนาขึ้นได้หลังผ่านระดับเก้าขึ้นมา
เป็นตอนนี้เองที่นางได้รู้ว่าฝีมือของเย่หยวนนั้นมันเหนือล้ำจนน่ากลัวแค่ไหน
ระดับเก้านั้นมันเป็นสิ่งที่สามารถขึ้นถึงได้หากพยายาม
แต่หากคิดจะพัฒนาขึ้นจากระดับเก้าไปแล้ว มันย่อมจะต้องใช้พรสวรรค์ที่บ้าคลั่ง
เป็นตอนนี้เองที่คนทั้งหลายเริ่มจะได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์อย่างแท้จริง
หวู่เฉิงเฉานั้นฝึกฝนไปอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ยังหยุดแค่ที่ระดับเก้าขั้นกลางและไม่อาจจะพัฒนาใดๆ ไปได้อีกแม้แต่น้อย
แม้แต่เหวินจิงซวนนั้นเองก็ยังต้องหยุดลงแค่ระดับเก้าขั้นสูง
นางนั้นไม่อาจจะก้าวขึ้นถึงระดับเก้าขั้นสุดได้ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด
ก้าวสุดท้ายนี้มันดูยิ่งใหญ่จนมองไม่เห็นอีกฟาก นางไม่อาจจะข้ามไปได้!
เย่หยวนเองก็ไม่คิดให้คนทั้งหลายเสียเวลาต่อไป สั่งให้ไปฝึกฝนโอสถสวรรค์พื้นฐานชนิดอื่นแทน
เมื่อมีโอสถสวรรค์ปรับฐานเป็นพื้นแล้วการฝึกฝนโอสถสวรรค์พื้นฐานชนิดอื่นๆ มันจึงรวดเร็วกว่าเก่ามาก
และก็เพราะว่าการฝึกฝนนี้เองที่ทำให้ฝีมือของนักหลอมโอสถสวรรค์ทั้งหลายในหอโอสถมันพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
กอปรกับการเพิ่มความเข้ากันได้ของโอสถสวรรค์ปรับฐานนั้นกำลังด้านโอสถของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นมันจึงพัฒนาไปอย่างไม่อาจเทียบกับก่อนหน้าได้!
เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมจะมิใช่แค่อวดอ้างเปล่าๆ เพราะมันแสดงออกมาในคุณภาพของโอสถสวรรค์ที่ได้
โอสถสวรรค์ที่นิกายแจกจ่ายเป็นรางวัลให้แก่เหล่าศิษย์ทั้งหลายนั้นมันมีคุณภาพสูงกว่าเก่าไปมากมาย!
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์นิกายในศิษย์นิกายนอกพวกเขาต่างสรรเสริญคุณภาพของโอสถสวรรค์ทั้งหลายนี้ตามๆ กัน
การเปลี่ยนแปลงเพียงจุดเดียวนี้มันกลับทำให้นิกายเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้!
เท่านี้กำลังของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นก็ย่อมจะพัฒนาขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เช่นนี้ตัวเฟิงซวนยี่เองก็ย่อมจะต้องตื่นเต้นดีใจไม่แพ้คนทั้งหลาย
หลายปีผ่านมานี้นิกายสวรรค์ยุทธมั่นของเขามันกลับเป็นไปราวเป็นคนละนิกาย!
แน่นอนว่าเฟิงซวนยี่รู้ดีว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น!
ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าใดนิกายสวรรค์ยุทธมั่นก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นไปมากเท่านั้น!
บางทีพวกเขาอาจจะกลับไปสู่จุดที่เคยอยู่ในอดีตได้!
เฟิงซวนยี่รู้ดีว่าตัวเองเดิมพันได้ถูกต้องแล้ว!
“ผู้อาวุโสเย่ เจ้านั้นได้สร้างคุณให้แก่นิกายอย่างมหาศาลจริงๆ! ไม่ว่าเจ้าจะอยากได้รางวัลอะไรตราบเท่าที่นิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราหามาได้ เจ้านิกายผู้นี้ย่อมจะไม่ตระหนี่!” เฟิงซวนยี่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ข้าอยากได้วิธีการคืนสภาพจิตศักดิ์สิทธิ์!” เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ตอบกลับไปตามตรง
สำหรับเขาแล้วมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าวิธีรักษามู่หลินเสวีย
เมื่อเฟิงซวนยี่เขากลับยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา “เจ้าทำข้าจนมุมแล้ว! วิธีการคืนสภาพจิตศักดิ์สิทธิ์นั้นมันเป็นสุดยอดศาสตร์ลับวิญญาณดั่งเดิมที่สูงส่ง เพราะฉะนั้นนิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราจึงไม่มีเรื่องเช่นนั้นบันทึกไว้เลย!”
เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
“เช่นนั้นท่านเจ้านิกาย ใครในทวีปพิรุณใสนี้ที่เชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์ลับวิญญาณดั่งเดิมมากที่สุด?” เย่หยวนถามขึ้นต่อ
ตัวเฟิงซวนยี่ตอบกลับมา “หากจะพูดถึงศาสตร์ลับวิญญาณดั่งเดิมในห้ายอดแดนสวรรค์นี้แล้วมันย่อมจะต้องพูดถึงนิกายสวรรค์ขับวิญญาณแห่งดินแดนสวรรค์ตะวันธาร นิกายนี้ฝึกฝนกันในเรื่องที่เราไม่อาจจะเข้าใจมีวิชาวรยุทธที่ลึกลับยากหยั่งถึง แม้แต่นิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราเองก็ยังต้องเกรงพวกเขาไม่น้อย!”
เย่หยวนที่ได้ยินก็จดจำนามของนิกายสวรรค์ขับวิญญาณไว้ทันที คิดกับตัวเองว่าวันหน้าเขาจะต้องเดินทางไปที่นิกายนี้เป็นแน่
เพียงแค่ว่าในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำมากที่สุดนั้นมันคือการพัฒนาฝีมือและพลังบ่มเพาะ
“เอาล่ะ เช่นนั้นแล้วข้าอยากจะไปยังแดนเนรเทศ!” เย่หยวนกล่าวขึ้นต่อ
สีหน้าของเฟิงซวนยี่และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ซีดขาวลงทันที
“ไม่ได้! เจ้าไปยังแดนเนรเทศไม่ได้!” เฟิงซวนยี่กล่าวขึ้นมา
เย่หยวนนั้นย่อมจะคาดเดาถึงคำตอบนี้ไว้ก่อนแล้วและยิ้มตอบกลับเฟิงซวนยี่ไป “เมื่อกี้ท่านเจ้านิกายพูดเองมิใช่หรือว่าจะไม่ตระหนี่ใดๆ?”
เฟิงซวนยี่ปั่นหน้าเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน เขานั้นรู้ตัวแล้วว่าตนเองได้ตกหลุมพรางนี้
แดนเนรเทศนั้นมันคือสถานที่ที่เหล่ายอดนิกายสวรรค์ทั้งห้าของดินแดนสวรรค์ห้าแสงเก็บเหล่านักโทษไว้จากครั้งสงคราม
แดนเนรเทศนั้นมันเป็นสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือของยอดคนผู้ปกครองดินแดนสวรรค์ห้าแสงคนก่อนหน้า โฉปู้ฉุน!
คนที่ถูกขังอยู่ภายในนั้นมันมีแต่คนที่ดุร้ายโหดเหี้ยม
มิใช่แค่ว่าคนทั้งหลายนั้นเก่งกาจแต่พวกเขายังคับแค้นเหล่าคนจากนิกายสวรรค์ต่างๆ ในดินแดนสวรรค์ห้าแสงอย่างมากด้วย
เหตุผลที่ห้านิกายสวรรค์ตัดสินใจเปิดแดนเนรเทศนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ศิษย์ได้สัมผัสประสบการณ์
เพียงแค่ว่าคนที่เข้าไปนั้นมันมีน้อยคนนักที่จะกลับออกมาได้
ที่สำคัญต่อให้จะกลับออกมาได้พวกเขาต่างก็กลายเป็นคนบ้าเลือดหรือไม่ก็เสียสติไป
เพราะฉะนั้นเหล่าศิษย์ที่กล้าจะไปฝึกฝนยังที่แห่งนั้นมันจึงมีน้อยลงไปทุกวัน
แต่ว่ามันก็ยังมีคนที่กล้าบ้าบิ่นอยู่บ้างไม่น้อย
แต่สุดท้ายคนที่กลับออกมาได้มันก็มีเพียงหยิบมือ
หากเป็นคนอื่นที่คิดเข้าแดนเนรเทศไปแล้วเฟิงซวนยี่ย่อมจะไม่สนใจใดๆ
ความเป็นความตายนั้นเป็นโชคชะตาของใครของมัน หากไม่ได้ผ่านประสบการณ์โชกเลือดแล้วคนเราจะกลายเป็นยอดฝีมือได้อย่างไร?
แต่เย่หยวนนั้นต่างออกไป!
เพราะเขานั้นแบกรับอนาคตของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นทั้งหมดไว้ หากเขาตายลงในแดนเนรเทศแล้วมันคงทำให้เกิดความเสียหายอย่างไม่อาจวัดค่าได้แก่นิกายสวรรค์ยุทธมั่น
นิกายสวรรค์ยุทธมั่นนั้นไม่อาจจะเสียเขาไปได้!
“เรื่องอื่นเจ้านิกายผู้นี้ย่อมจะให้ได้สิ้น แต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ได้! เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าตัวเจ้าสำคัญแค่ไหนกับนิกายเรา!” เฟิงซวนยี่กล่าว
เย่หยวนจึงตอบกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย “วิชาการโอสถของข้านั้นข้าได้สั่งสอนมันให้แก่จิงซวนและหลินหลานไปสิ้น มีพวกเขาอยู่ด้วยแล้วตราบเท่าที่คนทั้งหลายยังคงฝึกฝนอย่างหนักแน่นหวู่เฉิงเฉาคนนั้นก็อาจจะขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ได้ไม่ยาก ต่อให้ข้าจะอยู่ในนิกายต่อไปมันก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากมายหรอก”
แต่เฟิงซวนยี่ก็รีบกล่าวขึ้นมาขัด “ต่อให้หวู่เฉิงเฉามันจะก้าวขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ได้จริงแต่มันก็ไม่อาจจะเข้ามาแทนที่เจ้าได้! เจ้ากับเขามันคนละชั้นกันสิ้นเชิง! เจ้านิกายผู้นี้ปกครองดูแลคนทั้งนิกายสวรรค์ยุทธมั่นนี้มีหรือที่เรื่องแค่นี้ข้าจะยังไม่เข้าใจ? เรื่องนี้ไม่ต้องมาพูดคุยกันแล้ว!”
พูดจบเฟิงซวนยี่ก็เดินหันหน้าหนีไปอย่างไม่คิดจะเจรจาต่อรองใดๆ อีก
…………………………