ตอนที่ 2594 แดนเนรเทศ

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

หลังจากเรื่องราวคราวนั้นมาคนทั้งหลายก็ทำตามสั่งอย่างเชื่อฟังขึ้นมาก

เพื่อจะแย่งชิงโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับเก้าขั้นสุดนั้นแล้วเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ในหอโอสถนั้นต่างฝึกฝนกันอย่างบ้าคลั่ง

แน่นอนว่ามันย่อมมิใช่การฝึกฝนที่ไร้ทิศทาง

เย่หยวนนั้นได้พัฒนาแผนการฝึกฝนของตนเองจนฝึกฝนไปถึงระดับเก้าขั้นสุดได้

เขานั้นย่อมจะเอาแผนการฝึกฝนของเขานี้ไปให้หลินหลานใช้ต่อ

และเพราะฉะนั้นคนที่กำลังรับหน้าที่สอนเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ทั้งหลายอยู่ก็คือหลินหลาน

แน่นอนว่าคนที่บรรลุขึ้นมาถึงระดับเก้าได้เป็นคนแรกนั้นมันย่อมจะเป็นเหวินจิงซวน

นางนั้นกลับฝึกฝนขึ้นมาได้รวดเร็วกว่านักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามอย่างหวู่เฉิงเฉา!

นางนั้นใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งปีพัฒนาจากระดับเจ็ดขึ้นมาถึงระดับเก้า!

แน่นอนว่าเหวินจิงซวนนั้นย่อมจะไม่ต้องการโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับเก้าขั้นสุดใดๆ อีกต่อไปแล้วเพราะค่าความเข้ากันได้ของนางนั้นมันพัฒนาไปจนถึงที่สุดแล้ว

สุดท้ายนางนั้นก็มีค่าความเข้ากันได้แค่ราวเกือบๆ หกสิบสองเท่านั้น

แต่แค่นี้มันก็มากพอจะชี้ชัดแล้วว่านางมากพรสวรรค์แค่ไหน

คนที่บรรลุขึ้นมาได้เป็นคนที่สองนั้นย่อมจะเป็นหวู่เฉิงเฉา

ด้วยความเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามคนเดียวนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมจะเก่งกาจที่สุดแล้วในหมู่ผู้คน

เดิมทีแล้วตัวเขาก็หลอมโอสถสวรรค์ปรับฐานได้ถึงระดับแปดขั้นสูงเป็นทุน แน่นอนว่าการจะบรรลุขึ้นระดับเก้ามันย่อมจะไม่ไกลเกินเอื้อม

แต่ว่าหลังจากบรรลุขึ้นมาถึงระดับเก้าได้แล้วเขานั้นก็ได้พบว่าเวลาที่เขาหลอมโอสถสวรรค์อื่นๆ มันกลับดูง่ายขึ้นมา!

แม้จะเป็นตอนที่หลอมโอสถสวรรค์ระดับสามเองมันก็ยังได้โอสถที่คุณภาพดีขึ้นกว่าเก่า

แม้ว่ามันจะแค่เล็กน้อยแต่มันก็พัฒนาขึ้นจริง!

ส่วนโอสถสวรรค์ระดับสองและหนึ่งนั้นมันยิ่งปรากฏให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนกว่า

การค้นพบนี้มันทำให้หวู่เฉิงเฉาแทบจะคลั่ง!

เป็นเวลานี้เองที่เขาได้เข้าใจถึงความพยายามที่ผ่านๆ มาของเย่หยวน

“ผู้อาวุโสเย่ช่างเก่งกาจนัก! พวกเจ้าทั้งหลายวันหน้าก็ต้องพยายามให้หนักเข้า! ใครที่กล้าอู้เฒ่าผู้นี้จะหักขามันให้ดูเอง!” หวู่เฉิงเฉาร้องสั่นขึ้นมา

ในเวลานี้เขาได้เปลี่ยนความคิดจากที่เคยไม่เชื่อเย่หยวนกลายเป็นผู้ติดตามเย่หยวนสุดตัว

แต่เขาก็รู้ดีว่าการขึ้นมาถึงระดับเก้าของเขานี้มันเป็นแค่การเปิดเส้นทางใหม่ออกเท่านั้น!

เพราะการพัฒนาในวิชาการโอสถนั้นมันต้องใช้เวลาและความพยายามที่มหาศาล

แม้แต่ยอดอัจฉริยะอย่างเหวินจิงซวนนั้นเองก็ยังแทบไม่อาจจะพัฒนาขึ้นได้หลังผ่านระดับเก้าขึ้นมา

เป็นตอนนี้เองที่นางได้รู้ว่าฝีมือของเย่หยวนนั้นมันเหนือล้ำจนน่ากลัวแค่ไหน

ระดับเก้านั้นมันเป็นสิ่งที่สามารถขึ้นถึงได้หากพยายาม

แต่หากคิดจะพัฒนาขึ้นจากระดับเก้าไปแล้ว มันย่อมจะต้องใช้พรสวรรค์ที่บ้าคลั่ง

เป็นตอนนี้เองที่คนทั้งหลายเริ่มจะได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์อย่างแท้จริง

หวู่เฉิงเฉานั้นฝึกฝนไปอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ยังหยุดแค่ที่ระดับเก้าขั้นกลางและไม่อาจจะพัฒนาใดๆ ไปได้อีกแม้แต่น้อย

แม้แต่เหวินจิงซวนนั้นเองก็ยังต้องหยุดลงแค่ระดับเก้าขั้นสูง

นางนั้นไม่อาจจะก้าวขึ้นถึงระดับเก้าขั้นสุดได้ไม่ว่าจะพยายามเท่าใด

ก้าวสุดท้ายนี้มันดูยิ่งใหญ่จนมองไม่เห็นอีกฟาก นางไม่อาจจะข้ามไปได้!

เย่หยวนเองก็ไม่คิดให้คนทั้งหลายเสียเวลาต่อไป สั่งให้ไปฝึกฝนโอสถสวรรค์พื้นฐานชนิดอื่นแทน

เมื่อมีโอสถสวรรค์ปรับฐานเป็นพื้นแล้วการฝึกฝนโอสถสวรรค์พื้นฐานชนิดอื่นๆ มันจึงรวดเร็วกว่าเก่ามาก

และก็เพราะว่าการฝึกฝนนี้เองที่ทำให้ฝีมือของนักหลอมโอสถสวรรค์ทั้งหลายในหอโอสถมันพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด

กอปรกับการเพิ่มความเข้ากันได้ของโอสถสวรรค์ปรับฐานนั้นกำลังด้านโอสถของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นมันจึงพัฒนาไปอย่างไม่อาจเทียบกับก่อนหน้าได้!

เรื่องราวเช่นนี้มันย่อมจะมิใช่แค่อวดอ้างเปล่าๆ เพราะมันแสดงออกมาในคุณภาพของโอสถสวรรค์ที่ได้

โอสถสวรรค์ที่นิกายแจกจ่ายเป็นรางวัลให้แก่เหล่าศิษย์ทั้งหลายนั้นมันมีคุณภาพสูงกว่าเก่าไปมากมาย!

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์นิกายในศิษย์นิกายนอกพวกเขาต่างสรรเสริญคุณภาพของโอสถสวรรค์ทั้งหลายนี้ตามๆ กัน

การเปลี่ยนแปลงเพียงจุดเดียวนี้มันกลับทำให้นิกายเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้!

เท่านี้กำลังของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นก็ย่อมจะพัฒนาขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เช่นนี้ตัวเฟิงซวนยี่เองก็ย่อมจะต้องตื่นเต้นดีใจไม่แพ้คนทั้งหลาย

หลายปีผ่านมานี้นิกายสวรรค์ยุทธมั่นของเขามันกลับเป็นไปราวเป็นคนละนิกาย!

แน่นอนว่าเฟิงซวนยี่รู้ดีว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น!

ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานเท่าใดนิกายสวรรค์ยุทธมั่นก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นไปมากเท่านั้น!

บางทีพวกเขาอาจจะกลับไปสู่จุดที่เคยอยู่ในอดีตได้!

เฟิงซวนยี่รู้ดีว่าตัวเองเดิมพันได้ถูกต้องแล้ว!

“ผู้อาวุโสเย่ เจ้านั้นได้สร้างคุณให้แก่นิกายอย่างมหาศาลจริงๆ! ไม่ว่าเจ้าจะอยากได้รางวัลอะไรตราบเท่าที่นิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราหามาได้ เจ้านิกายผู้นี้ย่อมจะไม่ตระหนี่!” เฟิงซวนยี่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ข้าอยากได้วิธีการคืนสภาพจิตศักดิ์สิทธิ์!” เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็ตอบกลับไปตามตรง

สำหรับเขาแล้วมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าวิธีรักษามู่หลินเสวีย

เมื่อเฟิงซวนยี่เขากลับยิ้มแห้งๆ ตอบกลับมา “เจ้าทำข้าจนมุมแล้ว! วิธีการคืนสภาพจิตศักดิ์สิทธิ์นั้นมันเป็นสุดยอดศาสตร์ลับวิญญาณดั่งเดิมที่สูงส่ง เพราะฉะนั้นนิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราจึงไม่มีเรื่องเช่นนั้นบันทึกไว้เลย!”

เมื่อเย่หยวนได้ยินเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา

“เช่นนั้นท่านเจ้านิกาย ใครในทวีปพิรุณใสนี้ที่เชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์ลับวิญญาณดั่งเดิมมากที่สุด?” เย่หยวนถามขึ้นต่อ

ตัวเฟิงซวนยี่ตอบกลับมา “หากจะพูดถึงศาสตร์ลับวิญญาณดั่งเดิมในห้ายอดแดนสวรรค์นี้แล้วมันย่อมจะต้องพูดถึงนิกายสวรรค์ขับวิญญาณแห่งดินแดนสวรรค์ตะวันธาร นิกายนี้ฝึกฝนกันในเรื่องที่เราไม่อาจจะเข้าใจมีวิชาวรยุทธที่ลึกลับยากหยั่งถึง แม้แต่นิกายสวรรค์ยุทธมั่นเราเองก็ยังต้องเกรงพวกเขาไม่น้อย!”

เย่หยวนที่ได้ยินก็จดจำนามของนิกายสวรรค์ขับวิญญาณไว้ทันที คิดกับตัวเองว่าวันหน้าเขาจะต้องเดินทางไปที่นิกายนี้เป็นแน่

เพียงแค่ว่าในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำมากที่สุดนั้นมันคือการพัฒนาฝีมือและพลังบ่มเพาะ

“เอาล่ะ เช่นนั้นแล้วข้าอยากจะไปยังแดนเนรเทศ!” เย่หยวนกล่าวขึ้นต่อ

สีหน้าของเฟิงซวนยี่และผู้อาวุโสคนอื่นๆ ซีดขาวลงทันที

“ไม่ได้! เจ้าไปยังแดนเนรเทศไม่ได้!” เฟิงซวนยี่กล่าวขึ้นมา

เย่หยวนนั้นย่อมจะคาดเดาถึงคำตอบนี้ไว้ก่อนแล้วและยิ้มตอบกลับเฟิงซวนยี่ไป “เมื่อกี้ท่านเจ้านิกายพูดเองมิใช่หรือว่าจะไม่ตระหนี่ใดๆ?”

เฟิงซวนยี่ปั่นหน้าเครียดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน เขานั้นรู้ตัวแล้วว่าตนเองได้ตกหลุมพรางนี้

แดนเนรเทศนั้นมันคือสถานที่ที่เหล่ายอดนิกายสวรรค์ทั้งห้าของดินแดนสวรรค์ห้าแสงเก็บเหล่านักโทษไว้จากครั้งสงคราม

แดนเนรเทศนั้นมันเป็นสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยมือของยอดคนผู้ปกครองดินแดนสวรรค์ห้าแสงคนก่อนหน้า โฉปู้ฉุน!

คนที่ถูกขังอยู่ภายในนั้นมันมีแต่คนที่ดุร้ายโหดเหี้ยม

มิใช่แค่ว่าคนทั้งหลายนั้นเก่งกาจแต่พวกเขายังคับแค้นเหล่าคนจากนิกายสวรรค์ต่างๆ ในดินแดนสวรรค์ห้าแสงอย่างมากด้วย

เหตุผลที่ห้านิกายสวรรค์ตัดสินใจเปิดแดนเนรเทศนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ศิษย์ได้สัมผัสประสบการณ์

เพียงแค่ว่าคนที่เข้าไปนั้นมันมีน้อยคนนักที่จะกลับออกมาได้

ที่สำคัญต่อให้จะกลับออกมาได้พวกเขาต่างก็กลายเป็นคนบ้าเลือดหรือไม่ก็เสียสติไป

เพราะฉะนั้นเหล่าศิษย์ที่กล้าจะไปฝึกฝนยังที่แห่งนั้นมันจึงมีน้อยลงไปทุกวัน

แต่ว่ามันก็ยังมีคนที่กล้าบ้าบิ่นอยู่บ้างไม่น้อย

แต่สุดท้ายคนที่กลับออกมาได้มันก็มีเพียงหยิบมือ

หากเป็นคนอื่นที่คิดเข้าแดนเนรเทศไปแล้วเฟิงซวนยี่ย่อมจะไม่สนใจใดๆ

ความเป็นความตายนั้นเป็นโชคชะตาของใครของมัน หากไม่ได้ผ่านประสบการณ์โชกเลือดแล้วคนเราจะกลายเป็นยอดฝีมือได้อย่างไร?

แต่เย่หยวนนั้นต่างออกไป!

เพราะเขานั้นแบกรับอนาคตของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นทั้งหมดไว้ หากเขาตายลงในแดนเนรเทศแล้วมันคงทำให้เกิดความเสียหายอย่างไม่อาจวัดค่าได้แก่นิกายสวรรค์ยุทธมั่น

นิกายสวรรค์ยุทธมั่นนั้นไม่อาจจะเสียเขาไปได้!

“เรื่องอื่นเจ้านิกายผู้นี้ย่อมจะให้ได้สิ้น แต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ได้! เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าตัวเจ้าสำคัญแค่ไหนกับนิกายเรา!” เฟิงซวนยี่กล่าว

เย่หยวนจึงตอบกลับไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย “วิชาการโอสถของข้านั้นข้าได้สั่งสอนมันให้แก่จิงซวนและหลินหลานไปสิ้น มีพวกเขาอยู่ด้วยแล้วตราบเท่าที่คนทั้งหลายยังคงฝึกฝนอย่างหนักแน่นหวู่เฉิงเฉาคนนั้นก็อาจจะขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ได้ไม่ยาก ต่อให้ข้าจะอยู่ในนิกายต่อไปมันก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากมายหรอก”

แต่เฟิงซวนยี่ก็รีบกล่าวขึ้นมาขัด “ต่อให้หวู่เฉิงเฉามันจะก้าวขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ได้จริงแต่มันก็ไม่อาจจะเข้ามาแทนที่เจ้าได้! เจ้ากับเขามันคนละชั้นกันสิ้นเชิง! เจ้านิกายผู้นี้ปกครองดูแลคนทั้งนิกายสวรรค์ยุทธมั่นนี้มีหรือที่เรื่องแค่นี้ข้าจะยังไม่เข้าใจ? เรื่องนี้ไม่ต้องมาพูดคุยกันแล้ว!”

พูดจบเฟิงซวนยี่ก็เดินหันหน้าหนีไปอย่างไม่คิดจะเจรจาต่อรองใดๆ อีก

…………………………