พอได้ยินลูกชายถาม ในใจของอู๋ตงไห่ก็รู้สึกลำบากใจ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขายังรู้สึกว่าที่ลูกชายตนเองไปชอบซ่งหวั่นถิง ก็ถือเป็นความรุ่งโรจน์ของตระกูลซ่ง
แต่ตอนนี้ ในใจเขากลับคิดว่า ซ่งหวั่นถิงคงไม่มีทางหันมามองลูกชายตนเองแน่ๆ
ตระกูลอู๋ในตอนนี้ ไม่เพียงรายได้ลดลง ที่สำคัญกว่านั้นก็คือชื่อเสียงที่เสียไป
บวกกับที่ราชาบู๊ทั้งแปดจบชีวิตไปอย่างน่าสงสัย ตอนนี้ตระกูลอู๋จะเอาอะไรไปเทียบกับตระกูลซ่ง?
ดังนั้นตอนนี้ตนเองก็เลยไม่อยากจะหวังอะไรทั้งสิ้น ว่าจะสามารถไปสู่ขอซ่งหวั่นถิงมาเป็นสะใภ้ได้
แต่น่าสงสารไอ้ลูกชายคนนี้ ดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจอะไรหลายๆ เรื่อง
ตอนที่ตระกูลอู๋รุ่งเรือง ผู้หญิงเขาก็ไม่ยอมอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับตอนนี้
พอกลับมาคิดดูอย่างละเอียด ว่าลูกชายตนเองคนนี้ไม่มีเรื่องอะไรเลย แถมยังขาดการจัดการและทำความเข้าใจกับปัญหาตรงหน้า
ดูเหมือนว่าคุณท่านจะบอกไว้ไม่มีผิด ตระกูลอู๋แย่ลงทุกๆ รุ่น
ตอนนี้ตระกูลอู๋อยู่ในมือตนเอง ขาดรายได้ไปกว่าครึ่ง ถ้าอนาคตไปถึงมือลูกชายตนเอง ไม่แน่ว่าอาจจะร่วงไปเป็นตระกูลกระจอกงอกง่อย
ดังนั้นเขาก็เลยบอกกับอู๋ซินว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาจัดการเรื่องผู้หญิง ตอนนี้พวกเราควรจะมาช่วยกันคิดว่าตระกูลอู๋เราจะรอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร พอตระกูลอู๋ได้หายใจหายคอบ้าง พวกเราก็จะสามารถไปคุยเรื่องแต่งงานกับตระกูลซ่งได้”
อู๋วินพยักหน้า แล้วก็ถอนหายใจพูดว่า ถ้าหากว่าพวกเราสามารถไปอยู่กับตระกูลซ่งได้ ชีวิตของพวกเราก็จะดีขึ้นหน่อย”
อู๋ตงไห่ก็ถอนหายใจอีก ในใจก็คิดว่าลูกชายตนเองคนนี้ คิดได้แต่เรื่องดีๆทั้งนั้น
ตอนที่เอ็งโดดเด่น คนอื่นยังไม่อยากจะมาเล่นด้วย แล้วจะนับประสาอะไรกับตอนที่ตกอับแบบนี้
แต่ว่าเขาไม่ได้เอาคำพูดเหล่านี้บอกกับลูกชายตนเอง เพราะว่าบ้านก็วุ่นวายมากแล้ว เขาไม่อยากไปโจมตีความตั้งใจและความมั่นใจของลูกชาย
จริงๆ แล้วนี่ก็คือสิ่งที่อู๋ตงไห่ด้อยกว่านายท่าน
หรือบางทีก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ตระกูลอู๋ด้อยลงทุกรุ่น
ตั้งแต่ตอนที่นายท่านอู๋บุกเบิกกิจการ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะเผชิญหน้าเอง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะแบกรับเอง
แต่หลังจากที่เขาเปิดกิจการได้แล้ว เขาก็เริ่มรักลูกชายตนเองมาก รู้สึกว่าความลำบากบางอย่างที่ไม่จำเป็น ก็ไม่อยากจะให้ลูกชายตนเองไปลิ้มลอง มีตนเองคอยปูทางเดินที่มั่นคงให้แล้ว เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปลำบาก
ที่สำคัญก็คือที่คนรุ่นก่อนก่อตั้งกิจการแล้วยิ่งใหญ่ ก็เพราะว่าพวกเขาถนัดทำเรื่องที่ลำบาก
เหมือนกับนายท่านอู๋ ปีนั้นก็เหมือนล้มลุกคลุกคลานในกองโคลน ต้องแข่งขันราวกับแย่งอาหารในปากเสือ
คงจะต้องผ่านอะไรมาแบบนี้ ถึงจะมีความสามารถที่แท้จริง
แต่น่าเสียดาย พอมาถึงรุ่นอู๋ตงไห่ พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้ไปผ่านความยากลำบากแบบนั้นแล้ว
พอมาถึงรุ่นของอู๋ซิน แม้กระทั่งอะไรที่เรียกว่าความยากลำบาก ก็ยังไม่รู้จักเลย
……
พอหลังจากเย่เฉินกลับมา ก็มาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนเดิม
แตว่าเขายังคงนึกถึงตลอด ว่าอยากจะธุรกิจผลิตยาให้มันดีๆ เลย เขาก็เลยโทรหาพอล ลูกชายของหานเหม่ยฉิง พอลก็ตามเขาไปที่บริษัทผลิตยาเว่ยซื่ออีกครั้ง
บริษัทผลิตยาเว่ยซื่อเป็นกิจการที่ผลิตยาเป็นอันดับต้นๆ ของเจียงหนาน เคยผลิตยาจีนออกมาเป็นที่โด่งดังไปทั่วประเทศจีน
แต่หลายปีมานี้ ธุรกิจยาจีนสำเร็จรูปได้เข้าสู่ช่วงขาลง ที่สำคัญก็คือยาจีนที่ผลิตโดยเกาหลีญี่ปุ่น กลายเป็นที่โด่งดังแทน
ไม่ว่าจะเป็นยาจีนสำเร็จรูปหรือสูตรยาจีน จริงๆ แล้วก็ล้วนเป็นคัมภีร์ยาจีนที่บรรพบุรุษชาวจีนสืบทอดส่งต่อกันมา
ในมือเย่เฉินมีสูตรยาที่ดีๆ มากมาย พอหยิบเอาออกมาก็อาจจะทำให้แผ่นดินไหวกันได้เลย ดังนั้นเขายังไม่อยากจะทำให้ชาวโลกตื่นตัว ก็เลยได้แต่หยิบเอาสูตรยาทั่วๆ ไป ที่รักษาโรคในชีวิตประจำวันออกมา เพื่อให้บริษัทผลิตยาเว่ยซื่อทำยาดังๆ ออกมาก่อน
——–