ตอนที่ 1519: คนที่เคยรู้จักมารวมตัวกัน

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ในพริบตาหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไป ตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินได้แต่งงาน จอมยุทธส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมพิธีแต่งงานได้แยกย้ายกันออกไปและเมืองก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ความสงบ อย่างไรก็ตามมีบางคนที่ไม่อยากกลับและเลือกที่จะอยู่ต่อ

ในรุ่งเช้า หวงหลวนและโหยวเยว่ช่วยเจี้ยนเฉินแต่งตัวพร้อมกับใบหน้าที่แดงเล็กน้อย ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุขและดีใจ

“เยว่เอ๋อ, หลวนเอ๋อ ข้าจะพาเจ้าไปพบสหายเก่าของข้าสักครู่ เจี้ยนเฉินยิ้ม เขามองหญิงสาวทั้งสองด้วยดวงตาที่อ่อนโยน

โหยวเยว่และหวงหลวนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มในเวลาเดียวกัน พวกนางไม่ได้พูดอะไร ในหัวใจของพวกนาง เจี้ยนเฉินคือทุกอย่าง

ในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งใกล้เมือง ไคยะนั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับกำลังเพลิดเพลินกับอาหารเช้าที่แสนอร่อย อย่างไรก็ตามนางจะขมวดคิ้วและรู้สึกไม่พอใจเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่านางอารมณ์ไม่ดี

อาต้าและน้องชายทั้งสามของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะข้าง ๆ ไคยะ อย่างไรก็ตามทั้งสี่ไม่ได้แตะต้องอาหารด้านหน้าของพวกเขาที่รู้จักกันว่าเป็นอาหารเช้าสุดแสนอร่อยภายในเมือง พวกเขาจ้องมองไปที่ไคยะและมองอย่างโง่งมสับสน

พวกเขาทั้งสี่รู้ว่าถ้าพวกเขาอยู่ห่างจากไคยะพวกเขาจะรู้สึกถึงจิตสังหารที่มาจากส่วนลึกในหัวใจของพวกเขา เจตสังหารทำให้พวกเขาแปลก ๆ มากและมันพยายามที่จะออกมายังภายนอก พวกเขาทั้งสี่ต่างก็ไม่เข้าใจสาเหตุของมันว่าทำไมถึงมีอะไรอย่างนี้ด้วย

ไคยะขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น นางรู้สึกถึงภัยคุกคามที่คลุมเครือมาจากชราทั้งสี่มากขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าในเมืองอัคนีห้ามเกิดการต่อสู้และความจริงอีกอย่างที่ว่านางไม่เข้าใจว่านางจะสู้กับพวกเขาได้ไหวหรือไม่หากว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นมากันแล้ว

ไคยะเหลือบมองสัตว์ตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ของนางและไม่ช้านางก็รู้สึกสงบลง นางรู้ว่านางไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับชายทั้งสี่ แต่ด้วยสัตว์อสูรข้าง ๆ นาง ไม่มีเซียนราชาคนไหนในโลกที่จะสามารถทำร้ายนางได้ รวมถึงเซียนราชาขั้นสูงสุด ขณะที่ชายชราทั้งสี่ก็ยังไม่ได้เป็นเซียนจักรพรรดิ

มันเป็นความสุขของข้ามากจริง ๆ ที่ข้าได้เห็นสหายเก่าของข้าโดยบังเอิญ เสียงที่ดังชัดเจนดังออกมาจากภายนอกอาคารทันที เจี้ยนเฉินเดินเข้ามาในโรงแรมและด้านหลังก็ตามมาด้วยโหยวเยว่และหวงหลวน

นอกจากสี่พี่น้องและไคยะแล้วยังมีอีกไม่กี่คนที่อยู่ในโรงแรม ทันทีที่เจี้ยนเฉินก้าวเข้ามาในอาคารทุกคนนอกเหนือจากพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับโค้งคำนับให้เจี้ยนเฉินอย่างสุภาพ

สี่พี่น้องและไคยะก็มองมาที่เจี้ยนเฉินเช่นกัน ต่างจากคนอื่น ๆ ทั้งห้าไม่ได้คำนับให้เจี้ยนเฉิน เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันคืนเก่า ๆ ตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินพบกับพวกเขาที่อาณาจักรทะเล อารมณ์ของพวกเขาผสมปนเปกันทันที

สี่พี่น้องได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาเจอเจี้ยนเฉินในครั้งแรกที่อาณาเขตทะเล พวกเขาทั้งสี่เกือบที่จะลงมือต่อสู้กับเขา ย้อนกลับไปแม้ว่าเจี้ยนเฉินจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขา แต่มันก็ยังมีพลังที่จำกัด อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของเจี้ยนเฉินนั้นทำให้สี่พี่น้องราวกับอยู่ในความฝัน พวกเขามีพลังพอ ๆ กับเจี้ยนเฉินในอดีต แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นราชันย์มนุษย์ไปแล้ว มันยิ่งกว่าเซียนจักรพรรดิที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตดั้งเดิมเสียอีก

เจี้ยนเฉินยิ้มและโค้งคำนับตอบ หลังจากนั้นก็ไปที่โต๊ะของไคยะและนั่งลง อย่างไรก็ตามดวงตาของเขายังจับจ้องอยู่ที่สัตว์อสูรตัวน้อยที่ไหล่ของนาง พร้อมกับเกิดแสงแปลก ๆ ในดวงตา

เมื่อก่อนข้าเคยไปเยี่ยมชนเผ่าคาเลอร์และพบว่ามันไม่เหลืออีกต่อไป ตอนแรกข้ากลัวว่าข้าจะเกิดภัย แต่มองดูตอนนี้ ไม่เพียงแต่เจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เจ้าก็ยังได้ประสบโชคดีโดยบังเอิญ เจี้ยนเฉินมองไปที่ไคยะ เขามองดูสัตว์อสูรตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ของนางเป็นครั้งครางและถอนหายใจด้วยความน่าทึ่ง

เขาจำสัตว์อสูรตัวนี้ได้ มันเป็นสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีที่เขาเคยเห็นในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นสัตว์เทวะตัวจริงที่มีศักยภาพที่ดี ตอนแรกเขาวางแผนที่จะกลับไปยังอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เมื่อเขาแข็งแกร่งพอ แต่ตอนนี้สัตว์อสูรตัวน้อยนี่กลับถูกไคยะเอามาเลี้ยงแล้ว

ขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังมองมา สัตว์อสูรก็ลืมตา เมื่อมันเห็นเจี้ยนเฉิน มันก็เริ่มลุกขึ้นยืนทันทีและเริ่มเรืองแสงสีแดง, สีส้มและสีเหลือง มันจ้องเจี้ยนเฉินกลับมาอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวลู่ อย่าหยาบคาย ! ไคยะตำหนิสัตว์อสูรออกไปเบา ๆ และสั่งด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่า สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีก็สงบลงทันที หลังจากนั้นไคยะก็ยิ้มน้อย ๆ ให้กับเจี้ยนเฉิน นักรบเจี้ยนเฉิน เสี่ยวลู่ยังเด็ก โปรดอย่าถือสา

เจี้ยนเฉินหัวเราะเบา ๆ ขณะที่เขามองไปที่สัตว์อสูร เขาถอนหายใจ มันนานแล้ว แต่เจ้าตัวน้อยนี่ก็ยังจำข้าได้ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยาก

เจี้ยนเฉินหัวเราะเบา ๆ ขณะที่หันมาสนใจไคยะ ครั้งหนึ่งข้าเคยเข้าไปในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์และเจอมัน มันเป็นสัตว์อสูรที่ชื่อว่ากลืนสวรรค์เจ็ดสี ตอนนั้นมันยังเล็กนัก ย้อนกลับไปเมื่อข้าต้องการทำให้มันเชื่อง ข้ายังไม่ได้มีพลังมากพอ ดังนั้นข้าจึงล้มเลิกความคิดนั้น ข้าอยากรู้ว่าเจ้าทำให้มันเชื่องได้อย่างไร

ไคยะรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเขาพูด นางจ้องสัตว์อสูรตัวน้อยที่อยู่บนไหล่และพูดว่า ย้อนกลับไปตอนที่ข้าไม่มีทางเลือกและถูกไล่ล่าจากศัตรูของข้า ข้าถูกบังคับให้เข้าไปต่อสู้กับความเสี่ยงในส่วนลึกของอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ข้าพบเสี่ยวลู่ที่นั่น หลังจากที่เห็นข้า มันก็ตามข้าออกมาด้วยความตั้งใจของมันเอง เสี่ยวลู่ยังเชื่อฟังมากอีกด้วย

หา ! สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสี ตามเจ้ามาด้วยความตั้งใจของมันเอง ? เจี้ยนเฉินตกใจอย่างยิ่ง เขารู้ว่าสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีนั้นไม่ใช่สัตว์เทวะที่ใครบนโลกนี้จะเข้าใจได้ หากสัตว์เทวะตัวนี้ถูกนำไปยังโลกอมตะ มันจะเป็นแค่สัตว์อสูรอมตะธรรมดาเท่านั้น อย่างไรก็ตามสัตว์อสูรกลืนรุ้งสวรรค์เจ็ดสีนั้นเป็นสัตว์เทวะที่แท้จริง มันมีพลังเกินกว่าจิตนาการของคนในโลกนี้

เจี้ยนเฉินสับสนอย่างมากว่าทำไมสัตว์เทวะที่แท้จริงตัวนี้ถึงติดตามไคยะออกมาเองและเชื่องกับนางอย่างแท้จริง

ใช่ มีอะไรผิดไปงั้นหรือ ? และข้าทำเพียงให้เสี่ยวลู่แข็งแกร็งให้เร็วที่สุด เขาให้น้ำทิพย์แก่ข้าบางอย่าง ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้น ๆ ไคยะพูดเสริม

เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เจี้ยนเฉินก็เข้าใจ ไม่น่าแปลกใจกับความแข็งแกร่งของไคยะที่แข็งแกร่งขึ้นมาในเวลาไม่ถึง 20 ปี นางยกระดับขั้นมาเป็นเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 8 จากเซียนผู้คุมกฏ เพียงแค่คิดว่าการที่บรรลุเท่านี้ใน 20 ปี ทวีปนี้ก็ไม่เคยปรากฏมาก่อน อย่างสุดท้ายคือไคยะไม่ได้สมบัติสวรรค์ใด ๆ อย่างลูกท้อเมฆม่วงที่ล้ำค่าอย่างในโลกอมตะ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เจี้ยนเฉินประหลาดใจคือสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีได้ติดตามไคยะจริง ๆ เขาจำได้ว่าไคยะพิเศษแค่ไหน อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้มันเป็นสัตว์เทวะที่แท้จริง มันจะไม่ตามคนธรรมดา ๆ ให้อยู่ใกล้มัน แม้ว่าจะเป็นไคยะ หากว่านางเป็นคนธรรมดา ๆ จริง ๆ

เจี้ยนเฉินมองไปที่ชายชราทั้งสี่คน เขาทักทายและถามถึงความเป็นอยู่ของพวกเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนิทกันเหมือนกับที่สี่พี่น้องเป็น แต่เขาก็ได้ต่อสู้เคียงข้างกันกับพวกเขาในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ในอดีต ในขณะเดียวกันการบ่มเพาะของพวกเขาก็เกี่ยวข้องกับอมตะนิพพานเที่ยงแท้จากโลกอมตะ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นพวกเดียวกับเขา

หลังจากหลายปีที่ผ่านมาสี่พี่น้องก็เพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขาเป็นเซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 9

หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็เชิญไคยะและสี่พี่น้องให้มาที่ห้องรับรองแขก เขาพูดคุยกับพวกเขาอย่างผ่าน ๆ เกี่ยวกับอุโมงค์ที่เปิดขึ้นของโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งห้าคนนั้นมีความเข้าใจที่จำกัดเกี่ยวกับต่างโลก

เจี้ยนเฉินไม่ได้ซ่อนอะไรเลยเขาบอกทุกอย่างที่รู้ เมื่อพวกเขารู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของต่างโลก ทุกคนก็ยิ่งจริงจังมากขึ้น

ข้าไม่คิดเลยว่าโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งจะมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวเช่นนี้ เพียงแค่เซียนจักรพรรดิที่พวกเขามีมันก็มากกว่าอย่างน่าใจหาย โดยทั่วไปแล้วนี่เป็นการต่อสู้สำหรับเซียนจักรพรรดิ เซียนราชาคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมก็รนหาที่ตาย มันเป็นเรื่องตลกที่พวกเราทั้งสี่คนต้องการเซ่นเลือดของคนต่างโลกเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของค่ายกลกระบี่ อาต้าพูดพร้อมกับใบหน้าที่หมองหม่น แต่เขาไม่รู้สึกกลัวเลย

พี่ ถ้าเราไม่ร่วมมือกันเราจะต้องถูกทำร้ายจากเซียนจักรพรรดิ แต่ถ้าเราร่วมมือกันใช่ค่ายกลกระบี่ เราอาจจะสังหารเซียนจักรพรรดิได้ อาเอ้อตอบอย่างมั่นใจและกระตือรือร้น

ถูกต้อง เราสร้างกระบี่บิน ดังนั้นการต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นสูงขั้น เมื่อรวมกับค่ายกลกระบี่ที่เราเพิ่งเข้าใจ เราควรจะสามารถจัดการกับเซียนจักรพรรดิได้ ตราบเท่าที่เราปะทะไม่เกิน 3 ครั้งในแต่ละรอบ อาซานลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น