บทที่ 1858 กินก่อนค่อยลด + ตอนที่ 1859 เครื่องชั่งน้ำหนักพังแล้ว

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1858 กินก่อนค่อยลด

 

เมื่อได้รับการสนับสนุนจากหนิงเฉินเซวียน อู่เยวี่ยก็พร้อมที่ออกไปพบปะผู้คนอย่างเชิดหน้าชูตาแล้ว ในตอนนี้เธออยู่ในฐานะภรรยาของเฮ่อเหลียนเช่อ เธอกลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าใครอื่นในเมืองหลวง ผู้คนนับหน้าถือตา ทำให้ใจที่ฝักใฝ่ลุ่มหลงของเธอพองตัวขึ้นจนถึงปลายยอดแล้วลอยละล่องไปชั่วขณะ

 

หากไม่ใช่เพราะว่าเฮ่อเหลียนเช่อน่ากลัวเกินไป ใจจริงเธอก็รู้สึกว่าการเป็นคู่สามีภรรยาจอมปลอมกับเฮ่อเหลียนเช่อก็ไม่เลวนัก หากเป็นอู่เยวี่ยเมื่อก่อนคงตื่นตากับความหรูหราตรงหน้า แต่อู่เยวี่ยที่ผ่านความตายเปื้อนเลือดมาแล้วนั้นจึงเข้าใจดีเสียยิ่งกว่าใคร

 

เฮ่อเหลียนเช่อไม่ใช่คนที่เธอจะใช้ประโยชน์จากเขาได้เหมือนผู้ชายคนอื่น ๆ เธอกำราบปีศาจตนนี้ไม่ได้ ดังนั้นหนีให้ห่างจะดีที่สุด

 

เหมยเหมยโดนเหยียนหมิงซุ่นเลี้ยงดูปูเสื่ออยู่บ้านมาหลายวันจนอ้วนพี วัน ๆเหยียนหมิงซุ่นเอาแต่คิดสับเปลี่ยนวิธีทำของอร่อยให้เธอกิน ปากว่างหน่อยก็ป้อนเข้าปาก แค่ไม่กี่วันเหมยเหมยก็ถูกขุนจนมีเนื้อมีหนัง คางดูอวบอิ่มขึ้นไม่น้อย นุ่มนิ่มจนแทบรีดน้ำออกมาได้อยู่แล้ว

 

“…หา…หนักขึ้นสามกิโล…เหยียนหมิงซุ่นพี่ออกมาเดี๋ยวนี้นะ…”

 

เธอนอนหลับสบายตลอดคืน ตื่นมาเหมยเหมยขึ้นยืนบนเครื่องชั่งน้ำหนักด้วยสภาพงัวเงีย บิดขี้เกียจไปมา เข็มเครื่องชั่งน้ำหนักหมุนเบนเข็มอย่างรวดเร็ว

 

48.6…

 

พระเจ้า!

 

น้ำหนักของเธออยู่ที่ประมาณ 45 กิโลกรัมมาตลอดตามมาตรฐาน ตอนนี้กลับเกินมาสามกิโล…

 

เธออยากตาย!

 

เหมยเหมยกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เดินหาตัวต้นเรื่องไปทั่วทุกทิศด้วยความโมโห คนสารเลวสมควรตาย หลอกเธอทุกวัน หนำซ้ำยังบอกว่าเธอผอมลงอีก เอาใจจนเธอกินเนื้อเข้าไปเยอะขนาดนั้น…

 

ถ้าไม่เป็นเพราะวันนี้นึกอยากชั่งน้ำหนักขึ้นมา จากวิธีการขุนให้อ้วนของเหยียนหมิงซุ่น พรุ่งนี้เธอคงได้หนักเกิน 50 กิโลแน่…

 

50 กิโล…หา…

 

ในหัวฉายภาพผู้หญิงอ้วนตัวกลมคนหนึ่ง มีเสื้อผ้าสวยงามกองอยู่ตรงหน้าแต่ยัดไม่เข้าแม้แต่ตัวเดียว…

 

เหมยเหมยสะบัดหน้าไปมา พลันคิดไปอีกว่าเธอเป็นคนโครงร่างเล็ก 45 กิโลกำลังดี ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่ว่าจะใส่ชุดอะไรก็ดูดี แต่ถ้าอ้วนขึ้นมาหน่อยก็จะทำให้ดูกลมเหมือนกับลูกบอล

 

ไม่เหมือนกับฉีฉีเก๋อ โครงร่างใหญ่แต่รูปร่างสูงโปร่ง ต่อให้ 60 กิโลก็ยังดูไม่อ้วน

 

พอหาตัวเหยียนหมิงซุ่นในห้องไม่เจอ เหมยเหมยจึงเท้าสะเอว แล้ววิ่งไปห้องหนังสือด้วยเท้าเปล่าแต่ก็ไม่มีคนอยู่ เช้าตรู่ขนาดนี้เจ้าหมอนั่นไปอยู่ที่ไหนเนี่ย?

 

กลิ่นหอมอบอวลปะทะเข้าจมูก เหมยเหมยจึงลอบกลืนน้ำลาย แค่ดมก็รู้ว่าเป็นปีกไก่อบน้ำผึ้ง น่าจะเพิ่งออกจากเตาสด ๆร้อน ๆ เธอกลืนน้ำลายอีกครั้งแล้ววิ่งไปยังห้องครัวอย่างรวดเร็ว

 

เหยียนหมิงซุ่นคาดผ้ากันเปื้อนลายตารางกำลังวางปีกไก่มันเยิ้มที่พึ่งอบเสร็จลงในจาน พลางหันมาส่งยิ้มให้เหมยเหมย

 

“อรุณสวัสดิ์…ที่รัก!”

 

สายตาของเหมยเหมยจับจ้องปีกไก่ในจานไม่วางตา หอมมาก…น่ากินมาก…

 

นัยน์ตาของเหยียนหมิงซุ่นมีความยียวนพาดผ่าน เสียงคำรามของปีศาจน้อยเมื่อครู่เขาได้ยินหมดแล้ว แค่สามกิโลเองไม่ใช่เหรอ ยังน้อยไป!

 

อย่างน้อยต้องขุนให้อ้วนอีกสักห้าโลถึงจะเหมาะ!

 

การขุนเธอให้อ้วนในหลายวันมานี้ทำให้เหยียนหมิงซุ่นค้นพบสิ่งที่ทำให้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ เนื้อแน่น ๆของเจ้าปีศาจน้อยกอดแล้วรู้สึกดีเป็นบ้า ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างมาก ไม่แปลกใจเลยที่เวลาได้ยินพวกทหารมักจะพูดกันว่าภรรยาที่ตัวอวบอ้วนจะมีข้อดีก็ตอนปิดไฟ

 

คำพูดพวกนี้ไม่ใช่คำโกหกสักนิด!

 

สีหน้าโมโหของเหมยเหมยหายวับไปเพราะกลิ่นปีกไก่หอมกรุ่นจานใหญ่

 

อืม…ในเมื่ออบเสร็จแล้วก็อย่าให้เสียของเปล่า!

 

วันนี้จะกินมื้อหนักเป็นวันสุดท้าย พรุ่งนี้ค่อยลดแล้วกัน!

 

ผัดวันประกันพรุ่ง แล้วพรุ่งนี้นี่มันเมื่อไหร่กันล่ะ…

 

 

ก่อนวันเปิดเทอม เหมยเหมยเตรียมเครื่องนอนอย่างอารมณ์ดี เสียงโทรศัพท์แผดเสียงดังขึ้น เป็นเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่โทรมา

 

“เหมยเหมย ฉันกับฉีฉีเก๋อกลับมาแล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่มหาวิทยาลัยนะ” น้ำเสียงของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยังคงทรงพลังเหมือนอย่างเคย

 

“ได้เลย พรุ่งนี้เจอกัน เออนี่ เธอไปปีนเขาผอมลงบ้างหรือยัง?” จู่ ๆเหมยเหมยก็นึกถึงคำพูดอันฮึกเหิมของหล่อนขึ้นมาได้จึงโพล่งถามออกไป

 

……………………………………………………………

 

ตอนที่ 1859 เครื่องชั่งน้ำหนักพังแล้ว

 

ปลายสายเงียบอยู่นาน เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจึงพูดเสียงอุบอิบออกมาว่า “พวกเราไม่เจอกันตั้งสองเดือน อย่ามาเปิดประเด็นที่ทิ่มแทงใจกันแบบนี้ได้ไหม?”

 

เหมยเหมยกลั้นขำ พอได้ฟังก็รู้ว่าแผนลดน้ำหนักล้มเหลวไปแล้ว ช่างไม่เข้าใจจริง ๆว่าหล่อนไปปีนเขาหรือเนินดินกันแน่?

 

เดิมทีเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นอยากจะสนทนาวาทีกับเหมยเหมยที่ไม่ได้เจอกันมาสองเดือนเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นสักหน่อย แต่กลับถูกทักเรื่องน้ำหนัก หัวใจที่แกร่งกล้าของเธอถูกแผดเผาจนมอดไหม้ คุยแค่ไม่กี่ประโยคก็ตัดสายไป

 

เธอต้องไปหาที่คลายเศร้าหน่อย แล้วจะกลับมาเป็นผู้หญิงแกร่งอีกครั้ง!

 

อยากกินก็กินอยากดื่มก็ดื่ม คนธรรมดาอย่างเราถือเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้านี่นา!

 

เมื่อถูกเตือนด้วยโทรศัพท์สายนี้เหมยเหมยก็นึกถึงเครื่องชั่งน้ำหนักที่ไม่ได้แตะมาหลายวันขึ้นได้ เมื่อวานตอนที่กำลังบรรเลงเพลงรักกันอยู่ เหยียนหมิงซุ่นบอกว่าหลายวันมานี้ออกกำลังกายหนัก(ออกกำลังกายบนเตียง) พอเขาอุ้มแล้วรู้สึกตัวเบากว่าเดิม

 

ตอนเธอได้ยินก็พลันนึกดีใจ ซ้ำยังถูกคนบางคนเกลี้ยกล่อมให้กินเนื้อไปอีกตั้งเยอะ

 

เท้าเรียวสวยก้าวขึ้นยืนบนเครื่องชั่งน้ำหนัก เข็มของตาชั่งหมุนติ้ว ๆไปรอบหนึ่ง เหวี่ยงไปมาอยู่หลายครั้งจนสุดท้ายหยุดลงที่ 50 ถัดไปทางขวาเล็กน้อย เหมยเหมยขยี้ตาอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เธอจึงลงมาและขึ้นไปยืนใหม่ จากนั้นลงมาและขึ้นไปยืนใหม่อีกครั้ง…

 

เป็นอย่างนี้อยู่หลายรอบเข็มก็ยังคงหยุดอยู่ที่เดิม เธอพยายามข่มใจที่เต้นแรงไว้ หยีตามองตารางเล็ก ๆอย่างละเอียด 50.4 กิโล …ไม่ผิด เลขนี้เลย!

 

เครื่องชั่งน้ำหนักพังแล้วแน่ ๆ!

 

เหมยเหมยคิดว่าเป็นเช่นนั้น เธอจะหนักขนาดนี้ได้อย่างไร?

 

ทั้งสองชาตินี้รวมกัน เธอยังไม่เคยหนักเกิน 50 เลย จะเป็นไปได้อย่างไร!

 

เหมยเหมยมือไขว้หลังเดินลงจากเครื่องชั่งด้วยท่าทีเรียบนิ่ง เหยียนหมิงซุ่นที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาลอบสังเกตภรรยาของตนอยู่เงียบ ๆ ตอนแรกคิดว่าภรรยาเขาจะอาละวาด แต่ผิดจากที่เขาคาดการณ์ไว้เพราะสงบนิ่งจนไม่อยากจะเชื่อ

 

หรือว่าไม่อ้วนขึ้น?

 

ไม่สิ สายตาอันกว้างไกลของเขาเห็นดัชนีตัวเลขเมื่อครู่อย่างชัดเจน

 

50.4 กิโล สามครั้งก็เป็นเลขนี้ ไม่มีทางผิดหรอก

 

เมื่อนึกถึงเหมยเหมยขึ้น ๆลง ๆวนชั่งน้ำหนักซ้ำไปซ้ำมาเมื่อครู่ เหยียนหมิงซุ่นจึงยกยิ้มที่มุมปาก ปีศาจน้อยช่างน่ารักจริง ๆ แต่ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ดี น้ำหนักขึ้นไปแตะร้อยแล้ว ทำไมปีศาจน้อยถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยล่ะ?

 

ทั้ง ๆที่ 48 กิโลไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เหมยเหมยยังคลั่งแทบตาย!

 

เหมยเหมยที่เดินไปมาอย่างสงบนิ่ง ฉับพลันก็หยุดเดินและวิ่งเข้าไปในห้องฟิตเนสอย่างรวดเร็ว เหยียนหมิงซุ่นยังไม่ทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นภรรยาตนเองฮึดฮัดแบกดัมเบล์ออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

 

ดัมเบล์คู่นี้เขาสั่งทำเป็นพิเศษดูเหมือนไม่หนัก แต่เป็นโลหะผสมเหล็กแต่ละอันหนัก 10 กิโล

 

เขารีบวิ่งเข้าไปหาพลางคว้าดัมเบลล์ไว้และถามติดโมโห “เธออุ้มเจ้านี่ออกมาทำไม? ระวังจะหล่นใส่เท้าเอาหรอก”

 

เหมยเหมยหอบแหก ๆสะบัดมือที่กำลังปวดเมื่อยออก แล้วอธิบายว่า “ฉันอยากทดสอบดูว่าเครื่องชั่งน้ำหนักพังหรือเปล่า? ฉันรู้สึกว่ามันพังไปแล้ว เข็มมันไม่ถูก”

 

เหยียนหมิงซุ่นมุมปากเหยียดยิ้ม ฝืนแรงแทบตายกว่าจะทำหน้านิ่งไม่ให้หลุดหัวเราะออกมาได้ เขาก็ว่าทำไมถึงได้มีท่าทีสงบขนาดนั้น ที่แท้ก็คิดว่าเครื่องชั่งน้ำหนักพังนี่เอง!

 

ภรรยาเขานี่ช่างเก่งเรื่องหลอกตัวเองจริง ๆเลย !

 

“เครื่องชั่งน้ำหนักต้องพังแล้วแน่ ๆ พรุ่งนี้พี่ซื้อให้ใหม่” เหยียนหมิงซุ่นพูดโกหกหน้าตาย ความจริงแค่ไม่อยากเห็นเหมยเหมยอาละวาด ถ้าสิทธิประโยชน์ในค่ำคืนนี้ไม่มีแล้วจะทำอย่างไร?

 

“อุ้มออกมาแล้วก็ลองดูหน่อยสิ เครื่องชั่งนี้พี่ซื้อมาจากไหนเนี่ยทำไมคุณภาพถึงได้แย่ขนาดนี้ ครั้งหน้าไปซื้อที่ร้านอื่นนะ”

 

เหมยเหมยบ่นที่เหยียนหมิงซุ่นซื้อของไม่เป็น และบอกให้เขาวางดัมเบลล์ลง

 

เหยียนหมิงซุ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำ เครื่องชั่งน้ำหนักที่เป็นแพะรับบาปเบนเข็มชี้หยุดลงที่ 10 และไม่ขยับแล้ว…ไม่ขยับแล้ว…

 

………………………………………………………………