ตอนที่ 1586 : ความสำเร็จครั้งใหญ่ของกำเนิดกระบี่

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1586 : ความสำเร็จครั้งใหญ่ของกำเนิดกระบี่

โอวหยางหยิงเว่ยได้เดินทางผ่านอุโมงค์ด้วยตัวเอง เขาไม่ได้เร่งรีบแต่เขาก็เดินทางได้ไกลในแต่ละก้าว ตอนที่เขาเดินหน้า พลังของเขาจะแผ่ออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระบี่ที่แผ่ปราณกระบี่อันทรงพลังออกมา เขาทำให้อุโมงค์แห่งนี้สั่นไหวไปเล็กน้อย

ระหว่าง 9 ปีมานี้อุโมงค์ได้รับพลังในการฟื้นฟูตัวเอง มันแข็งแกร่งซะจนสามารถรองรับขั้นแลกเปลี่ยนได้ แม้ว่าขั้นแลกเปลี่ยนจะสู้กันด้านในแต่มันก็ยากที่อุโมงค์แห่งนี้จะพังลงมา

พลังของโอวหยางหยิงเว่ยนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมจนถึงขีดจำกัดของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้แสดงพลังเต็มที่ของเขาออกมาหลังจากที่ตัดผ่านเป็นขั้นแลกเปลี่ยน

จอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมหลายคนจากโลกเซียนที่ถูกทอดทิ้งนั้นโจมตีโถงศักดิ์สิทธิ์ที่ปลายอุโมงค์ ตอนที่พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่ากลัวจากด้านหลัง พวกเขาก็หยุดมือและหันกลับไปมองก่อนจะพบกับโอวหยางหยิงเว่ยที่เข้ามาหาพวกเขา สายตาของพวกเขาหรี่ลงและพากันโค้งคำนับให้กับโอวหยางหยิงเว่ย

” พวกเจ้าไปได้แล้ว ปล่อยให้ข้าจัดการเอง” โอวหยางหยิงเว่ยสั่งการออกมาอย่างเย็นชา ใบหน้าของเขาหม่นลง แค่เพียงสะบัดกระบี่ เขาก็ได้สร้างลำแสงที่ยาวกว่า 300 ม. มันพุ่งเข้าปะทะโถงศักดิ์สิทธิ์และทำให้เกิดการระเบิดขึ้นมา

แต่โถงนั้นแข็งแกร่งจนแม้แต่จิตวิญญาณราชันย์ที่ซึ่งอยู่ในขอบเขตเทพทำได้แค่ทำให้มันสั่นไหวตอนที่พลังงานมันเต็มเปี่ยม โอวหยางหยิงเว่ยนั้นขึ้นมาถึงขั้นแลกเปลี่ยน แต่มันก็มีความต่างอย่างมากเรื่องความแข็งแกร่งระหว่างเขากับจิตวิญญาณราชันย์ การโจมตีของเขาไม่แม้แต่จะทำให้โถงนั้นสั่นไหวแม้ว่ามันจะทำให้เกิดการระเบิดก็ตาม

” ข้าอยากเห็นว่าเจ้าจะทนไปได้นานแค่ไหน ” – โอวหยางหยิงเว่ย พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา เขาไม่ได้ผิดหวังเพราะการโจมตีก่อนหน้านี้ เขายืนอยู่ในอุโมงค์และทำการโจมตีต่อ เขาโจมตีอย่างเต็มกำลังในแต่ละครั้งราวกับว่าเขากำลังระบายความโกรธแค้นที่มีต่อทวีปเทียนหยวนใส่โถงตรงหน้า

ในห้องที่ซึ่งมีจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมรวมตัวกันอยู่ มีขนสัตว์อสูรสีขาวลอยอยู่ในอากาศ กว่าหลายปีผ่านมานี้พวกเขาพยายามจะทำความเข้าใจเส้นทางแห่งการสังหารที่โมเทียนหยุนได้ทิ้งเอาไว้พร้อมกับคุ้มครองที่นี่ แต่ไม่มีใครทำมันได้สำเร็จเลยสักคน

ไม่มีใครเข้าใจเส้นทางแห่งการสังหารเลยในตอนนี้ โถงแห่งนี้ได้รับการโจมตีมาหลายครั้งซึ่งทรงพลังกว่าครั้งก่อนหน้า การโจมตีนั้นไม่ได้น่าประทับใจเท่ากับการโจมตีจากจิตวิญญาณราชันย์แต่มันก็ทำให้ทุกคนในห้องตึงเครียด

“ต่างโลกโจมตีครั้งใหญ่อีกครั้งแล้วรึ ? พวกเขาคงรวบรวมจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมเพื่อมาโจมตีที่ทรงพลังแบบนี้ ถ้าพวกเขายังคงโจมตีด้วยระดับพลังแบบนี้ต่อไป เวลาที่เราเหลืออยู่ก็จะสั้นลงอย่างมาก” กุยไฮ่ยี่เต่าพูดขึ้นด้วยท่าทีหนักใจ พลังดั้งเดิมของพวกเขาถูกใช้ไปเร็วกว่าเดิมหลายเท่า

“อุโมงค์นี้เพียงแค่ใหญ่เล็กน้อย มันไม่อาจจะจุคนได้มากมายและไม่อาจให้โจมตีพร้อมกันได้ บางทีคงมีคนต่างโลกที่ไปถึงขั้นแลกเปลี่ยนแล้ว” เฟิงเซียวเทียนพูดขึ้นมา

ทุกคนในห้องต่างก็เงียบและนิ่งไป

“ทุก ๆ 3-4 ปี เราต้องกินผลพลังอมตะเพื่อฟื้นฟูพลังงานดั้งเดิมของเรา เมื่อการโจมตีนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม เราก็ต้องกินผลพลังอมตะไปมากกว่าเดิมด้วย ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเราคงทนได้ไม่นานด้วยผลไม้ที่เหลืออยู่ เราคงได้แต่หวังพึ่งพาเจี้ยนเฉิน หวังว่าเจี้ยนเฉินจะกลับมาก่อนที่แนวหน้าจะพังลง หรือโลกของเราจะต้องเผชิญหน้ากับภัยครั้งใหญ่” ฮุสตันพูดขึ้น

“เจี้ยนเฉินจะเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นมาในระดับที่เขาไม่จำเป็นต้องกลัวจิตวิญญาณราชันย์ในเวลาอันสั้นแบบนี้ได้ยังไง ? ” เทียนเจี้ยนถามขึ้นมา เขากังวลอย่างมาก เขารู้ว่าเจี้ยนเฉินนั้นมีพรสวรรค์และความเร็วในการบ่มเพาะก็เกินความคาดหมาย แต่มันมีความต่างระหว่างขอบเขตดั้งเดิมกับขอบเขตเทพมากจนเกินไป เขาจะทำแบบนั้นได้ในเวลาอันสั้นรึเปล่า ?

….

เจี้ยนเฉินและซ่างกวนมู่เอ๋อแต่งตัวและออกจากถ้ำที่สร้างขึ้นโดยศิลาเซียนหยินหยาง ซ่างกวนมู่เอ๋อได้เข้าไปในกระท่อมของตัวเองก่อนจะปรับพลังงานในตัวนาง ส่วนเจี้ยนเฉินนั้นนั่งลงในจุดที่ห่างไปร้อยกิโลเมตร พวกเขาเริ่มปรับพลังงานที่ตัวเองเพิ่งจะดูดซับมา

กว่าหลายปีผ่านมานี้ เจี้ยนเฉินและซ่างกวนมู่เอ๋อได้เริ่มดูดซับพลังงานจากหินผ่านวิธีการบ่มเพาะคู่และจากนั้นก็ปรับพลังงานในร่างกาย พวกเขาทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเพราะพวกเขารู้ว่าทวีปเทียนหยวนนั้นไม่อาจจะทนได้นาน ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มเททุกอย่างที่มีไปกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเอง พวกเขาไม่มีทางที่จะเสียเวลาไปเปล่า ๆ

ไม่กี่วันต่อมา เจี้ยนเฉินก็ตื่นขึ้น เขาปรับพลังงานที่ดูดซับมาจนเสร็จเปลี่ยนมันเป็นส่วนหนึ่งของพลังบรรพกาล เม็ดพลังบรรพกาลในตันเถียนของเขาตอนนี้ใหญ่กว่าแต่ก่อนอย่างมาก

ความเร็วในการปรับพลังงานของซ่างกวนมู่เอ๋อเพิ่มขึ้นหลังจากที่เป็นขั้นย้อนกลับ แต่นางก็ยังไม่เร็วเท่ากับเจี้ยนเฉิน นางยังคงเก็บตัวอยู่

“ข้าสงสัยว่าเวลาในทวีปเทียนหยวนนั้นผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว และสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง ? ” เจี้ยนเฉิน ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาและมองไปยังท้องฟ้าสีเทา มันมีความกังวลแสดงออกมาบนใบหน้าของเขา แต่เขารู้ว่าเขาไม่อาจจะกลับไปได้ เนื่องจากเขาคงไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ด้วยความแข็งแกร่งที่มีตอนนี้ ทุกคนคงรู้ว่าเขาต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อบ่มเพาะและเพิ่มพลังของตัวเอง เขาคงได้แต่หยุดพวกต่างโลกเมื่อเขาแข็งแกร่งพอ

เจี้ยนเฉินถอนหายใจและสลัดความคิดต่าง ๆ ทิ้ง เขาทำการบ่มเพาะต่อ เขาเพ่งสมาธิไปที่กระบี่คู่พร้อมกับสติที่จมดิ่งไปกับการทำความเข้าใจเส้นทางแห่งกระบี่ สุดท้ายเขาก็เข้าสู่สภาวะการทำสมาธิ

ตอนที่เขาเริ่มทำสมาธิ ชั้นแสงสีขาวได้ปรากฏตัวรอบกายเขา เขาแผ่เจตจำนงกระบี่ที่แหลมคมออกมาซึ่งได้แผ่ครอบคลุมพื้นที่หลายสิบตารางกิโลเมตร อากาศและพลังงานที่มองไม่เห็นในเขตนั้นหยุดนิ่งก่อนที่จะเฉียบคมขึ้นเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นราวกับว่าพวกมันได้รับผลจากจิตกระบี่

บริเวณรอบตัวเขาเต็มไปด้วยปราณกระบี่จนกลายเป็นโลกแห่งเจตจำนงกระบี่

ความเข้าใจเส้นทางแห่งกระบี่ของเจี้ยนเฉินได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จบางส่วนในขอบเขตกำเนิดกระบี่ เขากำลังจะก้าวหน้าครั้งใหญ่ ทุกครั้งที่เขาเข้าเส้นทางแห่งกระบี่ เขาจะแผ่เจตจำนงกระบี่ออกมาซึ่งครอบคลุมพื้นที่หลายสิบกิโลเมตรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการรบกวนซ่างกวนมู่เอ๋อ เขาเลือกที่จะบ่มเพาะในจุดที่ห่างออกมาร้อยกิโลเมตร

แต่เจตจำนงกระบี่รอบตัวเจี้ยนเฉินนั้นจู่ ๆ ก็ทรงพลังมากกว่าเดิมหลายเท่า แสงสีขาวรอบตัวเขาระเบิดออก มันเปลี่ยนเป็นเสาที่เหยียดไปสู่ท้องฟ้าส่งแสงให้กับโลกใบนี้

ปราณกระบี่กวาดไปทุกทิศทางโดยมีเจี้ยนเฉินเป็นศูนย์กลาง มันได้ฉีกกระชากมิติและทำลายพื้นดินก่อรอยแตกมิติไปหลายสิบกิโลเมตร พื้นสีเทายุบลงอย่างรวดเร็ว ดินนั้นไม่ได้อัดแน่นแต่กลับหายไปต่อหน้าปราณกระบี่ราวกับว่าพวกมันระเหยไป

ไม่กี่วินาทีดินที่อยู่ลึกไป 9 ม.ก็หายไปในส่วนนั้น ส่วนเดียวที่เหลือคือวงกลมกว้าง 3 เมตรที่เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ ร่างของเจี้ยนเฉินห่อหุ้มด้วยเสาแสงบดบังร่างกายเขาไว้

แต่เสาแสงนั้นก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายมันก็ก่อตัวเป็นกระบี่ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้สวรรค์ กระบี่ลวงตานี้ทรงพลังจนทำลายทุกอย่างรอบตัว

ในเวลาเดียวกันวิญญาณของเจี้ยนเฉินก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วที่ยากจะเชื่อได้ ความเข้าใจต่อเส้นทางแห่งกระบี่ได้ก้าวระดับครั้งใหญ่และส่งผลดีต่อวิญญาณของเขา

เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าวิญญาณนั้นเติบโตขึ้นมาราวกับเด็กที่โตเป็นผู้ใหญ่ เขารู้สึกได้ถึงวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นมาในทุกวินาทีที่ผ่านไปก้าวข้ามจากขั้นย้อนกลับเป็นขั้นแลกเปลี่ยน

มันไม่ได้หยุดแค่นั้น หลังจากที่ขึ้นเป็นขั้นแลกเปลี่ยน วิญญาณของเขาก็ยังพัฒนาต่อราวกับว่ามันไม่มีทางที่จะหยุดได้ มันก้าวข้ามจากขั้นแลกเปลี่ยนช่วงต้นเป็นช่วงกลางก่อนจะหยุดที่ช่วงปลาย

เจี้ยนเฉินรู้สึกได้ชัดเจนว่าวิญญาณของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนอย่างมาก เขาไม่เคยรับรู้อะไรแบบนี้มาก่อน ถ้าเขาก้าวหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย วิญญาณของเขาจะก้าวข้ามขอบเขตดั้งเดิมขึ้นเป็นขอบเขตเทพ

ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินยังไม่ถึงระดับจิตวิญญาณราชันย์หลังจากที่บ่มเพาะมา 9 ปี แต่มันก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาขึ้นมาถึงขั้น 6 ของร่างบรรพกาลและความเข้าใจต่อเส้นทางแห่งกระบี่ก็ก้าวข้ามจากความสำเร็จบางส่วนมาเป็นความสำเร็จขั้นกลาง แม้แต่วิญญาณก็ขึ้นมาเป็นขั้นแลกเปลี่ยนด้วย

แสงสีขาวรอบตัวเจี้ยนเฉินจางลงและกระบี่เล่มใหญ่ที่อัดแน่นจากปราณกระบี่ก็หายไปพร้อมกับเจี้ยนเฉินที่ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง

เจี้ยนเฉินลืมตาขึ้นมามองไปรอบ ๆ พื้นดินที่จมลงไปถึง 9 เมตร ใบหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขาก้าวออกไปก่อนจะหายตัวไปในทันทีโผล่มาในจุดที่ห่างจากเดิมกว่า 10 กิโลเมตร

เจี้ยนเฉินก้าวข้ามระยะทาง 100 กม.ได้ด้วยไม่กี่ก้าว ตรงหน้าเขาคือซ่างกวนมู่เอ๋อที่ยืนหันหลังให้เขา นางรอเขามาอยู่สักพักแล้ว

ในขณะเดียวกันความแข็งแกร่งของนางกึ้นไปถึงขั้นย้อนกลับช่วงปลายแล้ว

“เจ้าทะลวงผ่านแล้ว” ซ่างกวนมู่เอ๋อมองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาอันอบอุ่น เสียงของนางนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์เพียงพอทำให้คนตะลึงได้

เจี้ยนเฉินพยักหน้า “มันเป็นการทะลวงผ่านเล็กน้อย แต่ข้าก็ยังห่างจากการที่จะสู้กับจิตวิญญาณราชันย์ได้ ร่างบรรพกาลของข้าขึ้นถึงจุดสูงสุดของขั้น 6 ดังนั้นข้าควรจะไปถึงขั้น 7 ได้ด้วยการดูดซับพลังงานจากหินอีกหนึ่งครั้ง การขึ้นไปถึงขั้น 6 ของร่างบรรพกาลนี้คือความสำเร็จขั้นต้น เมื่อข้าขึ้นถึงขั้น 7 ได้ ข้าจะดำเนินการพัฒนาส่วนหนึ่งของร่างบรรพกาลและหากข้าต้องการเดินหน้าต่อ ข้าต้องทำความเข้าใจ พวกมันคือกุญแจในการขึ้นสู่ขั้น 7 ดังนั้นมันจึงต่างกันอย่างมากระหว่างขั้น 6 และ 7 ข้าสงสัยว่าข้าจะมีความแข็งแกร่งขนาดไหนเมื่อทะลวงผ่าน และมันจะเพียงพอที่จะรับมือกับจิตวิญญาณราชันย์ได้หรือไม่”

ซ่างกวนมู่เอ๋อยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้นก็มาบ่มเพาะต่อ ข้าเองก็ขึ้นเป็นขั้นย้อนกลับช่วงปลายแล้วและกำลังจะขึ้นเป็นขั้นแลกเปลี่ยนในไม่ช้า”