บทที่ 1306 ต้องไปแล้ว

The king of War

ในความทรงจำของหลงเคอ นี่เป็นครั้งแรกที่จักรพรรดิหลงเรียกเขาว่าลูกพ่อ เรียกตนเองว่าพ่อ

ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่ของหลงเคอแดงก่ำ จ้องจักรพรรดิหลงแล้วพูด “ผมสามารถไปขอร้องพี่ใหญ่ ถึงไม่ได้เจอกันสามสิบปี แต่ยังไงพวกเราก็เป็นพี่น้องแม่เดียวกัน ผมเป็นน้องชายที่เขารักที่สุด แค่ผมไปขอร้องเขา เขาต้องช่วยพวกเราจัดการหยางเฉินแน่นอน”

จักรพรรดิหลงส่ายหัว “ในปีที่เขาถูกคนของตระกูลนั้นพาตัวไป ตระกูลนั้นเคยพูดเอาไว้ นอกเสียจากเรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย ไม่เช่นนั้นจะไม่ให้พวกเราพบหลงเยว่”

“อย่าว่าแต่แก ถึงเป็นฉันที่ต้องการพบหลงเยว่ก็ทำไม่ได้”

“ก็เพราะแกเป็นน้องชายที่รักของเขา ดังนั้นมีเพียงการตายของแก ถึงสามารถทำให้เขากลับมาแก้แค้นเพื่อแก”

หลงเคอรู้สึกเพียงร่างกายของตนเองอ่อนแรง ล้มก้นทิ่มลงบนพื้น ในแววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

เขารู้ วันนี้ตนเองต้องตายแน่นอน

เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงคือต้องมาตายด้วยมือของพ่อตนเอง

“เสด็จพ่อ ผมไม่อยากตาย! ผมไม่อยากตาย!”

หลงเคอคุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดิหลงอย่างกะทันหัน พูดอ้อนวอนขอร้อง “ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ผมแค่ต้องการชีวิตของผม เสด็จพ่อ ผมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน ทำไมท่านถึงฆ่าผมได้ลงคอ?”

“เสด็จพ่อ ได้โปรดอย่าฆ่าผม มันต้องมีวิธีอื่นที่สามารถทำให้พี่ใหญ่กลับมาแน่นอน”

“ขอแค่สามารถติดต่อพี่ใหญ่ เขาจะต้องกลับมาแน่นอน เสด็จพ่อ ได้โปรดอย่าฆ่าผม อย่าฆ่าผมเลย!”

ตอนที่จักรพรรดิหลงมองหลงเคอ ในแววตามีความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นหลายส่วน แต่นั่นมันก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น

ในฐานะจักรพรรดิหลง เขามีผู้หญิงมากมาย และมีลูกหลานมากมาย หลงเคอเป็นเพียงหนึ่งในทายาทมากมายเท่านั้น

อย่าว่าแต่แค่หลงเคอคนเดียว ถึงเป็นทายาทสองคนที่ได้รับความโปรดปรานเหมือนหลงเคอ เมื่อไหร่ที่ราชวงศ์หลงเผชิญหายนะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง ล้วนแต่สามารถเสียสละ

ตระกูลระดับแนวหน้าล้วนแต่ไร้ความปราณี มีเพียงอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น

“ลูกพ่อ ขอโทษ พ่อต้องทำแบบนี้เท่านั้น”

จักรพรรดิหลงพูดคำพูดประโยคสุดท้าย ทันใดนั้นมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวสายหนึ่งไปรวมกันที่ฝ่ามือข้างขวาของเขา โบกออกไปอย่างกะทันหัน

“เสด็จพ่อ ไม่……”

“ปัง!”

จู่โจมใส่ศีรษะของหลงเคอโดยตรง หลงเคอชะตาขาดทันที

มองดูหลงเคอที่ตายไปแล้ว จักรพรรดิหลงรู้สึกเจ็บปวดมาก เงยหน้าขึ้นหลับตาลง อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนฆ่าลูกชายของตนเอง

“หยางเฉิน ฉันจะต้องทำให้แกจะได้ชดใช้! จะต้องชดใช้!”

ผ่านไปเนิ่นนาน ความเศร้าโศกในแววตาของจักรพรรดิหลงหายไป เห็นเพียงสีหน้าที่ดุร้าย กัดฟันแน่นพูด

เขานำความแค้นทั้งหมดไปคิดบัญชีที่ตัวของหยางเฉิน

ตอนนี้ หยางเฉินกำลังอยู่บนยอดเขาหนิงของหนิงโจว ทำการคาดเดาของตนเองต่อ อาศัยการจินตนาการเข้าสู่ห้วงของความโกรธครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากนั้นอาศัยการจินตนาการดึงสติของตนเองกลับจากสภาวะคลุ้มคลั่ง

อยู่บนยอดเขาหนิงเป็นเวลาติดต่อกันถึงสามวัน เขาเหมือนรู้สึกว่าตนเองไม่ง่วงไม่เหนื่อย ลืมแม้กระทั่งไม่ได้กินข้าวแม้แต่คำเดียว

ในที่สุด จนกระทั่งถึงวันที่สาม ในช่วงเย็นตอนที่พระอาทิตย์ตกดิน เขาถึงหยุดการฝึกฝน

“ในที่สุดก็สามารถลดระยะเวลาในการเข้าและปลดสภาวะคลุ้มคลั่งเหลือแค่ห้าวินาที”

ในที่สุดบนใบหน้าของหยางเฉินก็เผยให้เห็นรอยยิ้ม

ด้วยระดับแดนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งในปัจจุบันของเขา เดิมทีก็สามารถระเบิดพลังต่อสู้ที่เทียบเท่ากับแดนเหนือมนุษย์ขั้นสอง ถ้าหากเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง พลังต่อสู้ของเขายังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีก

ถึงเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งแดนเนื้อมนุษย์ขั้นสาม ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ

“พี่ชาย!”

ในตอนนั้นเอง มีเสียงพูดที่คุ้นเคยดังขึ้น

เป็นโม่เชียนเชียน เธอถือกล่องอาหารเก็บความร้อนไว้ในมือ มองมาทางหยางเฉินด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ถึงคุณเป็นมนุษย์เหล็ก ก็คงต้องกินข้าวบ้างมั้ง?”

“ฉันมาหาคุณที่นี่สามวันแล้ว มาส่งข้าวให้คุณสามวัน คุณไม่เคยกินสักคำ”

“ลูกผู้พี่เป็นคนสั่งให้ฉันส่งมาให้คุณ ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะเป็นห่วงคุณ ฉันก็คงไม่มาหรอก!”

โม่เชียนเชียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย “ถ้าหากวันนี้คุณไม่กิน ต่อไปฉันจะไม่มาส่งข้าวให้คุณอีกแล้ว”

“ขอบคุณ!”

หยางเฉินรับกล่องเข้ามาพร้อมกับยิ้ม หลังจากนั้นเริ่มลงมือกินทันที

สามวันที่ผ่านมา เขาเอาแต่คิดหาวิธีลดเวลาของการเข้าและปลดสภาวะคลุ้มคลั่งให้ลดลง อยู่ในห้วงความรู้สึกที่ลึกลับตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจโม่เชียนเชียน

ไม่ใช่เขาไม่ต้องการสนใจ แต่เป็นเพราะไม่สามารถสนใจ

ตอนนี้ เห็นหยางเฉินยอมคุยกับตนเอง และยังรับกล่องข้าวไปกินโดยตรง โม่เชียนเชียนรู้สึกประหลาดใจมาก

ข้าวที่มีอาหารเต็มกล่องหมดไปอย่างรวดเร็ว ไม่เหลือแม้กระทั่งข้าวเม็ดเดียว

“คุณน่าจะยังกินไม่อิ่มมั้ง? ฉันไปเตรียมส่งมาให้คุณอีก”

โม่เชียนเชียนพูดพร้อมกับกำลังจะเดินจากไป

“รอก่อน!”

หยางเฉินเรียกโม่เชียนเชียน ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูด “ผมไม่ได้เจอฉิงเสว่มาพักหนึ่งแล้ว แวะไปเยี่ยมเธอหน่อยก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง บ้านตระกูลลู่

ภายในวิลล่าของลู่ฉิงเสว่ หยางเฉิงได้พบกับลู่ฉิงเสว่อีกครั้ง

แขนข้างหนึ่งของลู่ฉิงเสว่ถูกห่อด้วยเฝือก แขนของเธอถูกวางอยู่บนสายสะพายผ้าก๊อตซึ่งห้อยติดกับคอ

ได้พบลู่ฉิงเสว่อีกครั้ง ภายในใจของลู่ฉิงเสว่รู้สึกทรมานเล็กน้อย หลังจากที่ไม่ได้พบกันสามวัน ลู่ฉิงเสว่ดูผอมไปเยอะมาก ดวงตาทั้งคู่แดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการร้องไห้มากเกินไป

ผู้หญิงโง่คนนี้ร้องไห้เพราะอะไร หยางเฉินรู้ดี ความรู้สึกผิดในใจของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น

“พี่หยาง คุณมาแล้วเหรอ!”

เห็นหยางเฉิน บนใบหน้าของลู่ฉิงเสว่มีอารมณ์ของความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นหลายส่วน

โม่เชียนเชียนเห็นทุกอย่าง รู้สึกปวดใจมาก แอบเดินจากไปโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง เว้นพื้นที่ไว้ให้คนทั้งสอง

หยางเฉินพยักหน้า “ฉิงเสว่ ผมขอโทษที่วันนั้นไม่สามารถควบคุมตัวเอง”

ลู่ฉิงเสว่รีบส่ายหัว ยิ้มแล้วพูด “พี่หยาง ฉันไม่ต้องการคำขอโทษของคุณ แค่คุณไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

เธอยิ้มอย่างมีความสุข หลายวันมานี้ เธอคิดว่าทั้งชีวิตจะไม่มีโอกาสได้พบหยางเฉินอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าหยางเฉินจะมาหาเธอถึงบ้านตระกูลลู่

เพียงแต่ คนทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันไม่รู้ว่าจะคุยอะไรดี บรรยากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว

ทว่าลู่ฉิงเสว่ยังคงรู้สึกดีใจมาก ราวกับขอเพียงได้นั่งคู่กับผู้ชายคนนี้ แค่นี้เธอก็มีความสุขมากแล้ว

“ฉิงเสว่……”

“พี่หยาง……”

ทันใดนั้น คนทั้งสองเอ่ยปากพูดพร้อมกัน หลังจากนั้นสบตากันแล้วหัวเราะ

“คุณพูดก่อนเถอะ!”

ลู่ฉิงเสว่พูดอย่างยิ้มแย้ม

หยางเฉินยกชาขึ้นจิบ มองไปทางลู่ฉิงเสว่ พูดด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ฉิงเสว่ ผมตั้งใจจะไปแล้ว!”

คำพูดประโยคนี้ ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่ฉิงเสว่แข็งทื่อทันที

อันที่จริง หยางเฉินมาหาลู่ฉิงเสว่ถึงตระกูลลู่เพื่อมาบอกลา

เขาออกจากเยี่ยนตูมาระยะหนึ่งแล้ว มีเรื่องมากมายรอให้เขากลับไปจัดการ

นอกจากนี้ ถ้าเขาอยู่ตระกูลลู่ต่อ มีแต่จะนำหายนะมาให้ตระกูลลู่ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องไปจากที่นี่

“ได้!”

ผ่านไปสักพัก ลู่ฉิงเสว่ถึงพยักหน้า พูดเพียงแค่ประโยคเดียว บนใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ของความเศร้าโศก

หยางเฉินไม่ใช่คนโง่ เขารู้ความรู้สึกที่ลู่ฉิงเสว่มีต่อตนเองตั้งนานแล้ว เพียงแต่ในใจของเขามีผู้หญิงอีกคนแล้ว ทั้งชีวิตนี้ไม่มีที่ว่างให้ผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว

“พี่หยาง ความทรงจำของคุณฟื้นฟูกลับมาแล้วใช่หรือเปล่า?”

ลู่ฉิงเสว่ถามขึ้นอย่างกะทันหัน