ตอนที่ 1594 แม้จะมีความเป็นไปได้เพียง 1%

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

[…เขาคือความรุ่งเรืองของมนุษยชาติ จากวินาทีที่คบเพลิงถูกจุด ชีวิตของเขาก็ไม่ได้เป็นแค่ของเขาคนเดียวอีกต่อไป ลำตัวของเขาเปลี่ยนเป็นธุลีดิน โลหิตแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาและแม่น้ำ มีชีวิตอยู่ในใจของผู้คนตลอดไปในอีกรูปแบบหนึ่ง

[อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตทุกประเภทในธรรมชาติต้องการแสงสว่างและความร้อนอยู่ตลอดกาล ไม่ใช่ว่าเราต้องการสิ่งต่างๆ จากเขามากกว่าเดิม แต่เป็นเพราะพวกเรายังไม่หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่พวกเราเสียเขาไป…

[ วันที่ 11 มกราคม 2025 ณ ปักกิ่ง]

ผ่านไปเกือบปีแล้วตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติบนดาวอังคาร

เมื่อปีที่ผ่านมาเสี่ยวถงเขียนเรื่องราวลงในไดอารี่ของตัวเองทุกวัน หวังว่าเธอจะสามารถตามหาความสุขสงบในใจได้ชั่วครู่ ละทิ้งความปวดร้าวในใจนี้ไป

เสี่ยวถงเขียนวันที่ไปข้างล่างบันทึก เธอพลิกไดอารี่ในมือปิดลง แล้วถอนหายใจเบาๆ

เธอมาที่ปักกิ่งได้สามวันแล้ว ในเวลาสามวันนี้ฝนก็ตกไปแล้วอย่างน้อยสองครั้ง ไม่มีสักวันเลยที่ฟ้าจะโปร่ง

ส่วนสาเหตุที่เธอมาที่นี่ในเวลานี้นั้น…

ก็มีที่มาจากบทสนทนาเมื่อสามวันก่อน

วันนั้นฝนก็ตกเหมือนกัน หญิงสาวแต่งตัวดีคนหนึ่งหาบ้านของเธอเจอ เธอคนนั้นมาหาเสี่ยวถงพร้อมกับเอกสารบางอย่าง

เสี่ยวถงเคยเห็นเอกสารคล้ายๆ กันนี้จากเพื่อนสนิทของพี่ชายเธอแล้ว เธอจึงเดาได้ว่าผู้มาเยือนสาวคนนี้ก็คงจะเป็นสมาชิกของกรมตำรวจไม่ต่างกัน

ชื่อของหญิงสาวผู้มาหานั้นคือเหยียนเหยียน

“คุณได้คิดเรื่องนี้หรือยังคะ? ถึงแผนนี้จะสำคัญกับพวกเรา แต่ถ้าคุณจะปฏิเสธ พวกเราก็เข้าใจดีนะคะ”

เสี่ยวถงมองเอกสารบนโต๊ะกาแฟ เธอที่นั่งอยู่ที่โซฟาคิดไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปหยิบปากกาแล้วลงนามในเอกสารฉบับนั้น

เสี่ยวถงเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวที่ดูมีท่าทางประหลาดใจซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะกาแฟ เสี่ยวถงเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงหลายปีก่อนหน้านี้ ฉันก็คิดว่าจะทำแผนคล้ายๆ กันน่ะค่ะ ฉันกำลังคิดถึงเรื่อง…ชื่อของเขา”

น้ำเสียงของเหยียนเหยียนดูโล่งลงเล็กน้อยตอนเธอพูดตอบมา

“ไม่ต้องเร่งหรอกนะคะ ยังมีเวลาให้คิดเรื่องนี้อีกมาก”

“จะให้ทำอย่างนั้นได้อย่างไรกันล่ะ? เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะ” ลู่เสี่ยวถงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าหากชีวิตเล็กๆ นี้จะต้องเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ล่ะก็ ฉันก็อยากจะเป็นคนที่มอบให้ตัวตนกับเขา อันที่จริง…ถ้านับในทางเทคนิคแล้ว เขาก็จะต้องเป็นหลานชายของฉัน”

แน่นอนว่าอาจจะเป็นหลานสาวก็ได้

ถึงจะมีความช่วยเหลือจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การจับคู่โครโมโซมก็ยังเป็นกระบวนการสุ่มอยู่ดี

หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามโต๊ะกาแฟเงียบไปพักหนึ่ง เธอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลย ทำเพียงรับเอกสารนั้นกลับไป

ก็อย่างที่ลู่เสี่ยวถงพูดไว้นั่นแหละ

ต่อให้เธอไม่ยอมลงนามในเอกสาร พวกเขาก็จะทำตามแผนอยู่ดี

แต่ทุกอย่างก็จะเสร็จสิ้นไปโดยที่ลู่เสี่ยวถงไม่รับรู้ เด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่จะใช้ชีวิตในโลกใบนี้ด้วยตัวตนและนามสกุลอื่น

เหยียนเหยียนไม่สนใจว่าชื่อของเด็กคนนั้นจะเป็นอะไร

เสี่ยวถงถาม “อีกนานไหมคะกว่าผลจะออกมา?”

เหยียนเหยียนบอก “โปรเจกต์จัดทำขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้เข้าสู่ช่วงระยะทดลองแล้ว ผลน่าจะได้อย่างเร็วสุดก็ตุลาคม”

เสี่ยวถงทวนถาม “ตุลาคมเหรอ…ถึงตอนนั้นฉันไปที่นั่นด้วยได้ไหมคะ?”

เหยียนเหยียนตอบในทันที “ได้แน่นอนค่ะ คุณจะได้รับข้อมูลความคืบหน้าของการวิจัยที่อัปเดตใหม่ล่าสุดด้วย…ถ้าคุณสะดวก คุณจะไปที่ไซต์ทดลองเลยก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปแน่นอนค่ะ” เสี่ยวถงยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ถึงฉันจะไม่ได้สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แต่ฉันเองก็อยากมีลูกจริงๆ ”

เหยียนเหยียนก้มหัวลงแล้วเอ่ยเบาๆ “ขอบคุณนะคะ…”

“ยินดีค่ะ” เสี่ยวถงส่ายหัวแล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เป็นไปตามที่ฉันคาดไว้เลย”

โปรเจกต์สายเลือดที่ว่า ก็เป็นตามชื่อเลย มันเป็นการสืบต่อสายเลือด

แผนการทั้งหมดวางอยู่บนรากฐานของผลการทดลองเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด

เซลล์ผิวหนังถูกนำไปรวมในเซลล์ต้นกำเนิดพลูริโพเทนต์ผ่านอนาล็อกของไกลโคโปรตีนซีดี 38 จากนั้นก็กลายสภาพไปเป็นเอชพีจีซีแอลซี ซึ่งเป็นไพรมอเดียลเจิร์มเซลล์ผ่านเทคโนโลยีการคัดแยกแบบพิเศษ

จุดประสงค์ตั้งต้นของงานวิจัยนี้คือการช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถมีบุตรได้ซึ่งปรารถนาจะมีทายาทของตนเอง ก่อนหน้านี้การทดลองในหนูก็ประสบความสำเร็จ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องก็ได้รับการตีพิมพ์ แต่เนื่องจากเหตุผลด้านความเสี่ยงทางศีลธรรมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เทคโนโลยีนี้จึงเผชิญกับปัญหาการถกเถียงครั้งใหญ่ ความคืบหน้าการวิจัยจึงเป็นไปอย่างช้าๆ

แต่เมื่อไม่นานมานี้เอง การวิจัยที่เกี่ยวข้องก็มีผลลัพธ์ใหม่ๆ ออกมาแล้ว

ถึงลู่โจวจะไม่ได้ทิ้งตัวอย่างยีนของตัวเองไว้ให้ก่อนเขาจะเดินทางไปดาวอังคาร พวกเขาก็ยังหาหลายๆ สิ่งมาใช้ได้ อย่างตัวอย่างเลือดกับเซลล์โซมาติก

แถมเหยียนเหยียนยังทำงานเป็นแพทย์ประจำตัวลู่โจวมานานแล้ว

โปรเจกต์สายเลือดจึงดำเนินการไปได้อย่างสบายๆ มันเป็นการใช้พลังของวิทยาศาสตร์ช่วยทำให้เซลล์โซมาติกของลู่โจวเติบโตไปเป็นเอชพีจีซีแอลซีในหลอดทดลอง จากนั้นก็รวมมันเข้ากับตัวอย่างคุณภาพดีเยี่ยมจากธนาคารไข่เพื่อสร้างเป็นเส้นเลือดที่จะรับสายเลือดของลู่โจวไป

วิธีนี้ปลอดภัยกว่าการโคลนมนุษย์ และยังสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านศีลธรรมได้

ส่วนเสี่ยวถงนั้น แผนการทั้งหมดไม่ได้ขอให้เธอบริจาคเซลล์หรือบังคับให้เธอต้องรับบทแม่เลย สิ่งเดียวที่เธอต้องทำก็คืออนุญาตให้ใช้ตัวตนทางกฎหมายเท่านั้น

ดังนั้นเด็กหลอดแก้วคนนี้จะเติบโตขึ้นมาบนโลกในฐานะลูกของเสี่ยวถง…

อันที่จริงถ้าหากมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว การให้เทคโนโลยีเกิดใหม่นี้ดูแลเด็กทารกที่เพิ่งเกิดใหม่เช่นกันโดยตรงก็เป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงเอามากๆ

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ทุกคนก็รู้กันดีว่าถึงลู่โจวกับเด็กคนนี้จะมียีนเดียวกัน เด็กคนนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นนักวิชาการที่มีความสามารถทางวิชาการระดับเดียวกับนักวิชาการลู่ได้

แต่ถึงแม้จะมีความเป็นไปได้เพียง 1% แค่นี้ก็คุ้มค่าที่จะลองแล้ว

เพราะเขาเป็นผู้ชายที่เปลี่ยนโลกวิทยาศาสตร์ทั้งโลก รวมถึงยังเปลี่ยนโครงสร้างของโลกใบนี้ด้วยตัวเขาเอง

ถึงแม้ว่าเด็กที่เกิดใหม่ด้วยวิธีนี้จะไม่ได้รับความสามารถทางวิชาการในระดับเดียวกับลู่โจว อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถเก็บรักษาสายเลือดของเขาไว้ได้

บางทีในอนาคตอันไม่ไกลนัก อาจจะมีนักวิชาการที่ไม่ได้เก่งยิ่งหย่อนไปกว่าเขาเกิดขึ้นมาบนโลกและใช้ความรู้ของตัวเองเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่เหลืออยู่ไม่ใช่สายเลือดหรอก แต่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังเสียมากกว่า…

เสี่ยวถงรออย่างเงียบๆ อยู่สิบเดือน เธอรออยู่หน้าห้องทำคลอดของโรงพยาบาล 301 จากนั้นก็รับเด็กทารกที่กำลังร้องไห้ออกมาจากมือหมอ

“พวกเราทำสำเร็จ! เด็กที่เกิดใหม่มีสุขภาพแข็งแรงดี นี่ถือเป็นปาฏิหาริย์ในวงการการแพทย์อย่างไม่ต้องสงสัย!”

“ชู่วว อย่าทำให้เขากลัวสิ” เสี่ยวถงไม่สนใจคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอจ้องตรงไปที่เด็กทารกที่กำลังร้องไห้จ้าในอ้อมแขน เธอเอ่ยขึ้นมาอย่างนุ่มนวลพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “ชีวิตก็คือปาฏิหาริย์…”

หากเปรียบเทียบกับหมอที่ตื่นเต้นจัด รอยยิ้มของเสี่ยวถงที่กำลังอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขนไม่ได้มีความตื่นเต้นอะไรเด่นชัดนัก มีเพียงความสุขสงบระดับธรรมดาจากการได้อุ้มเด็ก

เธอไม่รู้ว่าอะไรเป็นต้นกำเนิดของความสุขดังกล่าวนี้…

แน่ล่ะ เธอไม่เคยเป็นแม่คนมาก่อนอยู่แล้ว คนที่เธอชอบก็ยังไม่มีเลยสักคน แต่พอเธอได้อุ้มเด็กทารกคนนั้นไว้ในมือ เธอก็รู้สึกถึงสัมผัสของโชคชะตา

ราวกับว่าชีวิตของเธอได้มีความหมายใหม่ บางสิ่งบางอย่างที่เคยล่องหนอยู่ได้เผยออกมาสู่สายตาให้เห็น

ไม่ว่าเด็กคนนี้จะถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกโดยธรรมชาติหรือผ่านพลังแห่งเทคโนโลยีก็ตาม ความรู้สึกนี้จะไม่แปรเปลี่ยนไป…

“ฉันจะเรียกเธอว่าลู่หยวนนะ”

พอลู่เสี่ยวถงพูดชื่อของเขาออกมา หญิงสาวก็ตัดสินใจแล้ว

เธอจะเลี้ยงดูเขาให้เขาเติบโตเป็นคนที่ใจดี กล้าหาญ ยิ่งใหญ่ และชาญฉลาดอย่างที่สุดเหมือนกับพี่ชายของเธอ

ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป…

เธอเป็นแม่ของเขาแล้ว

………………………………………………………..