จากเบาะแสที่ตนยึดกุม ณ บัดนี้ หลัวซิวก็เชื่อมต่อเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ถึงกันอย่างรวดเร็ว

เมื่อนั้นโชคดีที่หลังจากเขาช่วยชีวิตช่าจื่อเยียนออกมาแล้ว เขาก็หาสถานที่ที่ซ่อนเร้นให้นางฝึกตนปิดขัง ไม่เคยเผยตัว ต่อมาครั้นเมื่อปรากฏในเมืองอัคคีนภาอีกครั้ง เขาก็เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างใหม่แล้ว เพราะฉะนั้นถึงหลีกเลี่ยงเรื่องการเปิดเผยตัวตนไปได้

หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงส่วนลึกของห้วงดารานี้ ที่นี่มีดาราหนึ่งดวงที่มีพลังออร่ามากมายมหาศาลซัดสาด

ตำแหน่งที่ดาราดวงดังกล่าวอยู่คือจุดศูนย์กลางของห้วงดาราแห่งนี้ เนื่องจากตัวหยั่งรู้ของตัวหลัวซิวเองก็กลายเป็นห้วงดาราไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงทราบว่าดาราดวงนี้น่าจะเป็นดาราที่กลายมาจากช่องจิตของจักรพรรดิเทพมหาวาล

อย่างไรก็ตามเมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปยาวนานอย่าวไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิวหรือเสิ่นปิงหยู ต่างก็ไม่สามารถเอามันออกไปจากที่นี่ได้เลย

“นั่นมันโลงศพหนึ่งใบหรือ?”

จู้เทียนหลงใช้นิ้วชี้ไปทางดาราดวงนั้น มีโลงศพขนาดใหญ่หนึ่งใบตั้งอยู่ด้านบน ดวงดาวหนึ่งดวงนั้นใหญ่โตมโหฬารมากเพียงใด? ทว่ากลับยังสามารถมองเห็นโลงศพใบนั้นได้อย่างชัดเจน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่าปริมาตรของโลงศพใบนี้ ใหญ่โตถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้

และด้านบนของโลงศพดังกล่าวมีหอคอยหนึ่งหลัง และมีเศษชิ้นส่วนหนึ่งชิ้นกำลังเปล่งประกายระยิบระยับ

“หอคอยเทพมหาวาล เศษใจแห่งศุภร”

สำหรับความเป็นมาของสมบัติสองชิ้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นหลัวซิวหรือเสิ่นปิงหยู ต่างก็สามารถคาดเดาได้โดยไม่ต้องสงสัย

ภายในโลงศพขนาดใหญ่นั่นต้องมีศพของจักรพรรดิเทพมหาวาลอย่างแน่นอน เนื่องจากทันทีที่มาถึงที่นี่ก็สามารถสัมผัสถึงแรงกดอัดอันมากมายมหาศาลที่ข่มเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าสิบทศภูมินั่นได้แล้ว

“ผู้เพื่อนยุทธ์เย่ หอคอยเทพมหาวาลเป็นสมบัติที่อาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ เศษใจแห่งศุภรนั่นก็เป็นสมบัติล้ำค่าเช่นกัน เจ้าและข้าแบ่งกันคนละชิ้น เป็นอย่างไร?”เสิ่นปิงหยูเอ่ยปากพูด

“ได้”หลัวซิวตอบตกลงอย่างไม่ลังเลใจ เมื่อเปรียบเทียบกับหอคอยเทพมหาวาลนั่นแล้ว เขาต้องการเศษใจแห่งศุภรมากกว่า

คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ใกล้จะถึงดาราดวงดังกล่าวอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีม่านแสงชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาภายในพริบตา ขัดขวางอยู่ตรงหน้า มีพลังออร่าลอยวนเป็นเกลียวอยู่รอบม่านแสงชั้นนี้ และมีพลังกดอัดอันยิ่งใหญ่ที่มากมายมหาศาลจนไม่อาจคาดเดาได้แผ่กระจายออกมา

ถึงแม้ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพจะดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว ทว่าอนุภาคที่ยังหลงเหลืออยู่ยังคงสามารถสืบทอดต่อไปยาวนานอย่างไม่รู้จบโดยไม่สูญสลาย

รัศมีเทวภายในร่างกายเสิ่นปิงหยูเป็นประกายระยิบระยับ ตำหนักปีศาจหลอมบินออกมาจากจุดตันเถียนของนาง ม่านแสงที่ปิดผนึกทั้งดวงดาวเอาไว้เหมือนสัมผัสได้ถึงออร่าเสี้ยวหนึ่งของจักรพรรดิเทพมหาวาลที่อยู่บนตำหนักปีศาจหลอมยังไงอย่างนั้น ม่านแสงจึงค่อย ๆ สลายหายไป

เสี้ยววินาทีที่ม่านแสงสลายหายไป เสิ่นปิงหยูจึงใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดบินตรงไป มือทั้งสองข้างปล่อยพลังตราประทับออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้โลงศพขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนหอคอยเทพมหาวาลนั่นสะเทือนจนเกิดเป็นเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น

และในเวลาเดียวกันหลัวซิวก็สัมผัสได้ถึงการเรียกหาที่มาจากเศษใจแห่งศุภรเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเองเลย เศษใจแห่งศุภรชิ้นนั้นก็บินตรงเข้ามาทางเขาเอง

เสี้ยววินาทีที่เขากำลังจะยื่นมือออกไปเพื่อคว้าเศษใจแห่งศุภรชิ้นนั้นอยู่นั้น พลังออร่าของกาลเวลาที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วก็แผ่คลุมร่างกายของเขาไว้ ราวกับว่าชีวิตของเขาก็กำลังผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใช้เวลาไม่นานชีวิตของเขาก็จะสูญสิ้น และกลายเป็นโครงกระดูกแห้งกรังร่างหนึ่ง

ซึ่งนี่คือกฎเร่งเวลา เป็นมหาอิทธิฤทธิ์ที่สามารถยึดกุมได้ก็ต่อเมื่อฝึกกฎเวลาถึงแดนขั้น 8 เท่านั้น!

หลัวซิวโคจรกฎลดเวลา ทว่าการลดความเร็วของเวลากลับไม่สามารถเทียบทัดความเร็วในการเร่งเวลา ออร่าชีวีภายในร่างกายยังคงไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วอยู่เช่นเคย

หลัวซิวจึงรีบโคจรกฎชีวิตในทันที แก่นแท้ชีวิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังพรั่งพรูซัดสาดอยู่ภายในร่างกาย ไม่ว่าเวลาจะไหลผ่านไปเร็วมากเท่าไหร่ ข้าก็ยังคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์อยู่ดี