เป็นกฎชั้นยอดทั้งสี่เหมือนกัน ทว่าเมื่อกฎชีวิตเผชิญหน้ากับกฎเวลาแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีความสามารถในการต่อต้านแม้แต่น้อยเสมอไป

ชิ่ว!

เขาเก็บเศษใจแห่งศุภรชิ้นนี้เข้าไปตรงหว่างคิ้ว ปริมาตรของเศษใจแห่งศุภรชิ้นนี้ใหญ่กว่าทั้งสองชิ้นที่เขาได้รับและผสมรวมเข้าด้วยกันในก่อนหน้านี้ซะอีก หลังจากเศษใจแห่งศุภรประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ก็มีเส้นรัศมีวงกลมปรากฏตรงขอบนอกเล็กน้อย

ดูจากรูปร่างลักษณะที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วน หลัวซิวสามารถคาดสถานการณ์ได้คร่าว ๆ ว่าใจแห่งศุภรที่แท้จริงน่าจะเป็นลักษณะทรงกลม ขนาดน่าจะเท่ากำปั้นหนึ่ง

และปัจจุบันเขาประกอบเศษใจแห่งศุภรทั้งสามชิ้นที่ได้รับมาเข้าด้วยกันแล้ว ขนาดก็เท่าประมาณเล็บนิ้วหนึ่งนิ้วเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับใจแห่งศุภรที่สมบูรณ์แล้ว ก็ยังห่างไกลกันมาก ๆ

ทว่าสิ่งที่หลัวซิวใส่ใจหลังจากได้รับเศษใจแห่งศุภรชิ้นที่สาม คือความลี้ลับของกฎเร่งเวลาเสี้ยวหนึ่งที่แฝงซ่อนอยู่ภายใน ถึงแม้จะไม่ได้ครอบครองใจแห่งศุภรแบบสมบูรณ์แบบ เขาก็สามารถอาศัยความสามารถในการตระหนักรู้ของตน ฝึกกฎเวลาให้บรรลุถึงแดนบริบูรณ์ได้

“โครมคราม……”

และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนมาอย่างฉับพลัน หลัวซิวเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะพบว่าเสิ่นปิงหยูในตอนนี้กำลังโคจรพลังทั้งหมดเพื่อเรียกเก็บหอคอยเทพมหาวาล

อย่างไรเสียหอคอยเทวหลังนี้ก็เป็นทหารจักรวรรดิมรรคผลที่ผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพฝึกเซ่นขึ้นมา ถึงแม้สิ่งที่เสิ่นปิงหยูฝึกคือวรยุทธ์ของจักรพรรดิเทพมหาวาล ทว่าผลการฝึกตนของตัวนางเองไม่สูง การที่จะยึดครองทหารจักรวรรดิชิ้นนี้นั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

เนื่องจากโคจรผลการฝึกตนถึงขีดสุด เสิ่นปิงหยูสูญเสียผลการฝึกตนไปเยอะมาก ๆ เหงื่อที่ไหลออกมาทำให้ชุดกระโปรงของนางเปียกชุ่ม เผยให้เห็นสรีระที่ประณีตวิจิตรได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น บวกกับรูปโฉมที่งดงามจนน่าทึ่งนั่นของนาง ถึงกับทำให้หลัวซิวเกิดอารมณ์แห่งความปรารถนามาจากสัญชาตญาณ

หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย แล้วฝืนทำลายอารมณ์แห่งความปรารถนาเสี้ยวหนึ่งนั้นให้แตกสลายไปอย่างรวดเร็ว เขารู้อยู่ว่าเสิ่นปิงหยูไม่ได้จงใจยั่วยวนตน แต่เป็นเพราะเนื่องจากในฐานะที่นางเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่งดงามถึงขั้นใกล้เคียงกับคำว่างดงามสุดขีด จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะดึงดูดเพศตรงข้ามเท่านั้นเอง

“หากไม่ใช่เพราะเจ้าใช้ตำหนักปีศาจหลอมทลายเกราะป้องกันม่านแสงของดาราดวงนี้ ข้าก็ไม่มีทางได้รับเศษใจแห่งศุภรมาได้ง่ายดายเช่นนี้แน่นอน ข้าจึงจะช่วยเจ้าหน่อยแล้วกัน”

หลัวซิวย่างเท้าเดินขึ้นไป ใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปมาวิวัฒนาการเคล็ดฟ้าดินมหาวาลอาศัยการปลุกเสกจากพลังอมตะสรรพสิ่งอิงหยินอุ้มหยาง พูดได้เลยว่าพลังเวทย์ของเขานั้นมีมากอย่างไร้ขอบเขต ไม่ต้องใส่ใจต่อเรื่องการสูญเสียใด ๆ เลย

เห็นเพียงภายใต้การร่วมมือของพวกเขาโดยการใช้เคล็ดฟ้าดินมหาวาลมาฝึกเซ่นหอคอยเทพมหาวาล จนมันค่อย ๆ หดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายมันก็กลายเป็นรัศมีเทวหนึ่งดวงบินหายเข้าไปตรงกลางหว่างคิ้วของเสิ่นปิงหยู

“ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือของผู้เพื่อนยุทธ์เย่อย่างยิ่ง”เสิ่นปิงหยูต้องทราบอยู่แล้วว่าเป็นการช่วยเหลือจากหลัวซิว นางจึงรีบหันไปก้มคำนับให้เขาอย่างอ่อนโยน

“มิต้องเกรงใจหรอก อย่างไรเสียการที่ข้าได้รับเศษใจแห่งศุภรนั้น ก็มีการช่วยเหลือจากเจ้าเช่นกัน”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่ง

เสิ่นปิงหยูหัวเราะเบา ๆ หากไม่มีตำหนักปีศาจหลอมก็จะไม่สามารถได้รับสมบัติที่จักรพรรดิเทพมหาวาลทิ้งเอาไว้จริง ๆ แต่ทว่าสาเหตุที่เขาเชื้อเชิญหลัวซิวให้มาด้วยกันนั้น กลับเป็นเพราะศักยภาพอันแข็งแกร่งที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออกมา นางไม่มั่นใจแต่อย่างใดว่าตนจะได้กลืนกินสมบัติทุกอย่างคนเดียว

ทว่านางก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าการจะยึดครองหอคอยเทพมหาวาลนั้นมันจะยากเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะมีการช่วยเหลือจากหลัวซิว บางทีนางอาจจะต้องพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกดีใจมากที่ตัวเองเชื้อเชิญคนคนนี้มาด้วย ทั้งสองต่างได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการ พอที่จะพูดได้ว่าทุกคนล้วนปิติยินดีด้วยกันทั้งสิ้น

“หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าเก็บเรื่องที่หลิวเทียนลู่ถูกข้าฆ่าไว้เป็นความลับด้วย”หลัวซิวพูดอีกคำหนึ่งพลางนำสายตากวาดผ่านพวกจู้เทียนหลง

ผู้หญิงอย่างเสิ่นปิงหยูเป็นคนที่ดูอ่อนโยนเรียบง่ายน่าคบหา แต่แท้จริงแล้วนางเป็นคนที่หยิ่งยโสมาก ๆ จากฐานะของนางที่มาจากวังมหาวาล นางไม่ใส่ใจสำนักเซียนเทียนหยุนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นนางน่าจะไม่นำเรื่องที่ตนฆ่าหลิวเทียนลู่บอกเล่าออกไป