แต่ทว่าหลัวซิวกลับไม่ค่อยไว้ใจผู้คนในตระกูลจู้เหล่านี้ ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเสิ่นปิงหยูพาคนเหล่านี้มา เขาคงลงมือสังหารพวกเขาไปแล้ว

“ผู้เพื่อนยุทธ์ไม่พูด ปิงหยูก็จะเก็บไว้เป็นความลับเช่นกัน”เสิ่นปิงหยูมองไปทางพวกจู้เทียนหลง “พวกเจ้าสาบานด้วยใจกลางแห่งวิถียุทธ์ด้วยว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่”

สีหน้าของจู้เทียนหลงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าก็ทราบเช่นกันว่าวินาทีนี้ตนต้องแสดงท่าที จึงทำได้เพียงเอ่ยปากพูด: “ข้าจู้เทียนหลงขอสาบานด้วยใจกลางแห่งวิถียุทธ์ หากเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่ละก็ ขอให้ข้าตายโหงและไม่ได้ไปผุดไปเกิดชั่วกัปชั่วกัลป์”

แม้นักยุทธ์แห่งตระกูลจู้ที่เหลือจะไม่สมัครใจมาก ๆ ทว่าแม้แต่จู้เทียนหลงยังทำเช่นนี้แล้ว บวกกับความน่าเกรงขามทางศักยภาพของหลัวซิวและเสิ่นปิงหยู พวกเขาจึงพากันให้คำสาบานเช่นกัน

การสาบานด้วยใจกลางแห่งวิถียุทธ์เป็นคำสาบานที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ เนื่องจากสิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ที่ฝึกตนในโลกยุทธ์ก็คือตัวธรรม โดยเฉพาะผู้ที่บรรลุถึงแดนราชาเทพและมีเจตนาเดิมที่รู้แจ้งเห็นชัดตั้งนานแล้ว จักไม่ให้คำสาบานง่าย ๆ ทันทีที่ให้คำสาบานแล้วจะฝ่าฝืนไม่ได้ มิเช่นนั้นคำสาบานก็จะเป็นจริง

ในเมื่อคนเหล่านี้กล่าวคำสาบานด้วยตัวธรรมแล้ว หลัวซิวจึงไม่ตามตื้อกับปัญหานี้ต่ออยู่แล้ว

หลัวซิวและเสิ่นปิงหยูต่างไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามต่อดาราที่กลายมาจากช่องจิตของจักรพรรดิเทพมหาวาลดวงนี้ รวมไปถึงโลงศพที่ใหญ่โตมโหฬารใบนั้นด้วย เนื่องจากพวกเขาต่างเข้าใจดีมาก ๆ ว่านอกจากรอผลการฝึกตนของพวกเขาบรรลุถึงแดนที่สูงมากกว่านี้ พวกเขาถึงจะมีศักยภาพไปเปิดโลงศพของจักรพรรดิเทพออก

“ผู้เพื่อนยุทธ์เย่ เจ้าก็เคยฝึกเคล็ดฟ้าดินมหาวาลเช่นกัน และร่วมสำรวจสถานที่ที่อาจารย์ปู่มหาวาลนั่งฌานละสังขารพร้อมข้า ได้รับสมบัติที่อาจารย์ปู่ทิ้งเอาไว้ พอจะพูดได้เลยว่ามีต้นกำเนิดที่ลึกซึ้งต่อวังมหาวาลของเรามาก ๆ เจ้าจะไม่พิจารณาดี ๆ ก่อนจริงหรือ?”

ในระหว่างทางที่คนกลุ่มหนึ่งจากไป เสิ่นปิงหยูเชื้อเชิญให้หลัวซิวเข้าร่วมวังมหาวาลอีกครั้ง แต่ทว่าก็ยังถูกหลัวซิวปฏิเสธอยู่ดี

ขณะที่พวกเขากำลังออกจากห้วงดาราที่กลายมาจากวิถียุทธ์ของจักรพรรดิเทพ เพิ่งมาถึงขอบนอกของเขตห้ามกาลเวลาอยู่นั้น จู่ ๆ ดาราแห่งกาลเวลาที่อยู่ด้านล่างก็สั่นสะเทือนขึ้นมา

หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ว่ากฎเวลาที่ตลบฟุ้งอยู่บนดาราดวงนี้ค่อย ๆ สลายหายไป สาเหตุที่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้นั้น เป็นเพราะเศษใจแห่งศุภรถูกเขายึดครองไปแล้ว เมื่อไม่มีเศษใจแห่งศุภร กฎเวลาของที่นี่จึงต้องค่อย ๆ สลายหายไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

“ดาราแห่งกาลเวลาจะหายไปแล้ว”เสิ่นปิงหยูแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าพลางพูด “ข้าต้องกลับวังมหาวาลแล้ว หวังว่าจะยังได้พบหน้าผู้เพื่อนยุทธ์อีก”

“หวังว่าจะยังมีโอกาสได้พบกันอีก บางทีอีกไม่นานข้าก็จะออกจากโลกามนุษย์ ไปเที่ยวสำรวจในโลกาชั้นฟ้าอย่างมหาโลกาพันสามดูแล้ว”หลัวซิวก็ยิ้มพลางพูดเช่นกัน

“ลาก่อน ไว้พบกันใหม่!”

เสิ่นปิงหยูยิ้มอย่างงดงามจนเมืองล่ม ก่อนจะพาพวกจู้เทียนหลงหกระเหินเดินฟ้าหายวับไป

“มหาโลกายอดอัมพร สำนักเซียนเทียนหยุน……”

หลัวซิวพูดพึมพำคนเดียว เงาร่างของเขากำลังเดินย่ำอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่า และเห็นว่ามีเงาร่างจำนวนมากพุ่งทะยานขึ้นฟ้า

ดาราแห่งกาลเวลาสั่นสะเทือน นี่เป็นสัญญาณบอกว่ามันกำลังจะหายไป ทุกคนจำเป็นต้องออกจากที่นี่ก่อนดาราแห่งกาลเวลาจะหายไป หากผู้ที่ไม่สามารถจากไปได้ทันเวลา ณ เสี้ยววินาทีที่ดาราแห่งกาลเวลาหายไป คนเหล่านั้นก็จะถูกพลังอันลึกลับสังหาร

หลัวซิวคาดสถานการณ์ว่าพลังอันลึกลับดังกล่าวน่าจะมีบ่อเกิดมาจากจักรพรรดิเทพมหาวาล ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพองค์หนึ่ง หลังจากตัวเขาเองดับสลายสูญเสียนั่งฌานละสังขารไปแล้ว เขาต้องไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นมารบกวนสถานที่พักผ่อนของตนบ่อยครั้งอยู่แล้ว

หลังจากบินออกไปจากม่านแสงที่ปกคลุมอยู่รอบดาราแห่งกาลเวลาแล้ว หลัวซิวไม่ได้บินตรงไปยังเรือรบของงานประมูลอัคคีนภา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของตนให้กลายเป็นลักษณะของร่างกลวัฏสงสารที่หนึ่ง แอบแฝงกายปิดบังโฉมหน้าอยู่ในเหล่าจอมยุทธ์ที่เป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระ