ตอนที่ 1894: 3 กองทัพ

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1894: 3 กองทัพ

หยางไคบรรพชนตระกูลหยางได้กลายเป็นขั้นเหนือเทพช่วงปลายเมื่อหลายปีก่อน ไม่เพียงแต่เขาจะมีชื่อเสียงในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน แต่เขายังมีชื่อเสียงและอิทธิพลในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ใกล้เคียงเช่นกัน

ในเวลาเดียวกันเขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดในขั้นเหนือเทพของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน ทั้งสถานะและอิทธิพลของเขานั้นเหนือกว่าผู้บัญชาการกองทัพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความแข็งแกร่งพอ ๆ กับเขา ซวนเตา

แม้ว่านี่จะเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ซวนเตาเป็นคนถ่อมตัวและไม่ต้องการแข่งขันกับคนอื่น หลายคนจึงเชื่อว่าเหตุผลนั้นฟังไม่ขึ้น เลยทำให้ซวนเตายังไม่ดีเท่ากับหยางไค

ผลที่ตามมาก็คือหยางไคโดดเด่นราวกับดวงอาทิตย์ยามเที่ยงในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน มีเพียงราชาศักดิ์สิทธิ์และผู้พิทักษ์จักรวรรดิสูงสุดเท่านั้นที่สามารถเทียบเขาได้

อย่างไรก็ตามชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของเขาได้นำประโยชน์มากมายมาให้กับตระกูลหยางเช่นกัน มันทำให้ตระกูลหยางเป็นที่รู้จักในฐานะตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนมาอย่างยาวนาน ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงที่กว้างขวาง พวกเขาได้รับความเครารพและนับถือจากผู้คนอย่างมาก

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปหลังจากการต่อสู้ระหส่างหยางไคและผู้นำตระกูลเทียนหยวน เจี้ยนเฉิน

ในการต่อสู้ หยางไคเป็นที่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อผู้มีพลังมากที่สุดในขั้นต่ำกว่าราชาเทพ ได้พ่ายแพ้ต่อเจี้ยนเฉินผู้นำที่ก่อตั้งตระกูลของตัวเองเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน หยางไคไม่เพียงแต่จะสูญเสียชื่อเสียงในฐานะผู้ที่ทรงพลังที่สุดในขั้นต่ำว่าราชาเทพและชื่อเสียงของเขาเท่านั้น แม้แต่ตระกูลหยางก็ได้รับผลอย่างมาก สถานะของพวกเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป

สำหรับหยางไค นี่เป็นความอัปยศอย่างมากที่จะถูกจารึกเอาไว้ตลอดกาล

แม้ว่าเขาจะเป็นขั้นเหนือเทพช่วงปลาย แถมยังได้บ่มเพาะมาหลายพันปี แต่เขาก็ไม่ใช่คนใจกว้าง ความอัปยศที่เขาพบหลังจากการต่อสู้ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชัง เขาไม่อาจทำตัวเป็นพวกเดียวกันกับเจี้ยนเฉินได้ในตอนนี้

สีหน้าของเจี้ยนเฉินยังคงเหมือนเดิม เขาชำเลืองมองหยางไคอย่างไม่แยแสก่อนที่จะยิ้มเชิงขอโทษ เขาป้องมือให้กับขั้นเหนือเทพทุกคนในห้องโถงและพูดว่า “ระยะทางมันค่อนข้างไกล ดังนั้นข้าจึงใช้เวลานาน ข้าทำให้พวกท่านรอ ข้าขออภัยจริง ๆ ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้นำตระกูลเทียนหยวนสุภาพเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเวลาสามวันมันก็ไวราวกระพริบตาสำหรับพวกเรา….”

“น้องเจี้ยนเฉิน เจ้ามันน่าด่าจริง ๆ หากเจ้ายังทำแบบนั้น ข้าเพิ่งมาถึงเร็วกว่าเจ้าแค่เล็กน้อย ถ้าเจ้าบอกอย่างนั้น ไม่ใช่ข้าด้วยหรือที่ทำให้ทุกคนรอ…”

ขั้นเหนือเทพที่นั่งทั้งหมดยืนขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน พวกเขาป้องมือให้กับเจี้ยนเฉินพร้อมด้วยรอยยิ้มและพูดอย่างสุภาพ

เห็นได้ชัดว่าศักดิ์ศรีของเจี้ยนเฉินยิ่งใหญ่กว่าหยางไคในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน ในตอนนี้นอกจากหยางไคแล้ว ขั้นเหนือเทพทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเคารพเจี้ยนเฉินมากแค่ไหน

ในอีกด้าน ใบหน้าของหยางไคมืดครึ้มทันทีเมื่อเขาเห็นคนมากมายสนับสนุนเจี้ยนเฉิน

เจี้ยนเฉินไม่สนใจหยางไค หลังจากที่ทักทายทุกคน เขาก็เดินทางไปยังที่นั่งของเขาทันที

ที่นั่งถูกจัดเป็นสองแถว โดยนั้งกันอยู่ทั้งสองข้างซ้ายขวาและเว้นตรงกลางเพื่อมีที่ให้เดิน ทุกที่นั่งมีชื่ออยู่ เจี้ยนเฉินเพิ่งจะไปยังที่นั่งทางด้านขวา ที่นั่งนั้นใกล้กับบัลลังก์ของราชามากที่สุด

ซวนเตานั่งถัดจากเจี้ยนเฉิน

สำหรับหยางไค เขานั่งอยู่ที่นั่งแรกฝั่งซ้าย เจี้ยนเฉินจึงนั่งอยู่ตรงข้ามหยางไค

หยางไคมองเจี้ยนเฉินอย่างเย็นชาก่อนที่จะหลับตาทันที

เจี้ยนเฉินไม่สนใจหยางไค หยางไคไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ก่อนหน้านี้และตอนนี้เขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม หยางไคจึงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาอีกต่อไป

เจี้ยนเฉินนั่งสมาธิบนที่นั่งหรูหราขนาดใหญ่ เขาหลับตาเพื่อพักผ่อนอย่างเงียบ ๆ และรอการเสด็จมาถึงของราชาศักดิ์สิทธิ์

ทันใดนั้นเสียงพึมพำที่พูดเกี่ยวกับการมาถึงของเจี้ยนเฉินก็เงียบลงอีกครั้ง ตอนนี้เงียบสนิทแล้ว

“ฝ่าบาทเสด็จ ! ”

ในเวลานี้เสียงที่ดังและแข็งแกร่งเข้ามายังห้องโถงที่เงียบสนิท

สายตาของเหล่าเหนือเทพทุกคนลืมขึ้นในเวลาเดียวกันและพวกเขาก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง

ราชาศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามาพร้อมกับมงกุฏมังกรที่พระเศียรและเสื้อคลุมปักมังกรที่สวมทับพระวรกายของเขา เขาไม่ได้เดินมาเร็วนัก แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาเดิน หัวใจของขั้นเหนือเทพก็จะเต้นตามไปด้วย แต่ละก้าวดูเหมือนจะทำให้เกิดความกดดันที่มองไม่เห็นกับหัวใจของขั้นเหนือเทพ

ขั้นเหนือเทพทั้งหมดในห้องล้วนกลั้นหายใจในเวลานั้น มีความเคารพปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาและไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองได้แม้แต่น้อย

สายตาของเจี้ยนเฉินเปล่งประกายสดใสและเขาก็ก้มหัวลงเล็กน้อย เขาพึมพำกับตัวเองอยู่ภายใน”ราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นทรงพลังมาก ราชาเทพช่วงปลายทั้งเก้าที่ข้าเจอในเทือกเขาหยินเจ็ดทลาย ยังไม่เยี่ยมเท่าเขา”

เจี้ยนเฉินเข้าใจว่าแม้จะเป็นราชาเทพช่วงปลาย มันก็อาจมีความแตกต่างกันได้ ใครก็ตามที่สามารถนั่งบนบัลลังก์ของราชาเทพได้ ไม้ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ก็ไม่อาจเปรียบกับราชาเทพช่วงปลายทั่ว ๆ ไปได้

การจัดอันดับนั้นต้องใช้ระดับการบ่มเพาะในขั้นราชาเทพช่วงปลายด้วยเช่นกัน แต่คนที่อยู่ในอันดับ 10 อันดับแรกมีความแข็งแกร่งเท่ากับขั้นอสงไขยช่วงต้น พวกเขาสามารถสังหารขั้นอสงไขยได้ขณะที่อยู่ในขั้นราชาเทพช่วงปลาย ซึ่งมันไม่ธรรมดาอย่างมาก

“ข้าสงสัยว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่บนบัลลังก์ของราชาเทพหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินคิด เขาไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของราชาศักดิ์สิทธิ์ แต่รู้สึกว่าราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อาจหยั่งถึง

“คารวะฝ่าบาท!”

ขั้นเหนือเทพด้านล่างทั้งหมดโค้งคำนับหลังจากที่ราชาศักดิ์สิทธิ์นั่งลงบนบัลลังก์ของเขา

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพนัก เชิญนั่ง” ราชาศักดิ์สิทธิ์ยิ้มบาง ๆ เขาดูเป็นมิตร แต่ก็ดูสง่างามไม่น้อย

“ข้าคิดว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าทำไมข้าถึงเรียกพวกเจ้ามาที่นี่ในวันนี้ ข้าจะอธิบายถึงความแข็งแกร่งของกองทัพทั้งสามจากลัทธิปีศาจชั้นฟ้า” ราชาศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างชัดเจน แม้ว่าราชาศักดิ์สิทธิ์จะพูดถึงกองทัพทั้งสาม มันก็เพียงพอที่จะทำให้คนอื่นรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของราชาศักดิ์สิทธิ์ได้ง่าย ๆ แต่เขายังคงสงบเหมือนเดิมก่อนหน้านี้

“เมื่อดูว่าราชาศักดิสิทธิ์พูดอย่างสบาย ๆ แสดงว่าเขามีความมั่นใจอย่างมากว่าเขาจะขับไล่การโจมตีจากลัทธิปีศาจชั้นฟ้าได้ จักรวรรดิโบราณเหล่านั้นจะเข้าร่วมด้วยหรือ ? ” เจี้ยนเฉินเดาอยู่ภายในใจของเขา เขาให้ความสนใจกับสีหน้าของราชาศักดิ์สิทธิ์เสมอ

“ลัทธิปีศาจชั้นฟ้ามีกองทัพทั้งหมด 9 กองทัพ นอกเหนือจากกองทัพที่หนึ่งแล้ว อีก 8 กองทัพก็ยังมีพื้นฐานพลังในระดับเดียวกัน”

“ผู้บัญชาการกองทัพที่เก้า หยันวูหมิง เขาเป็นราชาเทพช่วงปลายในนาม หัตถ์เทพโลหิต เพราะเขามีทักษะการต่อสู้ระดับเทพที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อเขาใช้มัน ท้องฟ้าและโลกจะถูกย้อมเป็นสีแดงเลือด เขามีพลังเพียงพอที่จะอยู่บนบัลลังก์ของราชาเทพ มีคนน้อยมากที่จะรับมือกับหยันวูหมิงได้”

“ผู้บัญชาการของกองทัพที่แปดคือ ลั่วเต๋า เขายังเป็นราชาเทพช่วงปลายที่รู้จักในนาม จอมกระหายเลือด เขาเป็นคนเย็นชาไร้ความปราณีและกระหายเลือดมาก ครั้งหนึ่งเขาถูกตั้งข้อหาในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดด้วยตัวของเขาเองและสังหารผู้คนหลายพันล้านคน ไม่มีใครรอดในทุกที่ที่เขาไป เมื่อเขาปรากฏตัวแม้แต่พืชผลในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องตาย….”

“ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดคือ หย่าซีเหลียน นางเป็นราชาเทพช่วงปลายและเป็นผู้หญิง อย่างไรก็ตามนางเป็นร่างแปลงของจิ้งจอกเก้าหาง แม้ว่านางจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาผู้บัญชาการกองทัพทั้งเก้าคน แต่นางก็ยังเป็นคนฉลาดที่สุดและยากจัดการที่สุด นางมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามตามธรรมชาติและมีทักษะด้านเสน่ห์ในระดับสูง คนที่จิตใจอ่อนแอจะตกหลุมรักนางได้อย่างง่ายและสูญเสียเหตุผลทั้งหมด”

เมื่อมาถึงจุดนี้ ราชาศักดิ์สิทธิ์ก็ขึงขัง เขามองไปที่ขั้นเหนือเทพด้านล่างก่อนที่ดวงตาของเขาจะหยุดอยู่ที่เจี้ยนเฉิน เขาเตือนอย่างจริงจังว่า”หากเจ้าพบกับผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ด หย่าซีเหลียน จำให้ดี อย่ามองหรือฟังเสียงของนาง ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า มันเป็นเรื่องง่ายที่จะหลงกลจากคำพูดและการกระทำของนาง”

“นี่เป็นเพราะแม้แต่ราชาเทพก็มีไม่น้อยที่ตกอยู่ในอุบายของนาง หากพวกเขาไม่ได้มีจิตใจที่เข้มแข็ง”